ตอนที่ 34
เวลม่าดันเตรียมขนมรอไว้ให้แค่ชุดเดียว จนต้องบอกให้ไปหยิบมาเพิ่มอีกชุด
ไม่คิดเลยว่าตุ๊กตาพวกนี้จะมีข้อบกพร่องอยู่ด้วย นึกว่าจะเป็นเครื่องจักรที่สมบูรณ์แบบเสียอีก
ไอรินที่รู้สึกเช่นนั้นพูดออกมา ในขณะที่ฉันก็พยักหน้าให้เธอเงียบๆ พลางรับถ้วยน้ำชามาวางไว้ตรงที่นั่งของตัวเอง
จากที่คุยกันมา ในคืนนี้ นอแมนจะนำวงเวทย์ติดตามไปวางหกจุด ได้แก่คฤหาสน์ทั้งห้าหลังและใจกลางสวนดอกไม้
หลังจากที่วางเสร็จ วงเวทย์ติดตามที่กระจายออกเป็นวงกลมทั้งหกจุดก็จะซ้อนทับกันและช่วยระบุตำแหน่งของเขี้ยวแวมไพร์อันเป็นเป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้
พวกเรามีหน้าที่ทำตัวเรื่อยเปื่อยพลางแสร้งว่านอแมนขึ้นไปนอนแล้ว โดยระหว่างนั้นก็คอยจับตามองไม่ให้ตุ๊กตาที่ชื่อเวลม่ารู้สึกสงสัย
เป็นงานง่ายๆไม่ยากมาก แต่ก็รู้สึกกดดันอย่างน่าประหลาด
คืนนี้น่าจะนอนไม่หลับ แต่ไม่ใช่เพราะกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง
หากแต่เป็นความเสี่ยงจากการที่นอแมนทำพลาดแล้วความแตกเรื่องของพวกเราต่างหาก
“~ ♪”
แต่ถึงจะเป็นอย่างงั้น พอได้เห็นไอรินเคี้ยวคุกกี้อย่างเอร็ดอร่อย ความกังวลที่อยู่ข้างในก็ถูกพัดกระจายออกไปประหนึ่งควันขาวๆบนชาอุ่นๆที่ไอรินกำลังเป่าฟู่ๆอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
“ฮึม ~ ♪”
ฉันก็เลยทำตัวผ่อนคลายบ้างพลางยกชาอุ่นๆขึ้นจิบแล้วลิ้มรสหวานๆปนขมอ่อนๆที่ทำให้ลำคอที่แห้งผากชุ่มชื้นขึ้นมาราวกับร่ายมนต์
“จิบชาอุ่นๆหลังอาบน้ำเสร็จ แบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน”
“อื้ม ! แต่ถ้ามีนมด้วยจะดีมากเลย”
แกร๊กๆๆๆ
“อ๊ะ !?”
หลังจากที่ไอรินพูดจบ เวลม่าก็เคลื่อนที่ออกไปจากห้อง ก่อนจะกลับมาในห้องอาหารพร้อมกับหม้อเล็กๆหม้อหนึ่งในเวลาไม่ถึงห้านาที
เมื่อเปิดฝาหม้อออก ก็พบกับของเหลวสีขาวที่มีควันขาวอ่อนปกคลุมอยู่เล็กน้อย
“โอ๊ะ ? ขอบใจ”
พอรู้ว่าอีกฝ่ายเอานมอุ่นๆมาให้ตามที่ตัวเองเปรยเอาไว้ ไอรินก็ยื่นแก้วให้อีกฝ่ายตักนมแล้วเทใส่
ฟู่ว…ฟู่ววว
ริมฝีปากเล็กๆเป่าผิวน้ำเหนือแก้วเบาๆเพื่อระบายความร้อน จากนั้นก็ลองจิบเบาๆนิดหน่อย
พอรู้ว่าไม่ร้อน เด็กสาวก็ยกซดแล้วกลืนอึกๆอย่างรวดเร็ว
“บุ๊ ฮ่าาาา สุดยอดไปเลย !”
ไอรินวางแก้วลงด้วยรอยยิ้มพึงพอใจโดยที่มีคราบนมคล้ายหนวดขาวๆเปื้อนอยู่รอบปาก
“พี่ริซลองบ้างไหมคะ ?”
“อื้ม !”
ว่าแล้ว ฉันเลยยื่นแก้วของตัวเองไปให้เวลม่าบ้าง โดยที่มืออีกข้างก็เอาผ้าเช็ดปากมาเช็ดให้ไอริน
“…………..”
“หืม ?”
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ระหว่างนั้นกลับรู้สึกเหมือนโดนเวลม่าจ้องใส่ด้วยสายตาแปลกๆ
แกร๊กๆ
ทว่า ในท้ายที่สุด เวลม่าก็ค่อยๆรินนมใส่แก้วให้ฉัน ในขณะที่ไอรินก็บอกฉันด้วยท่าทางเขินๆว่า ‘หนูเช็ดเองได้น่า !’
แกร๊กๆ
พร้อมๆกับเสียงไม้ที่เสียดสีกันของเวลม่า นมอุ่นๆก็ค่อยๆพูนขึ้นมาอย่างช้าๆ โดยมีเสียงซ่า~ ของสายฝนที่กระทบหน้าต่างเปรียบเสมือนเสียงคลอของมาราคัสที่ดังเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง
การจ้องหน้ากันกับเวลม่าเมื่อครู่ทำให้เกิดบรรยากาศที่เงียบสงบและชวนให้รู้สึกขลังจากการขับเน้นโดยห้องอาหารที่ปูพื้นด้วยหินอ่อนและมีแสงไฟอ่อนๆสลัวๆอยู่ดวงเดียว
ทว่า ทันทีที่จิบนมอุ่นๆเข้าไป ร่างกายที่เริ่มหนาวเย็นตามปลายมือปลายเท้าจากอุณหูมิที่ลดต่ำประหนึ่งเดือนเหมันต์ที่ย่างกายเข้ามา ก็สัมผัสได้ถึงซูปเปอร์โนวาที่ระเบิดออกมาจากข้างใน
นมอุ่นๆที่ไหลตามลำคอได้ลงไปกองอยู่ตรงกลางอก ก่อนจะแผ่กระจายความอบอุ่นออกไปทั่วร่างแล้วหวนคืนผิวกายที่ขาวซีดให้กลับมามีสีชมพูเปล่งปลั่งดั่งแรกเกิด
แถมยังมีรสหวานที่ชุ่มฉ่ำซึ่งวนเวียนอยู่ภายในปากจนต้องกวาดลิ้นไปมาราวกับรถไฟเหาะที่หมุนวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ยากจะกลั้นความเปรมปรีด์ไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า จนทำให้แสงไฟที่มีอยู่ดวงเดียวกลับดูสว่างขึ้นราวดวงอาทิตย์ได้ตายแล้วเกิดใหม่เป็นหลอดไฟ
“อ่า….ดีจริงๆ”
ไม่รู้ทำไมการได้ดื่มนมอุ่นๆหลังอาบน้ำร้อน มันถึงได้ทำให้มีความสุขซ่ะขนาดนี้
ไม่เข้าใจๆ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
ถึงจะไม่เท่ากับความไม่เข้าใจที่ว่า ทำไมน้องสาวของฉันที่อาบน้ำเสร็จถึงได้น่าฟัดน่ากอดมากขนาดนี้ ?
เมื่อมองดูไอรินที่ค่อยๆใช้ริมฝีปากสีชมพูอ่อนเป่าควันฟู่ๆอย่างช้าๆ มันก็ทำให้ทัศนวิสัยของฉันบีบแคบลงอีกครา
ดวงตากลมเล็กหรี่ลง ริมฝีปากชมพูนวลน้ำขยับขึ้นลงอย่างมีจังหวะ โดยมีแก้มนิ่มๆยุบพองเข้าออกอย่างช้าๆ
ซ้ำร้ายชุดนอนเปิดไหล่ก็เผยให้เห็นหัวไหล่เนียนขาวที่เจือด้วยสีชมพูอ่อนๆยามจับต้องด้วยแสงไฟ
“—-?”
ยิ่งตอนที่เธอรู้สึกถึงสายตาของฉัน ดวงตากลมโตสีไพรินก็จ้องกลับมาแล้วเอียงหัวเล็กน้อยอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
เฮ้อ~ ให้ตายสิ ทำไมกันนะ ? พอมองไอรินที่แสนจะน่ารักแล้ว มันกลับทำให้นมอุ่นๆที่ทานเข้าไปมันช่างจืดชืดและเย๊นเย็น~ ♪ เทียบไม่ได้กับแก้มนิ่มๆที่ตัวฉันในตอนนี้ยื่นมือไปสัมผัสเลยแม้แต่นิดเดียว
“คะ ?”
