ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ - ตอนที่ 70 หายตัวไปอย่างต่อเนื่อง
ลู่ซือหยวนมองไปที่นกน้อย หรี่ตาลงเล็กน้อย “เซี่ยหร่านส่งมาให้เจ้าหรือ”
“อืม” ซูหนานอีเดินเข้าไปใกล้ แล้วนำท่อนไม้ไผ่เล็กที่ผูกติดอยู่ที่ส่วนขาของนกน้อยออกมา แล้วเปิดออกดู “เซี่ยหร่านบอกว่าที่ถนนคนเดินมีเรื่องทะเลาะกันจะไปดูเสียหน่อย ให้ข้ารออยู่ที่นี่”
ซูหนานอีจับนกมาไว้บนฝ่ามือ ค่อยลูบขนของมัน แววตาตาคมของนกน้อยเป็นสีเขียวไหวติงไปมา
มือของลู่ซือหยวนไปโดนกรงเล็บของนก “นกตัวนี้น่าจะไม่ใช่นกธรรมดาทั่วไป”
“ถึงจดหมายนกพิราบไม่ค่อยปลอดภัย แต่ในอนาคตนกตัวนี้สามารถช่วยข้าได้ “ซูหนานอีล้วงเอาเม็ดสีเหลืองออกมาจากถุงหอมออกมาวางไว้บนฝ่ามือ นกน้อยก็รีบจิกกินทันที
“เจ้าได้ข่าวคราวของพ่อแม่เจ้าหรือยัง”
ขนตาของซูหนานอีสั่นระริก “ยัง ข้าอยากจัดการเรื่องของหุบเขาเทวดาทางนี้ก่อนค่อยว่ากัน ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่วางใจ”
ลู่ซือหยวนพยักหน้า หยุนจิ่งเดินมาพร้อมกระดาษที่เขียนตัวอักษร “เหนียงจื่อ เจ้าดูนี่ จิ่งเอ้อร์เขียนสวยมั้ย”
ซูหนานอีมองดู อักษรที่อยู่บนกระดาษเขียนได้สวยมาก ปลายเส้นคมล้วนตวัดอย่างสวยงาม หล่อนก็รู้สึกสับสนใจเล็กน้อย “เขียนได้ไม่เลว จิ่งเอ้อร์เขียนตัวอักษรสวยจริงๆ เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า อักษรนี้ใครเป็นคนสอนเจ้า”
“……” หยุนจิ่งพยายามคิดอยู่สักพัก สุดท้ายก็ส่ายหน้า “จำไม่ได้แล้ว”
“จำไม่ได้แล้วก็ไม่เป็นไร” ซูหนานอีเอ่ยปลอบเขา “เขียนได้สวยก็พอแล้ว”
หยุนจิ่งที่ได้ยินนางพูดปลอบก็ดีใจขึ้นมาอีกครั้ง มองเห็นนกน้อยตาก็วาวขึ้นมาทันใด “ข้าเล่นกับมันได้มั้ย”
“ได้สิ” ซูหนานอียื่นนกน้อยไปให้เขา หยุ่นจิ่งก็ค่อยๆ รับมาอย่างระมัดระวังแล้วเอามากอดไว้แนบอก
พูดไปก็แปลก นกชนิดนี้มักจะไม่ให้คนเข้าใกล้ ที่ไม่ต่อต้านซูหนานอีกับลู่ซือหยวนเพราะว่าพวกเขาเคยเจอมันมาก่อน
แต่กับหยุนจิ่ง นี่ถือเป็นครั้งแรก
นกน้อยแหงนหน้ามองหยุนจิ่ง หัวน้อยๆ ก็ถุยกับนิ้วมือของเขา หดตัวเขาไปหาและซบที่อกเขาแล้วก็ค่อยๆ หรี่ตาลงจากนั้นก็หลับไป
ซูหนานอีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “จิ่งเอ้อร์ เจ้านกน้อยนี่ชอบเจ้านะ”
“ข้าก็ชอบมัน” หยุนจิ่งพูดอย่างอารมณ์ดีพร้อมพูดเสริม “แต่ข้าชอบมากที่สุดก็ยังเป็นเหนียงจื่อ”
ซูหนานอีถึงกับหุบยิ้ม
