พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่160 วังซิงหลบหน้า
บทที่160 วังซิงหลบหน้า
“อ้าว คุณชายวังไม่ใช่เหรอเนี่ย มาได้จังหวะพอดีเลย รีบใช้เงินคืนผมมาซะไม่อย่างนั้นผมคงต้องไปทวงกับพ่อของคุณที่บ้านแล้วล่ะ” ลู่เฉินไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่นิดเดียว วังซิงยังไม่ได้ทันนั่งลงก็ถูกเขาเอ่ยปากทวงหนี้เสียแล้ว
ครั้งที่แล้ว ณ บ้านตระกูลเฉิน วังซิงแพ้พนันเขา 600 ล้านและจ่ายมาในวันนั้น 200 ล้าน ส่วนอีกที่เหลือเห็นแก่หน้าพ่อของเขาจึงได้ยินยอมให้เขียนหนังสือสัญญาการยืมเงินเป็นจำนวน 350 ล้าน
ลู่เฉินรู้ดีว่าตระกูลวังจะไม่คืนเงินจำนวน 350 ล้านนี้แก่เขาด้วยตัวเองแน่ และเขาเองก็ไม่ได้คิดจะทวงเงินจำนวนนี้จากตระกูลวังในระยะเวลาสั้นๆนี้
เนื่องจากเงินจำนวนนี้เขาวางแผนไว้ว่าจะรวบรวมทีเดียวให้บ้านตระกูลวังลืมตาอ้าปากไม่ขึ้น
แน่นอนว่าตอนนี้เมื่อได้พบเข้ากับวังซิงแล้ว และเขามองเห็นสายตาอาฆาตจากของวังซิง ลู่เฉินจึงตั้งใจจะแกล้งเขาสักหน่อย
เมื่อได้ยินลู่เฉินพูดดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นสี่พี่น้องตระกูลเจียงหรือหลอหยุนฮวยก็ล้วนตกตะลึง!
เขาผู้นี้คือวังซิง! คุณชายบ้านตระกูลวังเชียว เขาจะติดหนี้ลู่เฉินได้ยังไง?
ถึงต่อให้เขาติดหนี้ลู่เฉินจริงๆ ลู่เฉินจะกล้าทวงหนี้เขาต่อหน้าสาธารณชนอย่างนี้ได้หรือ?
รนหาที่ตายแบบนี้ เขาไม่กลัวจริงๆหรือไง?
“เหอะๆ ฉันไม่มีตังค์หรอก แกอย่ามาทวงที่ฉันเลย” วังซิงหน้าดำคร่ำเครียด เขาสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามเก็บความรู้สึกอัดอั้นใจเอาไว้
“คุณชายวังครับ ล้อเล่นได้ไม่ตลกเอาเสียเลย ตระกูลวังยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เงินแค่ 350 ล้านหยิบออกมาไม่ได้หรือไง? คุณแกล้งผมแบบนี้สนุกมากไหม?” ลู่เฉินพูดออกมาด้วยความเจ้าเล่ห์
อะไรนะ! คุณชายวังติดเงินเขา 350 ล้าน!?
“ให้ตายเถอะเรื่องจริงหรือเนี่ย เขามีเงินมากขนาดนั้นเชียว?”
ผู้คนทั้งหลายมองมาทางลู่เฉินด้วยความไม่เชื่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสี่พี่น้องตระกูลเจียง มองเขาด้วยท่าทางหมั่นไส้
เรื่องที่พวกเขาต้องการแอบอ้างใช้บารมีของวังซิงมาสั่งสอนลู่เฉินเสียหน่อย คาดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะเก่งขนาดนี้
เมื่อวังซิงเดินมา เขาก็รีบทวงเงินทันที คนที่ทำกับวังซิงแบบนี้ได้น่าจะมีเพียงแค่ลู่เฉินเท่านั้นแหละ
และเมื่อมองดูสีหน้าของวังซิงก็คล้ายกับว่าเขาติดเงินลู่เฉินอยู่ 350 ล้านจริงๆเสียด้วย!
“เหอะๆ แน่จริงก็ไปทวงที่พ่อผมสิ” วังซิงหัวเราะอย่างเยือกเย็นและพาสาวงามคนนั้นเดินจากไป
ลู่เฉินฉีกหน้าเขาไม่มีชิ้นดี เขาจะยังมีอารมณ์นั่งร่วมโต๊ะกับลู่เฉินได้ยังไง
เมื่อทุกคนเห็นว่าวังซิงงไม่กล้าจะนั่งร่วมโต๊ะกับลู่เฉินก็พากันฮือฮาขึ้นมา
“คุณชายบ้านตระกูลวัง มีคนที่ต้องหวาดกลัวด้วยอย่างนั้นเหรอ!?
ที่สำคัญคือเขาผู้นี้เป็นใครกัน? ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน!