พอรู้สึกตัวอีกที ไอรินก็ทำหน้างงใส่ ในสภาพที่ตัวฉันซึ่งมีใบหน้าเจือด้วยสีแดงฝาดและมีดวงตาที่หยาดเยิ้มกำลังยื่นมือไปลูบแก้มของเธอเบาๆ
ทว่า ไอรินก็คงชินกับพฤติกรรมแปลกๆของฉันแล้ว เธอจึงไม่พูดอะไรนอกจากก้มหน้างุดแล้วจิบนมต่อโดยที่ใบหูของเธอย้อมไปด้วยสีแดง
รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิของร่างกายที่ร้อนขึ้นจากผิวแก้มสีแดงฝาดที่ฉันสัมผัสอย่างเบามือประหนึ่งเครื่องแก้วที่แตกสลายได้ง่ายๆหากจับแรงเกินไป
ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการกินนมหลังอาบน้ำเสร็จจะทำให้คนเรามามายได้ขนาดนี้ หรือว่า บางทีอาจจะเป็นเพราะแสงไฟสลัวๆและเสียงคลอของสายฝนที่ทำให้ไอรินยามอาบน้ำเสร็จ แลดูหวานหอมยิ่งกว่าของหวานใดๆที่เคยลิ้มลอง
อ๊ะ ! แต่ที่เพ้อมาตั้งขนาดนี้ ไม่ได้แปลว่าจะกินไอรินหรอกนะ พวกเราเป็นพี่น้องที่เชื่อมต่อกันด้วยด้ายเงินจากอภิมหาโคตรของโคตรไวเบรเนี่ยมที่กระทั่งเอาดาบอาดามันเที่ยมหนึ่งล้านเล่มมาตัดก็ไม่ขาด
ไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปกว่าคำว่าพี่น้อง ไม่อาจก้าวล้ำไปสู่สายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและแนบเนื้อ หากแต่ความสัมพันธ์ของพวกเรานั้นแน่นแฟ้นกันยิ่งกว่าความรักที่คนรักมีให้กันและกันเสียอีก
— เป็นเหตุผลในการมีชีวิตของอยู่กันและกัน นั่นคงเป็นนิยามที่เรียบง่ายที่สุด
ในค่ำคืนนี้ แม้นอแมนจะเสี่ยงตายจนเลือดตาแทบกระเด็น แต่สายตาของฉันก็ไม่อาจเว้นว่าง ห่างจากไอรินที่จับจองทั้งหัวใจและดวงตาของฉันไปจนสิ้น
“~ ♪”
“งื้อ……..”
ฉันลูบเรือนผมสีชมพูอ่อนของไอรินเล่นแล้วฮัมเพลงอย่างมีความสุข ในขณะที่ไอรินก้มหน้างุดๆแล้วจิบถ้วยชาที่ว่างเปล่าเพื่อปิดบังความเขินอายที่ไม่อาจปกปิดเอาไว้ด้วยใบหน้าที่เเดงก่ำได้อีกต่อไป
รอยยิ้มของฉันในตอนนี้คงไม่ดีต่อหัวใจของใครหลายๆคนเลยทีเดียว
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
นักสืบที่ดีต้องเป็นได้ทุกอย่างตั้งแต่สัปปะเหร่อยันสายลับ
จงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแล้วเข้าถึงแก่นแท้ของชีวิตเพื่อเปิดเผยความจริงให้โลกรู้
ไม่มีคดีใดที่ไม่อาจไขได้
ไม่มีสิ่งใดที่ไม่สามารถเป็นได้ หากนั่นจำเป็นเพื่อการไขข้อกระจ่าง
เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าจะอีกกี่สิบกี่หมื่นครั้ง นักสืบจึงสามารถเป็นได้ทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นจุลินทรีย์ในลำไส้หนอนชาเขียว หรือแม้กระทั่งพรหมเช็ดเท้าของพระพรหมก็ตาม
ทว่า ในครั้งนี้ มันกลับมีอยู่หนึ่งสิ่งที่นอแมน เอเดนทรอย ไม่สามารถปลอมเป็นได้
.
.
.
.
.
นามของสิ่งนั้นก็คือ ‘กระดาษทิซซู่’ นั่นเอง ……
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ซ่าๆๆๆๆๆ
ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ ชายหนุ่มผมทองที่อุตส่าห์ฝ่าฟันกับดักออกมาอย่างเลือดตาแทบกระเด็นกลับต้องเผชิญกับความจริงที่ยากจะยอมรับ
หลายๆคนไม่ว่าจะตัวนอแมนเอง หรือ แม้กระทั่งผู้อ่านบางท่านก็คงพอจะเดากันได้อยู่แล้ว
— ครั้งที่หนึ่ง ในร้านอาหาร ไอริซหยิบทิซซู่ในห่อทิซซู่ที่นอแมนเอามาทำภารกิจไปเช็ดปากให้ไอริน ซึ่งทิซซู่ในห่อก็มีอยู่ตั้งหลายสิบแผ่น แต่ไอริซดันไปหยิบทิซซู่ปลอมๆที่วาดวงเวทย์ติดตามเอาไปใช้ (ตอนที่ 30)
— ครั้งที่สองก็คือเมื่อกี้ ตอนที่นอแมนโดนนวดหน้าจนทำให้ห่อทิซซู่กระเด็นออกจากประเป๋ากางเกง ปากไอรินก็บอกว่ารังเกียจเขาจนอยากให้ไปตาย แต่สุดท้ายเธอก็เอาทิซซู่ของนอแมนไปเช็ดมือของไอริซที่พึ่งสัมผัสมือเขาอีกที (ตอนที่ 33)
อะไรว่ะเนี่ย ? เกลียดกันก็อย่าใช้ทิซซู่ของตรูสิฟระ ! นอแมนแทบอยากจะตอกหน้ากลับไปเหลือเกิน แต่เดี๋ยวจะดูไม่เป็นผู้ใหญ่ ก็เลยไม่ทำ
ไว้เผลอๆล้างแค้นด้วยวิธีอื่นดีกว่า นี่แหล่ะคือวิธีแก้ปัญหาของผู้ใหญ่
แม้จะไม่มีใครบอก แต่พล็อตเรื่องตั้งแต่เมื่อตอนร้านอาหาร ที่มีคำว่าทิซซู่โผล่ขึ้นมา หลายๆคนก็คงเดาได้ว่านอแมนจะต้องเจอปัญหาทิซซู่วงเวทย์ติดตามไม่พอเพราะสองพี่น้องเผลอหยิบไปใช้…ล่ะมั้ง ?
‘เอาเถอะ จะพยายามคิดว่าไม่ได้ตั้งใจล่ะกัน’
นอแมนที่เห็นอีสองพี่น้องคนนั้นหยิบทิซซู่ที่จำเป็นต่อภารกิจไปใช้หน้าตาเฉยก็พยายามคิดเช่นนั้นแล้วแสร้งยิ้มใสซื่อมาโดยตลอด
ฮึ ! ใช่แล้ว พล็อตเรื่องดาษดื่นโง่ๆ มุขห่วยๆทำนองว่ากระดาษทิซซู่ไม่พอ ต่อให้เป็นนอแมนคนนี้ก็เดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก
“ฮ่าๆๆๆ คิดว่าอุปสรรคแค่นี้ไม่อยู่ในการคาดการณ์ของฉันอย่างงั้นเรอะ !”
ตัวเขาเคยหัวเราะให้โชคชะตาของตัวเองด้วยรอยยิ้มลำพองใจมาก่อน
‘แผนการแอบยัดทิซซู่ที่วาดวงเวทย์ติดตามเอาไว้ในกระดาษทิซซู่จริง จากนั้นก็รอโอกาสในคืนที่ฝนตกเพื่อเข้าไปในคฤหาสน์แล้วเอาวงเวทย์ติดตามที่สลักไว้ในกระดาษทิซซู่ไปแปะติดตั้งที่สวนและคฤหาสน์ทั้งห้าหลัง’
ในประโยคดังกล่าว ไม่มีอะไรที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์เลยแม้แต่น้อย
“คิดว่าฉันจะเตรียมทิซซู่มาห่อเดียวรึไง !”
ใช่ ! นอแมนนั้นมีกระดาษทิซซู่ที่สลักวงเวทย์ติดตามอยู่เป็นสิบแผ่น ! ต่อให้สองพี่น้องเอาไปเช็ดตูดถึงสี่ห้าแผ่น มันก็ไม่ได้หนักหัวนอแมนจนต้องร้องไห้โวยวายออกมาเลยแม้แต่น้อย !
นอแมนที่คิดเช่นนั้นปั้นหน้ายิ้มพลางหัวเราะเหตุการณ์ผิดคาดที่ยังคงอยู่ในการคาดการณ์ของตนเอง
ยอดนักสืบนอแมน เอแดนทรอย เชื่อเช่นนั้นตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในคฤหาสน์
ถึงจะทำเป็นบ่นและแสร้งทำเป็นกลัว แต่นั่นก็เพราะว่าต้องคุมคาแรกเตอร์ความเป็นตัวเกรียนประจำเรื่องเท่านั้นต่างหาก
เซเบอรัสก็มาเหอะ กับดักก็มาสิว่ะ
คิดว่า ยอดนักสืบที่เป็นได้ทุกอย่างตั้งแต่นิวเคลียสของอะมีบา ยันฝารองส้วมของพระอิศวร มันจะกลัวอย่างงั้นรึ ? กับปัญหาง่ายๆแค่นี้ ?
