พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 510 ตื่นตูม
บรรยากาศยามค่ำคืนของปลายเดือนหนึ่งบนท้องถนนใน
วังหลวงตื่นตระหนกขึ้นมาพร้อมกับเสียงรถม้าที่วิ่งไปอย่างไวว่อง
“…คราวนี้เป็นผู้ใด”
สายตามากมายที่ลอบสังเกตการณ์อยู่บนรถม้าหน้าประตูวัง
กระซิบเอ่ย
“…รถม้าของผิงอ๋อง”
“…เมื่อครู่รถม้าของอำมาตย์เฉินก็เพิ่งวิ่งผ่านไป…”
ขณะที่กำลังกระซิบกระซาบกันอยู่นั้น ก็มีรถม้าวิ่งเข้ามาอย่าง
เร็วจากอีกฝั่ง ทว่าคราวนี้กลับถูกขวางไว้ที่หน้าประตูวัง
“จวิ้นอ๋อง หากไม่มีรับสั่ง ไม่อาจเข้าวังยามวิกาลได้พ่ะย่ะค่ะ”
ทหารรักษาพระองค์เอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย
สายตาจากรอบทิศจับจ้องไปที่ใบหน้าขององค์ชายหนุ่มที่เลิก
ม่านขึ้นภายใต้แสงไฟสาดส่อง“แต่หากเป็นชิ่งอ๋องก็เข้าได้ใช่หรือไม่” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
พลางชี้ไปที่ชิ่งอ๋องที่อยู่ด้านหลัง
เห็นได้ชัดว่าชิ่งอ๋องถูกลากตัวออกมาขณะกำลังฝันหวาน และ
ตอนนี้เองก็ยังคงหลับใหลอยู่ในรถ
ทหารรักษาพระองค์ยังคงส่ายหน้า ทว่ากลับดูลังเลอยู่ไม่น้อย
“พวกเจ้าบังอาจนัก เหตุใดชิ่งอ๋องจะเข้าวังไม่ได้” จิ้นอันจวิ้น
อ๋องขมวดคิ้วตวาด
“ฝ่าบาท ชิ่งอ๋องเข้าวังได้ แต่ฝ่าบาทเข้าไม่ได้” หัวหน้าทหาร
รักษาพระองค์เอ่ยเสียงเนิบ “หากชิ่งอ๋องต้องเข้าวัง ขอโปรดฝ่าบาท
ลงจากรถด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วชิ่งอ๋องจะเข้าไปเองได้อย่างไร” ขันทีที่ยืนอยู่ข้างรถม้า
ของจิ้นอันจวิ้นอ๋องตะโกนขึ้น
คำตอบที่เขาได้รับมีเพียงทหารรักษาพระองค์หน้ายักษ์ที่เพิ่ม
จำ นวนมากยิ่งขึ้น
ยามเกิดเรื่องขึ้นกับฮ่องเต้ วังหลวงจึงต้องตรวจตราเข้มงวด
มากขึ้นกว่าเดิมจิ้นอันจวิ้นอ๋องมองดูประตูวังอันสลับซับซ้อน ยามค่ำคืนเช่นนี้
ภายในนั้นแสนมืดมิด เขาถอนหายใจออกมาแล้วปลดม่านลง
รถม้าเลี้ยวกลับก่อนจะเคลื่อนออกไปอย่างไวว่อง
“ตอนนี้ข้าอยากออกไปเดินเล่น”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่อยู่บนรถม้าโพล่งออกมา ทำลายความอึดอัด
จนแทบหายใจไม่ออกภายใน
“ฝ่าบาท ยามนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีกระซิบเอ่ย มองดูจิ้นอัน
จวิ้นอ๋องที่เลิกม่านมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง
“อืม ข้ารู้ว่าไม่ได้ ก็แค่พูดไปอย่างนั้น” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันนัก!
เหตุใดจู่ๆ ถึงล้มป่วยได้!