วินาทีนี้ อารมณ์ของทุกคนแปรปรวนเนื่องจากท่าทีของวังซิงที่เดินจากไป สายตาของพวกเขามองมาทางลู่เฉินด้วยความสงสัย
คนที่สามารถทำให้วังซิงยอมได้ จากที่พวกเขารับรู้สามารถนับนิ้วได้เลยทีเดียว แต่เขาผู้นี้ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนหรือจะเป็นคุณชายจากเบื้องบน
เบื้องบนที่พวกเขาพูดถึงนั้นก็คือเมืองหลวงนั่นเอง คุณชายจากตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงเดินทางมายังหยูโจว บรรดาทายาทเศรษฐีแห่งเมืองหยูโจวพวกนี้แม้กระทั่งสี่คุณชายบ้านตระกูลใหญ่ก็ยังต้องเข้าหาด้วยตนเอง
เนื่องจากทั้งสองเมืองนั้นมีความแตกต่างกันอยู่มาก
อีกทั้งฟังสำเนียงการพูดของลู่เฉินก็รู้ได้ว่าเป็นคนเมืองหลวง พวกเขาจึงได้คิดกันไปต่างๆนานา
การที่วังซิงเดินออกไปไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่สนใจลู่เฉินแต่เป็นเพราะไม่กล้านั่งร่วมโต๊ะเดียวกันต่างหาก
สี่พี่น้องตระกูลเจียงนั่งขาไม่ติดอย่างกับ นั่งอยู่บนเก้าอี้ตะปู
พวกเขาไม่กล้าแม้กระทั่งมองหน้าลู่เฉิน
เขาจะกล้ามองได้ยังไง?
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ถูกลู่เฉินหักหน้า ตอนนี้รู้เพียงว่าหน้าชาไปหมดแล้ว
และทันใดนั้นเองก็มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งสวมแว่นตาเดินออกมาจากด้านใน ทุกคนมองไปที่เขาด้วยสายตาเป็นประกาย
เขาคือเลขาประจำตัวของเซ่ซูเจี๋ยไม่ใช่เหรอ? เขาออกมาทำไมกัน เอ๊ะ!มองไปคล้ายเขากำลังหาใครอยู่
“ก็นั่นน่ะสิ นั่นคือเลขาจางนี่นา เขากำลังมองหาใครกันอยู่นะ? หรือมีใครวานให้เลขาจางออกมาตามคนเข้าไปกัน?”
มองเห็นเลขาจางเดินออกมา พวกเขาก็พากันพูดไปต่างๆนานา
เมื่อคิดได้ว่าเลขาจางอาจจะถูกเซ่ซูเจี๋ยสั่งให้ออกมาตามหาใครสักคน ในใจพวกเขาก็ล้วนมีความหวัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาชายหนุ่มที่มีความสามารถและมั่งคั่งทั้งหลาย ล้วนคิดว่าอาจจะมาหาตนก็ได้
“ตระกูลเจียงของเราบริจาคไป 10 ล้าน พูดได้ว่าน้อยกว่าทั้ง 4 ตระกูล รองเป็นอันดับสองเลยก็ได้ ฉันคิดว่าบางทีอาจจะต้องการชื่นชมพวกเรา เลยให้เลขาจางออกมาตามก็ได้นะ” เจียงผิงพูดออกมา
เจียงหยูและอีกสองคนแววตาเป็นประกายทันที ในใจก็ภาวนาขอให้เป็นเช่นนั้น
งานบริจาคเพื่อการกุศลเช่นนี้ พวกเขาคิดว่าคนที่บริจาคเป็นหลักล้านก็แทบจะไม่มีแล้ว แต่ตระกูลเจียงของเขาบริจาคถึง10ล้าน แม้จะไม่อาจสู้กับสี่ตระกูลใหญ่ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาได้บริจาคมากกว่าผู้อื่นจริงๆ
และเมื่อได้ยินมาว่าเทคโนโลยีอี้ฉีไม่ได้บริจาคเงิน ถ้าเป็นเช่นนั้นบริษัทที่บริจาคเงินจำนวนกว่า 10 ล้านก็คงมีไม่เยอะนัก
คิดได้ดังนี้สี่พี่น้องตระกูลเจียงก็พากันคิดไปเองว่าเลขาจางต้องมาตามพวกเธอไปแน่ๆ
“โอ้โห! ขอแสดงความยินดีกับทั้งสี่คนด้วยนะครับที่จะได้นั่งโต๊ะเดียวกันกับเซ่ซูเจี๋ยแล้ว” เมื่อได้ยินดังนั้นหลอหยุนฮวยเองก็คิดว่าเลขาจางน่าจะมาตามพวกเขาทั้งสี่คนไป
ตระกูลของพวกเขาบริจาคไปเพียงแค่ 1 ล้าน แต่ตระกูลเจียงบริจาคไปถึง 10 ล้าน เขาคิดว่ายอดเงินที่บ้านตระกูลเจียงบริจาคไปนั้นน่าจะติด 1 ใน 10 เสียด้วยซ้ำ
ดังนั้นการที่เซ่ซูเจี๋ยจะเห็นแก่หน้าพวกเขาก็น่าจะเป็นเรื่องปกติ
“ตระกูลเจียงเริ่มเป็นใหญ่เป็นโตแล้วนะ เซ่ซูเจี๋ยเชิญสื่อต่างๆมามากมาย ถ้าเขาได้ขอบคุณตระกูลเจียงต่อหน้าสื่อเหล่านั้น ก็เหมือนกับเป็นการโฆษณาบริษัทของตระกูลเจียงไปในตัวเลยนะสิ ได้ยินว่าด้านในเป็นการออกอากาศสดเสียด้วย น่าอิจฉาจริงๆ!”