กับดักผ่านฉลุย กดสกิล wind walk แล้วกด blink ใช้มานาไม่ถึงครึ่งก็สามารถยึดป้อมได้สบายๆ
ส่วนพวกลูกหมาเซเบอรัสก็แค่มอนป่าเลเวล 1 มีหรือจะสู้นักสืบเวลตัน เวล 15 ที่ต่อให้โดนงับใส่ก็งับกลับแบบแฟร์ๆ
ฮึ ! ก็แค่ได้แผลกลับมานิดๆหน่อย เลือดพุ่งเป็นน้ำพุ เดี๋ยวเอากาวตาช้างทา แป๊ปเดี๋ยวก็หาย
สบายๆ เรื่องจิ๊บๆ เจ็บตัวนิดหน่อยๆ แค่นี้ก็วางวงเวทย์ไว้ตามคฤหาสน์ได้สบายๆ
รู้สึกเหมือนจะโดนคุณหัวหน้าพ่อบ้านสงสัยและไล่ตามมา แต่ระดับนอแมนแล้ว ก็แค่ล่อเป้าโดยการไล่เปิดหน้าต่างทุกบานจนฝนสาดเข้ามาตามทางเดินทำให้หัวหน้าพ่อบ้านต้องหัวหมุนกับการทำความสะอาดกันยกใหญ่ แม้จะเป็นพ่อบ้านที่เก่งจนเทพราห์เรียกพ่อ แต่เจอแบบนี้เข้าไปย่อมหัวร้อนจนเสียสมาธิและคลาดสายตาจากนอแมนตีนผีเป็นธรรมดา
ผลสรุปสุดท้ายก็มิชชั่นเคลียร์ไปห้าอย่าง สามารถวางวงเวทย์ไว้ห้าที่ตามที่กำหนด
ตอนนี้เหลือเพียงจุดสุดท้าย นั่นก็คือกลางสวนนั่นเอง
“หึ !”
สุนัขทุกตัวต่างสยบอยู่แทบเท้าของเขาเป็นที่เรียบร้อย
ซ่าๆๆๆๆๆๆๆ
แม้สายฝนจะโหมกระหน่ำซักเพียงไร มันก็ไม่เป็นปัญหาต่อการติดตั้งวงเวทย์ติดตาม
“เป็นแผนที่สมบูรณ์แบบ ส่วนตัวฉันที่ทำภารกิจนี้ได้ราบรื่นก็สุดยอดพอๆกัน”
ชายหนุ่มเชิดหน้ามองดวงดาวที่เต็มไปด้วยเมฆหมอกด้วยท่าทางมั่นใจ ก่อนจะก้มหน้ามองวงเวทย์ติดตามที่วางอยู่ตรงหน้า
ซ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
“หึๆๆ”
ชายหนุ่มผมทองที่เปียกปอนยืนหัวเราะอยู่ท่ามกลางสายฝน
ซ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
หัวเราะ…ชายหนุ่มรูปงามเสียของ หัวเราะอย่างมีชัยราวกับว่าภารกิจของตนสำเร็จไปแล้วเรียบร้อย
ทว่า พริบตาที่มองกระดาษทิซซู่ที่อยู่ตรงพื้นอีกครั้ง—
“…………………”
ซ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
สายฝนที่โหมกระหน่ำกระทบเเผ่นหลังของชายหนุ่มจนร่างของเขาค่อยๆทรุดลงที่พื้นอย่างช้าๆ
กึก….
เข่ากระแทกพื้น มือสองข้างขยำดอกไม้ริมทางด้วยความเจ็บใจ
ใบหน้าที่เก่งกล้ามาโดยตลอดแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวอย่างช้าๆ
หยาดน้ำที่ไหลจากฟากฟ้าได้หลอมรวมกับหยดน้ำที่ไหลออกจากดวงตาจนยากจะแยกว่า ‘นี่คือน้ำตาหรือสายฝนกันแน่ ?’
“ทำไมกัน ?”
ชายหนุ่มมองทองฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆหมอกพลางเอ่ยถามดวงจันทร์ที่ซ่อนอยู่หลังฝน
“ทำไมกระดาษทิซซู่ถึงไม่กันน้ำกันเล่า !!!”
เสียงตะโกนของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังอย่างสุดซึ้ง หากดวงจันทร์มีหัวใจ มันคงตอกกลับมาว่า ‘กระดาษทิซซู่บ้านแม่แกกันน้ำได้ด้วยหรอวะ ?’
“ทำไมๆๆๆ ทำไมถึงพึ่งมารู้ตัวเอาตอนนี้กันฟ่ะ !!!”
แผนการของเขา มันพังมาตั้งแต่แรกแล้ว
‘เลือกวันที่ฝนตก เพื่อจะหาข้ออ้างมานอนค้าง ระหว่างนั้นก็เอากระดาษทิซซู่ซึ่งสลักวงเวทย์ติดตามไปวางไว้ในคฤหาสน์ทั้งห้าหลังแล้วก็สวน’
ดันลืมไปซ่ะสนิทว่า ถ้าเอากระดาษทิซซู่มาวางทิ้งไว้กลางฝน มันก็จะเปียกจนเปื่อยยุ่ยเหมือนหน้าเหี่ยวๆของคุณยายอ้วนๆที่เกลือกกลิ้งอยู่แถวบ้าน
อีแบบนี้วงเวทย์ที่สลักเอาไว้ก็คงกลายเป็นส่วนหนึ่งของปุ๋ยบำรุงดินโดยไม่ต้องสงสัย
ทว่า กว่าจะรู้ตัว แผนการก็ได้เริ่มดำเนินการมามากว่า 90% ไปแล้วเรียบร้อย
“บ้าเอ้ย ! บ้าชะมัด เจ็บใจๆๆๆ แบบนี้มันน่าเจ็บใจที่สุดเลย !!!”
ชายหนุ่มผู้ใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเคลียร์เควสรู้สึกผิดหวังจนอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอด
ทำไม ความพยายามของเขาถึงล้มเหลว ?
ทำไม สิ่งที่เขาอุตส่าห์วางแผนไว้อย่างดีถึงพังทลายลงอย่างง่ายดาย ?
“ไอ้เวรเอ้ย ! ไอ้เศรษฐีหัว**ย ไหนใครบอกแกรวยนักรวยหนา ทำไมถึงไม่เอากันสาดมาติดในสวนดอกไม้กันเล่า !?”
ติดเพื่อ ?
ถ้ามหาเศรษฐีบาเรนที่กำลังมุดฟูกอยู่เพราะกลัวเสียงฟ้าร้องได้ยิน เขาก็คงตอบกลับมาเช่นนั้น
“แล้วไอ้ฝนเวรนี่จะตกอะไรกันนักหนา ! ทำไมแกต้องมาตกในวันที่ฉันทำภารกิจด้วยวะ !?”
แกต่างหากที่เสือกมาทำภารกิจในวันที่พวกตรูควบแน่นกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ ถ้าเมฆฝนมันพูดได้ก็คงตอกกลับมาเช่นนั้นแล…
“ฮึก ! ฉันไม่ได้ผิดซักหน่อย ที่ผิดพลาดน่ะมันโลกใบนี้ต่างหาก ใครมันจะไปรู้กันว่าทิซซู่เปียกเมื่อโดนน้ำ…เรื่องพรรคนั้นน่ะ แม้แต่พระเจ้าก็ไม่มีทางรู้หรอกเฟ้ย !!!”
เป็นคำตอบที่ถ้าเด็กอนุบาลไม่สามารถตอบได้ โลกใบนี้ก็คงล้มเหลวทางการศึกษาเป็นแน่แท้
“บ้าเอ้ยๆๆๆๆ ทำไมกัน ทำไมถึงล้มเหลวอีกแล้ว !”