พอได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าที่ควบเข้ามาอย่างเร็วไว มือของจิ้น
อันจวิ้นอ๋องที่เลิกม่านอยู่ก็ค้างเติ่งแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น
“ปลอดภัยไร้กังวล”
ประโยคนั้นลอยผ่านเข้ามาในหน้าต่าง จิ้นอันจวิ้นอ๋องค่อยๆ
หลับตาลงก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา“อันที่จริงข้ารู้อยู่แล้วว่าไม่เป็นอะไร” เขาโพล่งขึ้นมาอีกครั้ง
ขันทีเหลียวไปมองเขาอย่างสงสัย
“เพราะไม่มีใครเรียกแม่นางเฉิงเข้าวัง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
เพราะมิใช่โรคถึงตาย…
ขันทีมุมปากกระตุก
“ฝ่าบาท นี่ไม่ใช่เวลามาล้อเล่นนะพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยสีหน้า
บึ้งตึง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะพลางปรับสีหน้าให้เรียบเฉย
“คราวนี้ แม้จะช้าไปหน่อย แต่ก็ยังมีข่าวส่งมา เพียงแต่
ครั้งหน้าเล่า” จู่ๆ เขาก็เอ่ยเสียงเนิบขึ้นมา
“ครั้งหน้าก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ พวกเรามีคนเพียงพอ” ขันทีเอ่ย
เสียงแผ่วเบา
“แต่ถึงจะรู้ข่าว พวกเราก็เข้าไปไม่ได้อยู่ดี” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
เสียงต่ำ
นั่นสินะ นี่คือผลจากการที่ย้ายออกมา วังหลวงเก่าโทรมที่มีคน
คอยกะเกณฑ์ให้รำคาญใจ ยามอยู่ก็อยากจะหนีออกไป แต่พอออกมาจริง แม้อยากจะเข้าไปอีกสักหนกลับยากเย็นดั่งปีนขึ้นแผ่น
ฟ้า
เขาทอดถอนใจ เหลียวกลับไปมองชิ่งอ๋องที่นอนหลับอยู่ในรถ
“ฝ่าบาท อย่าได้กลัวไปเลยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ไม่เป็นอะไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อย่าได้กลัว…
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ที่แท้เขากำลังกลัวอยู่
นี่เอง
ใช่แล้ว วินาทีที่รู้ข่าว เขาก็กลัวมากจริงๆ
โดยเฉพาะยามที่ถูกขวางไว้ที่หน้าประตูวัง
ครั้งนี้ไม่เป็นอะไร แต่คราวหน้าละ ผู้ใดจะกล้ารับปากได้ว่า
จะเป็นเหมือนคราวนี้
รถม้าเคลื่อนโคลงเคลงออกไปท่ามกลางฟ้ายามราตรี
ข่าวคราวของฮ่องเต้ที่ล้มป่วยแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
ในค่ำคืนนั้น ดวงไฟในเรือนมากมายถูกจุดขึ้นจนสว่าง สายตานับไม่
ถ้วนจับจ้องไปทางวังหลวงโชคดีที่ยามฟ้าสางก็มีข่าวดีให้รู้กัน ฮ่องเต้ปลอดภัยดี
การประชุมราชสำ นักยังคงดำเนินต่อไปตามปกติ โดยมีผิงอ๋องเป็น
ประธาน
การประชุมราชสำ นักครั้งนี้ดำเนินไปอย่างน่าเบื่อหน่าย ทุกคน
เอาแต่สนใจอาการของฮ่องเต้ แต่ในที่สุดเฉินเซ่าที่มาถึงวังหลวง
ตั้ง
แต่เมื่อคืนวานและขุนนางใหญ่อีกสองสามคนก็เยื้องย่างออกมา
“อารมณ์แปรปรวน เลือดลมไหลเวียนติดขัด มิใช่เรื่องใหญ่โต
อันใด” เฉินเซ่าเอ่ย
จากนั้นก็มีคนจากสำ นักหมอหลวงเดินออกมาอธิบาย จนกระ
ทั้ง
ถึงยามบ่าย เหล่าขุนนางที่ได้รับอนุญาตจึงเข้าไปเยี่ยมฮ่องเต้ได้
พอเห็นฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรพร้อมกับขันทีที่คอยป้อนยาให้
ทุกคนจึงโล่งใจขึ้นมาหนึ่งเปลาะ
“พวกเจ้าลองดู ข่าวด่วนที่ส่งมาเมื่อคืนวาน” ฮ่องเต้เอ่ย
พอได้ยินเสียงดังฟังชัดและความคิดอันลื่นไหล เหล่าขุนนาง
ที่อยู่ ณ ที่นั้นก็วางใจในที่สุดทุกสายตาจับจ้องไปที่โต๊ะ บนนั้นมีรายงานด่วนที่ทำให้ฮ่องเต้
เดือดดาลจนกระอักเลือดเมื่อคืนวานวางอยู่
“กบฏถนนเม่าผิงและถนนซานรวมตัวกัน ตั้งตนเป็นกษัตริย์
ยืดครองพื้นที่เมืองลู่เจียง เข้ายึดอำเภอลู่เจียงไม่ยอมถอย ยึดศาลา
ว่าการ เผาบ้านเรือน คนเฒ่าคนแก่ทั้งเด็กเล็กสิบแปดคนตายจาก