ระยะเวลาฝังเข็มก็น่าจะได้แล้ว ซูหนานอีเลยหันไปดูลู่ซือหยวนดื่มยาอีกครั้งถึงจะถือเป็นการเสร็จธุระ
และเวลานี้เซี่ยหร่านก็มาถึงแล้ว
พอเข้ามาเขาก็พูดหน้าตาตื่น: “พวกเจ้าล้วนอยู่กันที่นี่พอดี พวกเจ้าลองเดาดูสิว่า ระหว่างทางที่อยู่ถนนคนเดินข้าไปเจออะไรมา”
ลู่ซือหยวนนิ่งไม่ปริปาก แต่หยุนจิ่งถามด้วยสีหน้าอยากรู้ “เจออะไรมาหรือ”
ซูหนานอีครุ่นคิด : “หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ศาลจิงจ้าว”
เซี่ยหร่านตบที่หน้าขาของตัวเอง “หึม เจ้ารู้ได้อย่างไร แต่ไม่ใช่ศาลจิงจ้าวหรอกที่เกิดเรื่อง เป็นคุณชายน้อยของบ้านท่านโจวช่างชู บุกไปด้วยท่าทางโกรธ”
“หลังจากนั้นล่ะ” ซูหนานอีถามต่อ
“หลังจากนั้นหรือ หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ทะเลาะมีปากเสียงกัน ไม่มีใครยอมใคร ได้ยินว่าเป็นเพราะหญิงสาวคนหนึ่ง”
ซูหนานอีที่กำลังยกชาขึ้นดื่ม เกือบจะพ่นออกมาแล้ว “เจ้าคิดไปถึงไหนกัน เจ้าไม่ชอบเขาก็ไม่ควรที่จะว่าเขาอย่างนี้”
เซี่ยหร่านเหลือบตามองบน “แล้วไง”
“เพื่อหญิงสาวที่อยู่บนเรือบุปผานั่น” หยุนจิ่งเอ่ยพูด เหมือนกลัวว่าเสียงดังจนทำให้นกน้อยตื่น “ข้าเห็นนางถูกพาไปที่หน้าจวนที่ว่าการแล้วนี่”
“เหอะ!” เซี่ยหร่านทำหน้าดีใจ “ยังมีข่าวลืออย่างนี้ด้วยหรือ หญิงบนเรือบุปผาอะไรนั่น เขาคือ……”
ซูหนานอีพูดแทรกขึ้น “หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว เดิมทีหญิงสาวคนนั้นเป็นหญิงร้องเพลงอยู่บนเรือบุปผา นางเลยหาโอกาสตอนที่คนไม่ทันระวังแอบหนีออกมา และได้วิ่งไปขวางทางเกี้ยวของใต้เท้าจ้าว”
“ฆ่าตัวตายบูชารัก” หยุนจิ่งนั่งอยู่ข้างพูดอธิบายอย่างจริงจัง
เซี่ยหร่านตกใจจนตาแทบถลนออกมา เดิมทีเขาคิดว่าแค่ไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องของใต้เท้าจ้าวสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะโง่อย่างนี้
“โจวช่างชูผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา” ลู่ซือหยวนเอ่ยออกมา “เขาถือว่าเป็นถึงถุงเงินของกู้ซีเฉิน”
ซูหนานอียิ้มออกมาเล็กน้อย แววตาฉวยแววเย็นเยือกออกมา “ใช่แล้ว เรื่องใหญ่อย่างนี้ อยากปิดก็ปิดไม่มิดหรอก ใต้เท้าจ้าวเป็นขุนนางตงฉิน อีกอย่างยังมีพวกขุนนางอื่นอีก คงทำให้โจวช่างชูยุ่งไปสักพัก”