ชายหนุ่มได้แต่กำหมัดพลางทุบกำปั้นลงที่พื้นราวกับจะตัดพ้อ
“ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำอีกๆ ในชีวิตนี้จะสำเร็จซักครั้งไม่ได้รึไง…ล้มเหลวมาตลอด แล้วก็ยังล้มเหลวตลอดไป กะอีแค่ภารกิจง่ายๆแค่ครั้งนี้…แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว เราก็ยัง..ฮึก ! เราก็ยัง”
นอแมน เอเดนทรอย
โคตรของโคตร loser ที่ในชีวิตนี้ไม่เคยทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน
ทุกภารกิจที่เขาเข้าร่วมด้วยอัตราการสำเร็จนั้นเท่ากับ 0
ทุกปาร์ตี้ที่เขาเข้าร่วมล้วนตายห่า ไม่โดนสไลม์แดกก็โดนแปรรูปกลายเป็นปุ๋ยจุลินทรีย์ช่วยบำรุงหน้าดินให้ต้นไม้โลก
จะเรียกว่า นักสืบดวงโคตรซวยที่ถูกโลกใบนี้กำหนดให้เป็นตัวรับตีนและดูดเรื่องแย่ๆเอาไว้คนเดียวเลยก็ว่าได้
ถ้าถามว่าใครทำหน้าที่เป็นแทงค์รับตีนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก นอแมนผู้นี้ย่อมเป็นตัวเก็งอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
รู้สึกผิดหวัง รู้สึกเศร้า
นอแมนเจ็บปวดกับความล้มเหลวจนไม่อาจก้าวไปไหนได้
“เฮ้อ….มันจบแล้วล่ะ”
ต้องรีบกลับไปถอนวงเวทย์ติดตามออกมาเพื่อทำลายหลักฐาน แต่ในตอนนี้ตัวเขาไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกต่อไปแล้ว
“ฉันจะทำยังไงดี….รีเวีย”
ในช่วงสุดท้ายของชีวิต คนเราก็มักจะพร่ำเพ้อถึงใครบางคนที่สำคัญกับเราเป็นธรรมดา
“ไม่ว่าจะทำอะไร ฉันก็ล้มเหลวตลอด…ไม่มีซักอย่างที่ฉันทำสำเร็จ…ฉันน่ะเหนื่อยกับการพยายามเต็มทีแล้ว”
ชายหนุ่มปล่อยให้น้ำตาไหลรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสายฝนแล้วเอนร่างลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
ดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวามองดูสวนดอกไม้ที่ถูกลมพายุกรรโชกอย่างรุนแรงด้วยสายตาว่างเปล่าไร้อารมณ์
อ่า…ปล่อยให้มันจบสิ้นลงแค่นี้แหล่ะ
พอแล้วล่ะ
ตัวเราน่ะ….พอแค่นี้ดีกว่า
เหนื่อยมามากพอแล้ว
เฮ้อ…เหนื่อยกับการวางแผนโง่ๆนี่มาหลายวัน
พอเถอะ พยายามไปก็เท่านั้น
นี้น่ะไม่ใช่จุดที่สามารถถอยได้อีกแล้ว
“ถ้าจะขอพักซักหน่อย เธอคงไม่ว่าฉันใช่ไหมรีเวีย ?”
ชายหนุ่มที่พร่ำเพ้อ มองไปยังสวนดอกไม้ที่ค่อยๆพังทลายอย่างช้าๆ
ซ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
สายฝนนั้นรุนแรงขึ้นราวกับจะตอกย้ำความโง่เขลาของตัวเอง
เปรี้ยง !
ฟ้าที่ผ่าลงมาดังลั่นราวกับจะต่อว่า คนเขลาอย่างเขาที่ทำอะไรไป มันก็เปล่าประโยชน์
ฟู่ววววววว
ลมหายใจเย็นยะเยือก ภาพข้างหน้าค่อยๆพร่ามัวอย่างช้าๆ
“อ่า…เหมือนกับดอกไม้พวกนั้นเลย”
พายุที่รุนแรงได้พัดดอกไม้จนปลิวหายไปทีละต้นสองต้น
นอแมนนอนนับดอกไม้ที่ค่อยๆถูกลมพัดออกไปอย่างไร้ความหวัง
อ่า…ถ้าเราที่แสนจะไร้ความสามารถถูกพัดหายไปด้วยก็คงดี เหนื่อยมากพอแล้วกับไอ้โลกบัดซบพรรคนี้
“1…….2……3…..4….”
เสียงนับเลขเบาๆดังขึ้นท่ามกลางเสียงฝนตกที่โหมกระหน่ำ
“10…..15…..18……50”
จำนวนของมันเท่ากับจำนวนดอกไม้ที่ปลิวขึ้นฟ้า แต่บางครั้งก็ขาด บางครั้งก็เกิน
เป็นการใช้เวลาในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่ช่างไร้ความหมายซ่ะเหลือเกิน
แต่ใครมันจะไปสน
ไม่ว่าเขาจะทำหรือไม่ทำ มันก็ไม่ต่างกันอยู่ดี
“101….102….205…..300…..2 ล้านล้าน”
นับไปนับมา ดูเหมือนเจ้าตัวจะขี้เกียจนับเสียเอง ไม่ก็ตอนประถมไม่ตั้งใจเรียนในคาบเลขที่อาจารย์สอน
แต่ที่แน่ๆ ดอกไม้ทั้งสวนไม่มีทางถึงสองล้านล้านซึ่งตีมูลค่าเทียบเท่าเรือดำน้ำแน่ๆ
กระนั้นแล้ว เขากลับนับต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง—-
“หืม ?”
ท่ามกลางดอกไม้หย่อมหนึ่งที่เคยเป็นสีเหลืองแล้วหายไปทั้งหย่อม รู้สึกบริเวณดังกล่าวจะเป็นบริเวณที่ปลูกด้วยดอกไม้ซึ่งมีชื่อเรียกเพี้ยนๆว่า ‘Stand alone (ดอกไม้ผู้โดดเดี่ยว)’
แม้นดอกไม้ดังกล่าวจะมีสีเหลืองสวยงาม แต่อายุขัยมันกลับสั้นไม่ถึงครึ่งของอายุหนอนชาเขียว
ผลิบานแล้วร่วงโรยด้วยเวลาชั่วอึดใจ อายุขัยของพวกมันช่างแสนสั้นจนน่าสิ้นหวัง
ยิ่งพอเจอกับพายุอันรุนแรง ทุ่งดอก Stand alone กลับเป็นทุ่งดอกไม้ทุ่งแรกๆที่ปลิวหายไปกับสายลมจนจัดได้ว่าเป็นพืชที่ต้องดูแลไว้ดีๆภายในตัวอาคาร ทว่าสำหรับเศรษฐีที่ปลูกเพื่อความสวยงาม ต่อให้หายไปก็ซื้อมาปลูกใหม่ได้ไม่มีปัญหา
ชีวิตของพวกมันก็เป็นแค่เครื่องประดับ ราวกับนอแมนที่เป็นแค่ของประดับของโลกใบนี้
จะอยู่หรือตายก็ไม่ต่างกัน ถ้าหายไปซักคนก็แค่หาคนอื่นมาแทนได้ง่ายๆ
‘อ่า…..มันช่างคล้ายกับตัวเราในตอนนี้ซ่ะเหลือเกิน’
ถูกพายุที่เรียกว่า ‘ความล้มเหลว’ ถาโถมเข้าใส่ จากนั้นก็ปลิวหายไปอย่างง่ายดาย
ทุ่งดอก Stand alone ได้ย้ำเตือนถึงสัจธรรมของชีวิตของเขาในข้อนี้
‘ใช่….ต่อให้เราหายไปซักคน มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก’
หายไป….เหมือนกับเธอคนนั้น ตายจากไปแล้วทิ้งให้คนที่เหลืออยู่ต้องเผชิญกับโลกอันไร้เหตุผล แต่ตัวเขานั้นต่างออกไป เพราะในชีวิตนี้ไม่เหลือใครอยู่ข้างหลังแม้แต่คนเดียว
เพราะงั้น ถ้าเขาหายไปซักคน มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน
ถ้าเขาหายไปเสียตอนนี้…ถ้าเขายอมแพ้แล้วปลิวไปเหมือนดอกไม้พวกนั้นแล้วล่ะก็
เพียงแค่นั้น—-
“แบบนั้น มันก็จะสบายกว่าไม่ใช่รึไง ไอ้โง่เอ้ย !!!”
มองไปยังทุ่งดอก Stand alone ที่บัดนี้โล้นเตียน เหลือเพียงหนึ่ง
แม้นดอก Stand alone นั้นมีมากเป็นหมื่นแสน แต่กลับมีดอก Stand alone เพียงหนึ่งที่ยืนหยัดท่ามกลางสายฝน
แม้พวกพ้องที่เหลืออยู่จักปลิวหายไปพร้อมกับพายุที่ถาโถมเข้าใส่ แต่กระนั้นก้านเล็กๆที่โค้งงอใกล้จะหักกลับมิยอมเอนอ่อนแล้วล่องลอยไปตามสายลม
“ยอมแพ้สิว่ะ ! ยอมแพ้ซักทีสิ ! คนอื่นๆก็ยอมแพ้กันไปหมดแล้วไม่ใช่รึไง ! คนอื่นๆเขายอมแพ้กันไปหมดแล้ว ทำไมแกถึงไม่ยอมแพ้ไปซักที !!!”
ชายหนุ่มพูดกับดอกไม้ Stand alone ที่เหลืออยู่เพียงต้นเดียวราวกับคนบ้า
“ชีวิตของแก มันมีดีอะไรกันนักกะหนา ก็แค่ช่วงชีวิตสั้นๆของดอกไม้ที่อายุไม่ถึงครึ่งของหนอนชาเขียว เฮ้ย ! ได้ยินรึเปล่าวะ ! ชีวิตของแกมันบัดซบยิ่งกว่าหนอนชาเขียวอีกน่ะเฟ้ย !!!”