“ก็นั่นนะสิ ทำไมพ่อฉันถึงคิดไม่ได้กันนะ บริจาคเงิน 10 ล้านเพื่อแลกกับคำชมของเซ่ซูเจี๋ยสักประโยคก็คุ้มจริงๆ”
“ใช่ๆๆ ที่จริงฉันก็เตือนพ่อแล้วนะว่าให้บริจาคเยอะกว่านี้หน่อยจะได้ติดอันดับ 1 ใน 10 บรรดาผู้มีอำนาจต่างๆจะได้หันมารู้จักกับพวกเราบ้าง ยังไงก็ไม่ขาดทุนหรอก แต่น่าเสียดายที่พ่อฉันไม่ฟังคำพูดฉันเลย และยังบอกว่าฉันจะไปเข้าใจ อะไรตอนนี้เขาน่าจะกำลังเสียใจอยู่แน่ๆ!”
ทุกๆคนก็คิดกันไปเองว่าเลขาจางเดินมาตามหาสี่พี่น้องตระกูลเจียง พวกเขาทุกคนก็ล้วนแต่อิจฉา
เมื่อเจียงผิงเห็นทุกคนกล่าวเช่นนั้น ก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ แววตาของเขาไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ได้จริงๆ
บัดนี้พวกเขามองมายังลู่เฉินและไม่ได้คิดหวาดกลัวอีกต่อไป ในทางกลับกันพวกเขามองไปยังลู่เฉินด้วยท่าทางอวดเก่ง
“คุณลู่เฉินใช่ไหมนะ ขอถามหน่อยว่าคุณเคยดื่มเหล้ากับเซ่ซูเจี๋ยมาก่อนหรือเปล่า?” อดไม่ได้จริงๆ เมื่อเลขาจางเดินเข้ามาเขาก็ได้ พูดจาถากถางลู่เฉิน
“แหมพี่ก็ ให้เกียรติเขามากไปหรือเปล่า เขาเนี่ยนะจะดื่มเหล้ากับเซ่ซูเจี๋ยไ?ด้ คาดว่าแค่คำพูดสักประโยคเดียวก็คงไม่เคยมีโอกาสได้พูดกับเซ่ซูเจี๋ยหรอก” เจียงหยูพูดออกมา
“แหม เธอก็เกินไป เขาน่าจะไม่รู้จักแม้กระทั่งเซ่ซูเจี๋ยหน้าตายังไงด้วยซ้ำ จะมีโอกาสที่ไหนไปดื่มและพูดคุยกันล่ะ?!” เจียงผิงพูดและมองไปทางลู่เฉินอย่างได้ใจ
ลู่เฉินมองดูสี่พี่น้องตระกูลเจียงแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวขำอยู่ในใจ
“คุณเลขาจางมาหาพวกเราสี่คนใช่ไหมครับ? ผมชื่อว่าเจียงเทาและอีก 3 คนนี้เป็นน้องสาวของผมและพี่ชาย”
ในขณะนั้นเองเลขาจางมองมาเห็นลู่เฉินจึงได้รีบเดินตรงมา
เมื่อเห็นเลขาจางเดินมาเจียงเทาและอีก 3 คนที่เหลือก็รีบลุกขึ้นยืนต้อนรับ
แต่เลขาจางมองดูพวกเขาทั้งสี่และขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็คลายลงในไม่ช้า
“คุณลู่ครับ อยู่ที่นี่เองเหรอ ผมตามหาตั้งนาน คุณเซ่ซูเจี๋ยบอกว่ายังไม่เห็นคุณเข้าไปด้านในคิดว่าคุณยังไม่มาเสียอีก
เลขาจางไม่ได้สนใจสี่พี่น้องแม้แต่น้อย เขาเดินมาและจับมือกับลู่เฉิน
ลู่เฉินเป็นตัวละครหลักที่เซ่ซูเจี๋ยจะกล่าวขอบคุณในวันนี้ จะไม่ปรากฏตัวด้านในได้อย่างไร