เซี่ยหร่านนั่งอยู่บนเก้าอี้ “พูดถึงเรื่องหญิงสาวคนนี้ ข้ายังมีอีกเรื่องที่แปลกมาก วันนี้ตอนเช้าตรู่ ข้าอยู่ที่ร้านแถวชานเมืองมีคนมารายงานว่า มีผู้เช่าสองรายที่ลูกสาวหายตัวไป ผู้เช่าสองรายนี้ก็เป็นผู้เช่าเก่าแก่ของร้าน มีความซื่อสัตย์มาตลอด น้อยมากที่จะมาร้องขออะไรจากข้า ข้าว่าจะไปร้องเรียนกับใต้เท้าจ้าว ผลปรากฏว่าเขามีเรื่องทะเลาะวุ่นวาย ข้าเลยกลับมาก่อน”
ซูหนานอีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ห๊ะ มีลูกสาวของคนอื่นหายตัวไปอีกแล้วหรือ”
“ใช่แล้ว ลูกถือเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อแม่ ตอนนี้ทั้งสองบ้านก็ใจร้อน หนึ่งในนั้นมีแม่หม้าย ร้องไห้จนตาปูดหมดแล้ว”
เซี่ยหร่านส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมาด้วยน้ำเสียงสงสารอย่างปิดไม่มิด
“เกิดเรื่องนี้ขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ช่วงนี้หรือ เจ้าเคยถามไหมว่าทำไม”
มองดูสีหน้าของซูหนานอี เซี่ยหร่านครุ่นคิดแล้วตอบ: “ได้ข่าวว่าประมาณหนึ่งเดือนมาแล้ว เด็กสาวทั้งสองคนมีอายุใกล้เคียงกัน มีคนหนึ่งกำลังหารือเรื่องแต่งงาน ทั้งสองเลยไปซื้อแป้งแต่งหน้าด้วยกัน และก็ไม่กลับมาอีกเลย พวกเขาตามหาอยู่ตั้งนานก็ไม่เจอ พวกเขาจนปัญญาที่จะหาแล้วถึงได้มาขอร้องข้า”
ซูหนานอีรู้สึกตงิดใจ มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาแต่ก็เพียงแค่แว๊บเดียว
“เป็นอะไรหรือ” เซี่ยหร่านมองสีหน้านางไม่สู้ดี “เจ้านึกอะไรออกหรือ”
“ตอนนี้ไม่มี” ซูหนานอีส่ายหน้า “ในเมื่อรับปากว่าจะช่วยแล้วก็ช่วยให้ได้ คนที่ลูกสาวหายตัวไปคงจะจิตใจร้อนรนดังไฟ แม้ว่าใต้เท้าจ้าวจะไม่ค่อยเป็นมิตร แต่เขาก็เป็นขุนนางที่ดี”
“เจ้าพูดก็ถูก งั้นเดี๋ยวข้าก็จะไปอีกรอบ”
ซูหนานอีให้ลู่ซือหยวนพักผ่อน แล้วนางไปหาหลี่จิ้งหว่าน
หลี่จิ้งหว่านนั่งอยู่ระเบียงกำลังมองหาอะไรอยู่ พอเห็นซูหนานอีเดินมาก็ยืนขึ้น “คุณหนูซู”
ซูหนานอีนำจดหมายออกมาแล้วคืนให้นาง ตอนแรกนางนึกว่าคนรักเขียนจดหมายตอบนาง แววตาเต็มไปด้วยความดีใจ แต่พอรับมาดูกลับตกใจอึ้ง
“นี่……”
“ขอโทษด้วย หลังจากที่ข้าไปถึงที่นั่นแล้วแต่หาคนไม่เจอ” ซูหนานอีเอ่ยเสียงเบา “เดิมทีข้าคิดว่าค่อยมาบอกเจ้าช้ากว่านี้ อยากจะสืบหาให้แน่ชัดก่อน แต่ว่าวันนี้ตอนที่ข้ามา ระหว่างทางผ่านหน้าประตูจวนหลี่ ได้ยินบ่าวทั้งสองคุยกันว่าฮูหยินหลี่ให้คนไปจับคนที่บ้านนอกมาก”
หลี่จิ้งหว่านกำจดหมายที่อยู่ในมือแน่น “จริงหรือ นางกล้าทำอย่างนี้เลยหรือ!”