นี่คือการบูลลี่ดอกไม้อย่างแท้จริง
“ราคาตลาดของแกแมร่งก็ถูกซิบหาย ปุ๋ยที่ใช้ปลูกดอกไม้ห่วยๆอย่างแก มันยังแพงกว่าเสียอีก ! รู้รึเปล่าว่ามันหมายความว่ายังไง ? ลงทุนไม่คุ้มกำไร นั่นมันหมายความว่าดอกไม้อย่างพวกแกมันหนักโลกยังไงละ !”
ชายหนุ่มเว้นหายใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันอ่อนแรง
“เหมือนกับตัวฉัน…คนที่ไม่เคยทำอะไรสำเร็จซักอย่าง….แม้แต่เด็กพวกนั้นยังแช่งให้ตายๆไปซ่ะไม่ใช่รึไง ?”
ดวงตาที่สั่นเครือ มองไปยังดอกไม้ที่ลู่ลมอย่างโดดเดี่ยว
“ทั้งๆที่รู้แบบนั้นแล้ว ทำไมถึงยังสู้กันเล่า ! ชีวิตของพวกเรามันมีอะไรดีหนักหนา สู้ไปแล้วได้อะไรขึ้นมา !? พยายามไป มันก็เท่านั้นไม่ใช่รึไง ! ล้มเหลวๆๆๆๆ สิ่งที่พวกเราทำมีแต่จะล้มเหลว ! ไอ้พวกที่พูดว่าถ้าพยายามไม่ว่าจะทำอะไรก็สำเร็จ มันก็แค่พวก 1% ของทั้งโลกที่พอทำอะไรได้ดีก็ลำพองใจแล้วใช้คำนั้นดูถูกคนที่ล้มเหลวต่างหาก !!!”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็ยืนขึ้นแล้วผายมือออกมา ท่ามกลางสายฝนที่ปะทะร่างกายของเขาแรงขึ้นเรื่อยๆ
“แกน่ะมันเกิดมาเพื่อล้มเหลวไม่ใช่รึไง !? ลองดูดอกไม้รอบๆกายแกสิ !”
ดอกไม้ Stand alone เหลือเพียงต้นเดียว ในขณะที่ดอกไม้ชนิดไม่ว่า Sunsine flower , north land flower, Tokyo flower หรือ Blue bear flower ต่างก็ตั้งตระหง่านและมีเพียงเสี้ยวเดียวที่ปลิวหายไปกับพายุ
“ถ้าพวกดอกไม้ชนิดอื่นในตอนนี้คือคนที่เกิดมาเพื่อประสบความสำเร็จ ตัวแกและผองเพื่อน มันก็แค่ loser ที่เกิดมาเพื่อแพ้ไม่ใช่เรอะ ! ต่อให้พยายามแค่ไหน มันก็ล้มเหลว ! ด้วยก้านเล็กๆนั่นที่แกได้มาตั้งแต่เกิด มันสู้ดอกไม้ชนิดอื่นที่มีก้านหนาๆตั้งแต่เกิดไม่ได้ไม่ใช่หรอ !?”
แกร๊กๆ
ก้านของดอก Stand alone ต้นสุดท้ายค่อยๆส่งเสียงกรอบแกรบอย่างช้า
“ใช่ไหมละ ! ถ้าแกไม่ยอมแพ้แล้วปลิวไปตอนนี้ ก้านของแก มันจะหักเอาน่ะเว้ย ! สู้แล้วได้อะไรขึ้นมา ถ้าสุดท้าย มันก็ไม่ต่างจากไม่สู้ เผลอๆแล้วถ้าชีวิตสู้กลับมันก็จะแย่กว่าเดิมอีกไม่ใช่หรอ !?”
ชายหนุ่มกัดฟันแน่น ในขณะที่มองดอกไม้ซึ่งไม่ยอมปลิวหายไปกับพายุเสียที
“เพราะงั้นแกน่ะกับยอมๆแล้วปลิวหายไปได้แล้ว เรื่องแค่นี้ทำให้ฉันหน่อยไม่ได้รึไง !!!”
ชายหนุ่มทรุดร่างลงกับพื้นแล้วทุบพื้นราวกับจะระบายอารมณ์
“ถ้าแม้แต่ดอกไม้โง่ๆอย่างแกยังสู้จนหยดสุดท้าย แล้วไอ้สวะอย่างฉันที่ห่วยแตกยิ่งกว่าแกมันคือตัวอะไรกันละ ?”
ภาพที่พร่ามัว ร่างกายที่หนาวสั่นไปถึงขั้วหัวใจ ริมฝีปากที่ซีดเผือดเอ่ยถามกับดอกไม้
“สุดท้ายแล้ว ต่อให้ไปถึงปลายทางที่แกรอด เพื่อนพ้องของแกก็ไม่เหลืออยู่แม่แต้ต้นเดียว….ดอก Stand alone ที่ยืนอย่างโดดเดี่ยวมีเพียงแค่แก แล้วแบบนั้นแล้วมันจะไปมีใครที่ยินดีกับความสำเร็จของแกด้วยเล่า…สุดท้ายแล้วต่อให้ไปถึงปลายทาง สิ่งที่รออยู่ก็มีแค่ความสิ้นหวัง มีแค่ความสิ้นหวังอย่างเดียวไม่ใช่รึไง ? ทั้งๆที่เป็นแบบ….ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น แกก็ยัง—”
ซ่าๆๆๆๆๆ
ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ
เมฆฝนนั้นบดบังเต็มท้องฟ้า
กระนั้นแล้วในโลกใบนี้กลับมีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องไปยังดอกไม้ Stand alone ดอกนั้นแค่จุดเดียว
“ตอแหลสิ้นดี…แกจะบอกอะไรกับฉันกันแน่”
ชายหนุ่มมองไปยังดอกไม้ที่โดดเด่นเหนือใครๆ
“โลกใบนี้มันไม่ได้อ่อนโยนแบบที่แกคิดหรอก ไม่มีแสงสปอร์ตไลท์ให้พวกขี้แพ้ ไอ้พวกที่ไร้ความสามารถมันก็ทำได้เพียงล้มลุกคลุกคลานอยู่ในมุมมืดๆ ไม่มีทั้งความหวัง ไม่มีทั้งอนาคต สุดท้ายแล้วก็ตายจากไปโดยชั่วชีวิตนั้นทำได้เพียงเอาตัวรอดไปวันๆ”
ใช่…โลกใบนี้มันโหดร้าย
โลกใบนี้มันไม่เคยปราณีใคร
“เพราะงั้นเลิกพยายามเสียที…เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว…ช่วยพอแค่นี้ทีเถอะ….”
ทว่า เมื่อเงยหน้ามองดอกไม้ต้นนั้น แม้ว่าจะไร้ซึ้งแสงจันทร์จากคำอ้อนวอนของชายหนุ่ม เมฆหมอกที่กลับมาบดบังดวงจันทร์อีกครั้งก็ไม่ได้ทำให้ต้นไม้นั้นหายไปกับสายลมแต่อย่างใด
“อึก……”
ยังไม่หายไปซ่ะที
ดอกไม้ต้นนั้นยังไม่หายไป
กลับกันแล้ว อยู่ๆแสงจันทร์ที่หายไปอย่างกะทันหัน ก็พลันส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้งโดยส่องลงมาตรงตำเหน่งที่มีดอกไม้ต้นนั้นเป็นจุดศูนย์กลาง
ก่อนจะแผ่กระจายออกไปโดยรอบ จนทั่วสวนปกคลุมไปด้วยแสงสว่าง
ทว่า แสงนั้นกลับมาหยุดลงที่เท้าของเขา….
มีแค่ตั้งแต่ตรงปลายเท้าของเขาที่แสงจันทร์ขาดตอนลงเพียงแค่นั้นจนทำให้ร่างของเขาและสวนที่อยู่เบื้องหลังปกคลุมไปด้วยเงามืดขมุกขมัว
“เฮ้ย….นี่แกกำลังดูถูกกันอยู่รึไง ?”
มีเพียงแค่เขาที่ไม่ได้รับแสงสว่างจากแสงจันทร์
“เฮ้ย ! ทำไมถึง—”
ทว่า เมื่อมองไปที่ดอกไม้ต้นนั้น นอแมนก็พบว่ามันกำลังหันมาทิศทางที่เขาอยู่ราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง
“แกมันก็แค่ดอกไม้ คิดว่าตรูจะไปเข้าใจที่แกจะสื่อรึไงฟ่ะ !!!”
ซ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
“หึ ! หรือแกจะบอกว่า ถ้าไม่ก้าวไปข้างหน้า ก็จะไม่พบกับแสงสว่างอย่างงั้นหรอ !?”
กึก !
นอแมนก้าวเท้าเข้าหาแสงสว่าง
พรึบ !
ทว่า พริบตานั้น แสงสว่างกลับหดกลับเข้าไปหา ต้น Stand alone ทำให้ปลายเท้าของเขาไม่อาจสัมผัสได้กับแสงสว่างแม้เพียงเล็กน้อย
มันราวกับว่าโลกใบนี้กำลังเย้ยหยันตัวเขาอยู่ก็ไม่ปาน
“นี่แก……”
ตึก….ตึก…ตึก
ทุกครั้งที่เขาก้าวเดิน แสงจันทร์จะหดหายไปตามฝีเท้าของเขาอย่างช้าๆ
ทีล่ะนิดๆ จนในท้ายที่สุด เมื่อเขาไปยืนอยู่หน้าดอก Stand alone ต้นนั้น แสงจันทร์ก็ไม่หลงเหลืออีกต่อไป
“เห็นไหม สุดท้ายแล้ว มันก็ลงเอยแบบนี้ ความล้มเหลวของฉันมันถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ไม่เหมือนกับพวกแก”
แกร๊กๆๆๆๆ
ทันใดนั้นเอง ก้านของดอก Stand alone ปริร้าวอย่างรวดเร็ว
แควก !
ในท้ายที่สุดแล้ว มันก็ไม่สามารถต้านสายลมได้อีกต่อไป
ดอก Stand alone ได้ถูกสายลมอันรุนแรงพัดขึ้นมา
“เห็นไหม สุดท้ายมันก็เปล่า —”
ฉึก !
ทว่า ทันใดนั้นเอง ทิศทางที่มันพุ่งไป มันก็ไม่ใช่ที่อันแสนไกล นอกเสียจากรูจมูกของนอแมน
“ฮะ..ฮะ..ฮั่ดชิ้ว !”
ชายหนุ่มจามออกมาอย่างรุนแรง ก่อนจะมองดอก Stand alone ที่แม้แต่ตอนที่หักครึ่งไปแล้วก็ยังกล้าสวนใส่เขาด้วยการพุ่งใส่รูจมูก
“………………………….”
ชายหนุ่มมองดอกไม้ในกำมือแล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันอ่อนแรง
“แกน่ะตายไปแล้ว”
ซ่าๆๆๆๆๆๆ
“แต่ถึงจะเป็นวาระสุดท้ายของแกที่เป็นเพียงแค่ดอกไม้โง่ๆ แกก็ยังกล้าพุ่งเสียบจมูกฉันได้อีกนะ”
ชายหนุ่มขยำดอกไม้ในมือจนบี้เละ สัมผัสได้ถึงฝ่ามือที่เหนียวเหนอะ
“สุดท้ายแล้ว แกก็ไม่อาจเบ่งบานได้เหมือนกับดอกไม้ต้นอื่นๆ”
ใช่….ผลลัพธ์ มันเป็นเช่นนั้น
“แกไม่สามารถไปถึงปลายทางที่แกคาดหวังเอาไว้ ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม”
สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือสัจธรรมอย่างแท้จริง
“แต่มันกลับมีสิ่งหนึ่งที่ดอกไม้เล็กๆอย่างแกกลับทำได้ และคงมีเพียงแค่แกต้นเดียวในโลกที่ทำสำเร็จเป็นต้นแรก”
สิ่งนั้นก็คือ—
“นี่แกกล้าพุ่งมาเสียบจมูกฉันได้ไงว่ะ ไอ้บ้าเอ้ย !”
แม้ดอกไม้นั้นมีมากดั่งหมู่ดาว แต่บนโลกนี้กลับมีเพียงดอกไม้ต้นเดียวที่ก้าวข้ามขีดจำกัดสปีชีส์แล้วพุ่งเสียบจมูกของยอดนักสืบนอแมนได้สำเร็จราวกับปาฏิหารย์
“หึๆๆๆๆ”
ชายหนุ่มเริ่มหัวเราะ
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
ชายหนุ่มอ้าแขนออกกว้างราวกับจะท้าทายสายฝน
เปรี้ยง !
แม้สายฟ้าที่ผ่าลงมาข้างหลังจะชวนให้หวาดเสียวก็ไม่หวั่น
แม้นกระทั่งแสงจันทร์จะไม่สาดส่องมาให้เขาอีกต่อไป ชายหนุ่มก็ไม่แคร์
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
เสียงหัวเราะดังก้อง ราวกับจะประชันกับเสียงของหยดน้ำซึ่งตกกระแทกพื้นจากความสูงหลายสิบกิโลเมตร
“ได้…..เอางี้ก็ได้ ขอยอมแพ้หน่อยไม่ได้เลยนะ ไอ้โลกเฮงซวยนี่ !”
บ่อยครั้งที่อยากยอมแพ้
บ่อยครั้งที่อยากให้มันจบลงแต่เพียงเท่านี้
ง่ำ !
ชายหนุ่มกลืนดอกไม้เข้าไป ก่อนจะทำหน้าหยีด้วยรสชาติขยะแขยง
กระนั้นแล้วตัวเขาที่เบ้ปากก็พูดออกมา
“แต่ทำไงได้ ชีวีตแมร่งมีแค่ครั้งเดียวเองนี่หว่า”
ไม่มีรอบสอง หรือ สาม มีแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว
ถ้ายอมแพ้ก็จะไม่มีโอกาสแก้ตัว
ถ้าปล่อยให้มันจบลงทั้งๆแบบนี้ เราก็ไม่สามารถเป็นอะไรได้ซักอย่าง แม้กระทั่งตัวของตัวเอง
ทิ้งความหวังแล้วมุ่งหน้าสู่ความสิ้นหวัง คลืบคลานไปข้างหน้าอย่างน่าสังเวชแล้วตายจากไปโดยที่ไม่มีใครจดจำ
แต่ถ้าหากแม้นมีเพียงหนึ่งที่มองเห็นการดิ้นรนในครั้งนี้จนจุดประกายให้หนึ่งในนั้นก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ การพยายามที่ล้มเหลวในครั้งนี้ก็จะไม่มีทางเรียกว่าความล้มเหลวอีกต่อไป
ประหนึ่งดอก Stand alone ที่ทิ่มจมูกนอแมนจนทำให้เขากลับทำตัวเกรียนแตกได้อีกครั้ง
“ก็เคยมีคนพูดเอาไว้สินะ ว่า มนุษย์คือความล้มเหลวและความผิดพลาด”
ชายหนุ่มก้าวเดินต่อไปข้างหน้าแล้วแหวกสายฝนออกด้วยสีหน้าที่กลับมาหยิ่งผยองอีกครั้ง
“ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำอีก จนสุดท้ายก็ทับถมเป็นตะกอน จากนั้นคนที่ยืนอยู่เหนือตะกอนนั้นก็เจอสิ่งที่เรียกว่า ความสำเร็จ…สุดท้ายคนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ มันอาจจะน้อยกว่าคนที่ล้มเหลวเสียด้วยซ้ำ”
โลกใบนี้ไม่ได้กว้างใหญ่พอสำหรับทุกคน
“แต่ก็มีแต่ต้องเดินต่อไปข้างหน้า ต้องเดินไปข้างหน้าเพียงเท่านั้น ! ต่อให้ทางข้างหน้ามีแต่หุบเหว ก็ต้องเดินต่อไป แม้จะรู้จุดจบของมันก็ตาม ! ถ้าเกิดยอมแพ้ทั้งๆแบบนี้ แล้วใครมันจะไปพูดได้เต็มปากกันล่ะว่า ไอ้โลกพรรคนี้แมร่งเฮงซวยซิบหาย !”
พยายามจนถึงท้ายที่สุด จากนั้นก็เงยหน้าจากบนพื้นโลกแล้วตะโกนบอกไอ้พวกที่ยืนโม้อยู่บนหอคอยฟังว่า ‘โลกใบนี้แมร่งเฮงซวย พยายามให้ตาย สุดท้ายก็ล้มเหลวอยู่ดี ’
อย่างน้อยในท้ายที่สุดก็ได้ดูถูกไอ้พวกงั่งที่อยู่บนฟ้าอย่างสะใจว่าคนอย่างพวกแกที่ไปถึงฝั่งฝันแล้ว ไม่มีทางรู้หรอกว่าคนที่ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่จนหยุดสุดท้าย มันคือพวกเราต่างหาก
คนที่ถูกต้องคือพวกเรา ไม่ใช่พวกแก !
ไอ้วลีที่โม้เหม็นเรื่องไม่ว่าใคร ถ้าพยายามก็พบกับความสำเร็จได้ มันก็มีแค่พวกประสบความสำเร็จที่พูดกันเท่านั้นแหล่ะ มันมีใครที่ไหนที่พยายามจนตายกลางทางแล้วพูดบ้างว่า แค่พยายามตรูก็ทำได้เหมือนกันโว้ย !
ไม่มี ! ไม่มีแม้แต่คนเดียว ! ศพมันพูดได้ทีไหนกันเล่า !?