ซูหนานอีมองนางที่ตาแดงก่ำด้วยความโกรธ “เจ้าอย่างพึ่งร้อนใจไป เรื่องนี้ยังไม่ได้สืบให้แน่ชัด ถ้าหากเจ้ายินยอม คืนนี้ข้าจะไปบ้านตระกูลหลี่กับเจ้าสักครั้ง”
หลี่จิ้งหว่านหายใจหอบแรงกัดริมฝีปากแน่น “ได้ เพื่อพี่ซงแล้ว แม้จำต้องถ้ำเสือข้าก็จะบุกเข้าไป!”
“ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอก พวกเราแอบๆ ไป ไม่ให้ใครเห็น”
ซูหนานอีตบไหล่ของนาง “คืนนี้ข้ามาหาเจ้า เมื่อถึงตอนนั้นเราก็ไปด้วยกัน เจ้าต้องจำไว้ว่าห้ามใจร้อนเด็ดขาด และห้ามวู่วามด้วย วันนี้ใต้เท้าที่ว่าการไปสอบถามที่บ้านของเจ้าอีกแล้ว เชื่อว่าน่าจะรู้ว่าเจ้ามีตัวตนแล้ว และก็รู้แล้วว่าพวกหลี่ใต้เถาทำเรื่องชั่วไว้ ถึงได้มีการออกตัวมาเองในวันนี้”
หลี่จิ้งหว่านคิ้วขมวดแววตาเต็มไปด้วยความกังวล “ได้ คุณหนูซู ข้าจะเชื่อฟังท่าน”
ซูหนานอีกับหยุนจิ่งกล่าวลาลู่ซือหยวน เซี่ยหร่านก็จะไปร้องเรียนที่ศาลจิงจ้าว ทั้งสามเลยเดินออกจากเรือนเล็กไปพร้อมกัน
หยุนจิ่งแหวกม่านมองออกไปด้านนอก “เหนียงจื่อ ที่ถนนคนเดินเมื่อไหร่จะมีคนมาขายน้ำตาลรูปคน”
“ต้องรอถึงอากาศเย็นก่อนนะ ตอนที่น้ำตาลรูปคนจะไม่ละลาย” ซูหนานอีรู้สึกเจ็บใจเล็กน้อย “จิ่งเอ้อร์อย่าพึ่งร้อนใจไป”
หยุนจิ่งพยักหน้า “จิ่งเอ้อร์ไม่รีบ จะรออย่างว่าง่าย”
พูดมาถึงตอนนี้รถม้าอยู่ดีๆ ก็เสียหลักวิ่งไปอีกทาง ซูหนานอีกับหยุนจิ่งไม่ทันต้องตัว หน้าของซูหนานอีเกือบโดนกระแทก หยุนจิ่งคว้านางมากอดไว้ในอกได้เสียก่อน
หน้าของซูหนานอีถูกฝ่ามือของเขากดจนจะแบนดูแทบไม่ได้แล้ว แต่นางก็ซบที่อกของเขาแน่น มีเพียงชุดที่ใส่ในหน้าร้อนกั้นไว้เท่านั้น แต่ก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวเขา และได้ยินเสียงเต้นของหัวใจของเขา
โดยรอบเหมือนจะเงียบลงแล้ว ตอนนี้ซูหนานอีถูกปฏิบัติอย่างนี้ก็รู้สึกอบอุ่นใจ
น้ำเสียงคนขับรถม้าก็เปลี่ยนไป “มัวทำอะไรอยู่ ไม่มองทางหรือไง”