“พยายาม…สู้จนถึงที่สุด แล้วตอกหน้าพวกมันกลับว่าพวกเราต่างหากคือคนที่เข้าใจสัจธรรมของโลกนี้ดียิ่งกว่าใครๆ นั่นคือทิฐิสุดท้ายในฐานะมนุษย์ที่จะยืนยันว่าพวกเราต่างหากที่พูดถูก เป็นชัยชนะเพียงหนึ่งเดียวของคนไม่เอาอ่าวอย่างพวกเรา”
นอแมนเดินแหวกพายุที่โหมกระหน่ำ ก่อนจะกู่ร้องออกมาจากหัวใจ
“ฉันน่ะไม่ได้พยายามเพราะรู้ว่ามีความสำเร็จรออยู่หรอก แต่ถ้าไม่พยายามก็จะสูญเสียไปทุกอย่างแม้กระทั่งหัวใจของตัวเอง”
สำหรับเขาแล้ว ความพยายามไม่ได้นำพาไปสู่ความสำเร็จ แต่มันคือสิ่งที่ต้องทำเพื่อไม่ให้ต้องล้มเหลวต่างหาก
จะว่าเขาเป็น loser ก็แล้วแต่ จะว่าเขาเป็นไอ้ขี้แพ้นอแมนก็ตามใจ
“แต่มันช่วยไม่ได้ ก็เพราะฉันอยากจะเป็นแบบนี้เองนี่หว่า !!!”
สุดท้าย แม้จะนอนตากฝนมานาน นอแมนก็คือนอแมนอยู่วันยังค่ำ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
หลังปัดกวาดเช็ดถูพื้นที่เปียกโชกจากหน้าต่างที่ถูกเปิดโดยผู้บุกรุก สุดท้ายพ่อบ้านเอลวินก็คลาดสายตาจากนักผจญภัยหนุ่มที่แอบเพ่นพ่านไปทั่วคฤหาสน์จนได้
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า กลุ่มคนพวกนี้มีจุดประสงค์แอบแฝงบางอย่าง”
นอแมนทำตัวน่าสงสัยจนความแตกเรียบร้อย กระดาษทิซซู่ที่สลักวงเวทย์เอาไว้ถูกเจอไปแล้วสามแผ่น เอลวินจึงตัดสินใจเดินไปยังคฤหาสน์ที่ไอริซและไอรินอยู่พลางคิดว่าต้องจับตัวทั้งสามคนมาสอบปากคำให้จงได้
“หนูโสโครกพวกนั้น จะปล่อยให้มาทำร้ายนายท่านไม่ได้เป็นอันขาด”
แววตาคมกริบ บรรยากาศกระหายเลือดแผ่กระจายออกมาจากทั่วร่าง
ในตอนนี้ หากเจอหน้ากันเมื่อไหร่ คงได้เกิดศึกนองเลือดขึ้นมาโดยไม่ต้องสงสัย
กึก !
เมื่อเดินไปถึงทางแยก ทันใดนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของบุคคลปริศนา
สวบ !
หัวหน้าพ่อบ้านหยิบมีดพกที่ซ่อนอยู่ขึ้นมาเตรียมตั้งท่าโจมตีใส่ศัตรู
แสงจันทร์ค่อยๆสาดส่องผ่านทางหน้าต่าง
ดูจากเงาที่เกิดขึ้นและน้ำหนักเสียงของฝีเท้า นั่นคือ ผู้ชายไม่ผิดแน่ๆ
ตึก !
ทันทีที่ร่างกายโผล่พ้นมุมเสา มือขวาของพ่อบ้านก็ขยับอย่างรวดเร็วโดยเล็งไปที่จุดตาย
‘ต่อให้ปางตายก็ไม่เป็นไร ไว้ฮีลแล้วสอบปากคำทีหลังแล้วกัน’
หัวหน้าพ่อบ้านคิดเช่นนั้นโดยไม่ลังเล
ความเร็วของมีดนั้นรวดเร็วจนอดสงสัยไม่ได้ว่าชายผู้นี้คือพ่อบ้านหรือนักฆ่ากันแน่
ฉึก !
ทว่า ภาพที่เห็นตรงหน้ากลับทำให้พ่อบ้านที่ผ่านประสบการณ์โชกโชนจากการต่อสู้กับผู้บุกรุกผง่ะถอยหลังด้วยความประหลาดใจ
“อึก !”
ภาพของมีดที่ปักเข้าที่แขนขวาของชายหนุ่มผมทอง นั่นคือสิ่งที่ยากจะเหลือเชื่อ เพราะตัวเขาได้เล็งไปที่บริเวณลำคอจากมุมอับของเสาที่คนทั่วไปไม่สามารถป้องกันได้ทัน
ดูเผินๆตั้งแต่เจอกันครั้งแรก เขาไม่คิดว่านอแมนคนนี้จะทันตั้งรับการโจมตีของเขาได้แม้แต่น้อย
บังเอิญอย่างงั้นหรอ ? ด้วยมุมอับขนาดนี้ นักผจญภัยหรือนักฆ่าทั่วๆไปไม่มีทางหลบพ้นได้แน่ๆ
หรือว่าเราจะประเมินศัตรูต่ำไปอย่างงั้นรึ ?
“นี่มัน….”
แถมพอรู้ตัวอีกที ทั้งๆที่ชักมีดกลับมา แต่แรงต้านที่เกิดขึ้นก็ทำให้มีดหลุดจากมือแทน
“หืม !? ”
การรับมีดเมื่อกี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
พ่อบ้านมองไปยังแขนของชายหนุ่มที่ชุ่มเลือดโดยที่มีมีดปักคาแขนของเขาอยู่
ซึ่งตำแหน่งที่โดนเสียบจนทะลุมันตรงกับกระดูกพอดี
พ่อบ้านเอลวินรู้ว่าแรงที่ตนกะเอาไว้ไม่ได้มากถึงขนาแทงทะลุกระดูกเพราะมันจะทำให้การชักมีดกลับทำได้ลำบาก
การที่มีดปักคาอยู่กับร่างของศัตรูเป็นการทำให้ฝั่งตนเสียเสียอาวุธไปโดยไม่จำเป็น ในขณะที่อีกฝ่ายได้อาวุธไปเพิ่มแทน
“เมื่อกี้ ? ทางนั้นเป็นฝ่ายพุ่งเข้าหา ?”
การที่แรงเสียบมากถึงขั้นทะลุกระดูก นั่นหมายความว่าฝั่งนั้นจงใจพุ่งเข้ามาโดยเอาแขนรับทั้งๆที่รู้ว่าตนกำลังถูกโจมตีอยู่
นั่นเป็นการตัดสินใจเพียงเสี้ยววิที่ชาญฉลาด เพราะสำหรับพ่อบ้านเช่นเขาที่ต้องคงความสูงส่งเอาไว้ย่อมไม่สามารถพกอาวุธเอาไว้เป็นจำนวนมากๆ แถมถ้ากระโดดหลบ ด้วยความเร็วของเขา มันไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะหลบพ้นอย่างแน่นอน
‘ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา !’
ในตอนที่พ่อบ้านตัดสินใจเช่นนั้น นอแมนที่ทำหน้าเหยเกก็ตะโกนขึ้นมา
“ริซ ! ริน ! อย่ามาทางนี้ !!!”
พ่อบ้านมองชายหนุ่มที่ตะโกนบอกน้องสาวทั้งสองด้วยท่าทางตึงเครียด พร้อมกับตั้งท่าเตรียมโจมตีใส่อีกรอบ
กระนั้นแล้ว ก่อนที่จะได้ก้าวเท้าออกไปข้างหน้า คำพูดถัดมาของชายหนุ่มก็ทำให้พ่อบ้านถึงกับชะงักไปชั่วขณะ
“คนร้ายที่แอบลอบเข้ามาในคฤหาสน์อยู่ตรงหน้าพี่แล้ว พวกเธอรีบหนีไปซ่ะ !!!”
“หืม !?”
พ่อบ้านเอลวินถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเพราะคำพูดของอีกฝั่งเหนือความคาดหมายจนตนตามไม่ทัน
ทว่า นอแมนก็ไม่ปล่อยช่องว่างนี้ทิ้ง เขารีบตั้งท่ากำหมัดขึ้นมาโดยไม่สนมีดที่ปักคาแขนของตนอยู่
“เป็นแกเองสินะที่ปลอมตัวเป็นหัวหน้าพ่อบ้าน”
“หะ ?”
พ่อบ้านเอลวินถึงกับทำหน้างงในรอบหลายสิบปี
“ก็สงสัยมานานตั้งแต่เข้ามาแล้วว่ามีสายตาแปลกๆเฝ้ามองพวกเรามาโดยตลอด ….เป็นแกนี่เองที่ปลอมตัวเป็นหัวหน้าพ่อบ้าน !”
“หมายความว่ายังไง ?”
“ไม่ต้องมาทำไขสือ !!! คิดว่าฉันไม่รู้รึไงว่าตัวแกแอบตามพวกฉันมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว !!!”
ว่าแล้ว นอแมนก็ชูกระดาษทิซซู่ที่มีลวดลายวงเวทย์ขึ้นมา
“ฉันเจอกระดาษพวกนี้วางอยู่ตามคฤหาสน์…….จากที่ถามน้องสาวที่เชี่ยวชาญเวทมนต์มา นี่ต้องเป็นเวทย์ค้นหาไม่ผิดแน่ๆ แกเป็นใครกัน ? ต้องการหาอะไรในคฤหาสน์หลังนี้ถึงได้แอบเข้ามาที่นี่ แถมยังกล้าปลอมตัวเป็นหัวหน้าพ่อบ้านอีก !!! แกเอาเขาไปไว้ที่ไหน ? หรือว่า ฆ่าทิ้งไปแล้ว !?”
“นะ นะ นี่กำลังพูดอะไรอยู่พ่อหนุ่ม ? กระผมคือ หัวหน้าพ่อบ้าน เอลวิน เธอต่างหากที่น่าสงสัย คิดจะทำอะไรกับที่นี่กันแน่ถึงได้วางของพรรคนี้เอาไว้ทั่ว”
“ไม่ ! แกนั่นแหล่ะ อย่ามาตอแหล !!! หัวหน้าพ่อบ้านเอลวินที่ฉันรู้จักไม่มีทางทำตัวน่าสงสัยแบบนี้หรอก”
“ทำตัวน่าสงสัย ?”
“ก็แกน่ะแอบตามหลังฉันมาตลอดตอนที่ฉันตามหากระดาษพวกนี้ไม่ใช่รึไง ? ถ้าเป็นหัวหน้าพ่อบ้านตัวจริงไม่มีทางดุ้มๆมองๆทำตัวน่าสงสัยแบบนี้หรอก ถ้าเห็นฉันทำอะไรแปลกๆ เขาคงเข้ามาตรงๆแล้วถามว่ากำลังทำอะไรอยู่ เขาไม่มีทางเป็นไอ้สวะสันดานต่ำที่ชอบไล่ตามตูดผู้ชายต้อยๆแบบแก”
“หืม ?”
คำพูดที่กล่าวหาว่าตนเป็นตัวปลอม ทั้งๆที่พ่อบ้านเอลวินแอบไล่ตามหลังอีกฝ่ายจริงๆทำให้เขาถึงกับขมวดคิ้ว
แน่นอนว่าสาเหตุที่เขาไม่เข้าไปคุยตรงๆ นั่นก็เพราะถ้าอีกฝ่ายกระทำผิด เขาจะได้จับได้คาหนังคาเขาต่างหาก
“เขาน่ะเป็นพ่อบ้านที่สูงส่งและมีมารยาท การกระทำที่ไร้เกียรติเช่นนั้น เขาไม่มีทางทำหรอก”
“อุก !”
พอโดนประเมินค่าสูงกว่าที่คิด พ่อบ้านเอลวินก็สะอึกเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่คลายการป้องกันลงแต่อย่างใด
“เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว คิดจะทำให้เขวสินะ”
“ผิดแล้ว ! นั่นมันตัวแกเองต่างหาก หลักฐานมันก็เห็นชัดๆอยู่ไม่ใช่รึไง ?”
ว่าแล้ว นอแมนก็ชูทิชชู่พวกนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
“กระดาษทิชชู่ที่สลักวงเวทย์เอาไว้ แกน่าจะมีติดตัวอยู่พอสมควรเลยสินะ ถ้าจะพิสูจน์ว่าเป็นตัวจริง แน่จริงก็แก้ผ้าออกมาให้ดูหน่อย !”
“น้อยๆหน่อย กระผมไม่มีทางทำเช่นนั้นหรอก แล้วต่อให้ทำจริงก็ไม่มีทางพบ—”
“หืม ? จะว่าไปกระเป๋ากางเกงแกดูนูนๆแปลกๆรึเปล่า ?”
“คิดจะหันเหความสนใจสินะ ไม่มีทะ—- ?”
ทว่า ในตอนที่มืออีกข้างยื่นไปคว้ามีดที่ซ่อนอยู่เพื่อเตรียมโจมตี น้ำหนักที่มากขึ้นกว่าปกติเล็กน้อยก็ทำให้เขาสะกิดใจถึงบางอย่าง
เอลวินค่อยล้วงๆมือขวาเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะสัมผัสถึงความรู้สึกนุ่มนิ่มแปลกๆ
“นี่มัน ?”
เมื่อเขาหยิบสิ่งนั้นที่อยู่ในกระเป่ากางเกงขึ้นมา คราวนี้นอแมนก็ชี้มาที่สิ่งนั้นแล้วตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังก้อง
“นั่นไง ! เป็นแกจริงๆด้วย”
“บ้าน่า ! ตั้งแต่เมื่อไหร่”
สิ่งที่อยู่ในมือของเอลวิน มันก็คือห่อกระดาษทิซซู่นั่นเอง
แถมเมื่อเอลวินคลี่ออกมาก็พบกับทิซซู่ที่สลักวงเวทย์เอาไว้เป็นสิบๆแผ่น
“นั่นไง…หลังฐานคาหนังคาเขาเลยนี่หว่า แกนี่มันโคตรจะโง่เลยจริงๆ คิดยังไงถึงเก็บหลักฐานไว้กับตัวกันเนี่ย ?”
“เป็นไปได้ยังไง ?”
เอลวินถูกกล่าวหาว่าเป็นเอลวินตัวปลอม
ตั้งแต่เมื่อไหร่ !? มันมาอยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขาได้ยังไง !?
พ่อบ้านมากฝีมือกำลังเผชิญกับการบุกรุกคฤหาสน์ที่แหวกแนวที่สุดซึ่งเขาไม่เคยพบเจอมาก่อน
สิ่งที่ถูกใครก็ไม่รู้ยัดใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงทำให้เขาไม่อาจกลั้นท่าทางตื่นตระหนกเอาไว้ได้อีกต่อไป
‘เอาล่ะ ได้เวลาแก้เกมแล้ว’
พ่อบ้านที่กำลังเพ่งความสนใจไปที่กระดาษทิซซู่ในมือ หารู้ไม่ว่า นอแมนที่กำลังมองตนอยู่แอบแสยะยิ้มที่มุมปากอย่างชั่วร้าย
Chapters
Comments
- ตอนที่ 38 มิถุนายน 9, 2022
- ตอนที่ 37 มิถุนายน 9, 2022
- ตอนที่ 36 มิถุนายน 9, 2022
- ตอนที่ 35 มิถุนายน 9, 2022
- ตอนที่ 34 มิถุนายน 7, 2022
- ตอนที่ 33 มิถุนายน 7, 2022
- ตอนที่ 32 มิถุนายน 7, 2022
- ตอนที่ 31 มิถุนายน 7, 2022
- ตอนที่ 30 มิถุนายน 7, 2022
- ตอนที่ 29 มิถุนายน 7, 2022
- ตอนที่ 28 มิถุนายน 7, 2022
- ตอนที่ 27 มิถุนายน 7, 2022
- ตอนที่ 26 พฤษภาคม 13, 2022
- ตอนที่ 25 พฤษภาคม 12, 2022
- ตอนที่ 24 พฤษภาคม 12, 2022
- ตอนที่ 23 พฤษภาคม 9, 2022
- ตอนที่ 22 พฤษภาคม 9, 2022
- ตอนที่ 21 พฤษภาคม 9, 2022
- ตอนที่ 20 พฤษภาคม 9, 2022
- ตอนที่ 19 พฤษภาคม 9, 2022
- ตอนที่ 18 พฤษภาคม 9, 2022
- ตอนที่ 17 พฤษภาคม 9, 2022
- ตอนที่ 16: น้องสาวผู้น่ารักของฉันโดนดุ เมษายน 30, 2022
- ตอนที่ 15: พี่สาวของหนูตายซ่ะเเล้ว !? เมษายน 29, 2022
- ตอนที่ 14: น้องสาวผู้น่ารักของฉันมีมากกว่าหนึ่งคน !? เมษายน 28, 2022
- ตอนที่ 13: น้องสาวผู้น่ารักของฉันฝึกทำอาหาร เมษายน 27, 2022
- ตอนที่ 12: การเดินทางของพวกเขาทั้งหลาย เมษายน 26, 2022
- ตอนที่ 11: พี่สาวของหนูต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป เมษายน 24, 2022
- ตอนที่ 10: พี่สาวของหนูพูดอะไรบางอย่างที่น่าจะสำคัญ เมษายน 23, 2022
- ตอนที่ 9: พี่สาวของหนูถูกพรากไป พร้อมๆกับพวกเพื่อนๆ เมษายน 21, 2022
- ตอนที่ 8: น้องสาวผู้น่ารักของฉันยอมพูดเปิดใจนิดหน่อย เมษายน 20, 2022
- ตอนที่ 7: น้องสาวผู้น่ารักของฉันช่วยปกป้องคุณพี่สาวด้วยล่ะ ! เมษายน 19, 2022
- ตอนที่ 6: น้องสาวผู้น่ารักของฉันเเสดงความเป็นห่วงด้วยล่ะ ! เมษายน 18, 2022
- ตอนที่ 5: เพื่อจบความขัดเเย้ง การเสียสล่ะคือสิ่งที่จำเป็น เมษายน 18, 2022
- ตอนที่ 4: น้องสาวผู้น่ารักของฉันเข้าวัยต่อต้าน !? เมษายน 18, 2022
- ตอนที่ 3: ไม้ต่อ เมษายน 18, 2022
- ตอนที่ 2: เเยกจาก เมษายน 18, 2022
- ตอนที่ 1: จุดเริ่มต้นภายในห้องขังอันอับชื้น เมษายน 18, 2022
MANGA DISCUSSION