เพราะเข้าป้องกัน”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ขณะเดียวกันเกาหลิงปอที่เดินทางมาถึงศาลาพักม้าแห่งหนึ่งก็
เพิ่งอ่านสำ เนาที่คัดลอกรายงานด่วนจนจบ ก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ฝ่าบาทไม่เป็นอะไรจริงหรือ” เขาถามอีกครั้ง
“ใช่ขอรับ ตอนนั้นฝ่าบาทยังอ่านทวนรายงานด่วนด้วย
พระองค์เองอีกหนหนึ่งด้วยซ้ำ ” ผู้ติดตามเอ่ย
เกาหลิงปอได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา
นั่นย่อมเป็นเพราะฮ่องเต้แสร้งทำเป็นว่าหายดีแล้วต่อหน้า
เหล่าขุนนางต่างหาก“นี่มันเรื่องอะไรกัน!” เขาเอ่ยขึ้นพลางโยนรายงานด่วนลงบน
โต๊ะ “กลับไปบอกคนพวกนั้น คราวหน้าระวังตัวหน่อย หาก
จะรายงานเรื่องด่วนก็ให้เป็นเรื่องของข้าผู้ถูกเนรเทศออกจาก
เมืองหลวงผู้นี้สร้างคุณประโยชน์ให้แก่บ้านเมือง เรื่องที่พวกเขา
รายงานคราวนี้ ทำเอาฝ่าบาทตกใจแทบตาย นั่นโทษหนักมหันต์
เชียวนะ”
ผู้ติดตามขานรับ
“แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้…” เขาก้มหน้าเอ่ย พอนึกอะไร
ขึ้นได้บางอย่างก็ยิ้มออกมาแต่นึกเสียดายไม่น้อย
ใครจะไปรู้ว่าฝ่าบาทจะขวัญอ่อนถึงเพียงนี้
ขวัญอ่อนอย่างนั้นหรือ
เกาหลิงปอชะงักไป
“หมอหลวงว่าอย่างไรบ้าง” เขาโพล่งถามขึ้น
“หมอหลวงบอกว่าเป็นเพราะอารมณ์แปรปรวน เลือดลม
ไหลเวียนติดขัด กระอักเลือดออกมาแล้วก็ไม่เป็นไร หากไม่อาเจียนออกมาจะแย่ยิ่งกว่า” ผู้ติดตามเอ่ย พูดจบก็พยักหน้า “ได้รับการ
ยืนยันมาแล้วขอรับ”
เกาหลิงปอร้องอ๋อ ยกมือขึ้นลูบเคราพลางครุ่นคิด
“ใต้เท้า ตอนนี้ท่านจะกลับไปอยู่หรือไม่” ผู้ติดตามถาม
“ไม่” เกาหลิงปอยกมือขึ้นพลางเอ่ย “ข้าไม่เพียงแต่ไม่กลับไป
แต่จะเร่งเดินทางให้ถึงวั่งโจวโดยเร็ว”
ผู้ติดตามขานรับก่อนจะหันหลังเตรียมเดินจากไป
“อีกอย่าง บอกพวกเขาว่าหลังจากใช้โอกาสยามเกิดภัยพิบัตินี้
ไล่จิ้นอันจวิ้นอ๋องออกจากเมืองหลวงได้แล้ว เรื่องอื่นก็วางมือไว้ก่อน
เรื่องสำ คัญที่สุดคือการแต่งตั้งรัชทายาท” เกาหลิงปอเอ่ยกำชับ
ผู้ติดตามขานรับ
เมื่อเดือนหนึ่งผ่านพ้นไป ฮ่องเต้ก็กลับมาประชุมราชสำ นัก
ดังเดิม แถมทุกคนยังลืมเรื่องน่าตื่นตระหนกในคืนนั้นไปแล้ว หาก
มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจจะกระอักเลือดออกมาก็ไม่แปลกนัก
แต่ข่าวคราวของเหตุกบฏนั้นยังคงไม่จางหายไป
แต่กลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น“…ล้วนแต่เป็นเพราะบรรเทาทุกข์ไม่เพียงพอ เหล่ากบฏถึงได้
ฉวยโอกาสนี้…”
เสียงถกเถียงในท้องพระโรงก็ยิ่งดุเดือดขึ้นเช่นกัน
ฮ่องเต้ยกมือขึ้นนวดขมับ
พวกเขาต่างพูดว่าตนเองนั้นรู้ดีกว่าใคร ทุกคนรู้ ทุกคนเข้าใจ
บรรเทาทุกข์ไม่เพียงพอบ้างละ เหล่ากบฏเหิมเกริมบ้างละ แต่ยามนี้
มิใช่เวลาจะมาถกเถียงเรื่องนี้ ต้องคิดหาวิธีว่าจะทำเช่นไรต่างหาก
“…สอบสวนและลงโทษผู้ทำให้การบรรเทาทุกข์ที่ถนนเม่าผิง
ไม่เพียงพอ…”
“…ปราบกบฏเสียก่อน…”
“…จะส่งผู้ใดไป”
ในท้องพระโรงถกเถียงกันไม่หยุดหย่อน ทันใดก็มีเสียงหนึ่ง
ดังก้องขึ้น
“ฝ่าบาท กระหม่อมขออาสาไปเองพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงนั้นยังฟังดูหนุ่มแน่น ทุกคนเหลียวมองไปตามเสียง ก็
เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินก้าวออกมา ก่อนจะถวายบังคมต่อหน้าฝ่าบาท
“จิ้นอัน” ฝ่าบาทตกใจไม่น้อยพลางขมวดคิ้วมุ่น “เจ้า
จะก่อเรื่องวุ่นวายอันใดอีก”
“ฝ่าบาท กระหม่อมมิได้ก่อเรื่องวุ่นวาย กระหม่อมเต็มใจไป
พ่ะย่ะค่ะ” จินอันจวิ้นอ๋องเอ่ยเสียงดังฟังชัด “กระหม่อมรู้ว่า
กระหม่อมยังเด็ก ไม่อาจรับภาระอันยิ่งใหญ่นี้ได้ กระหม่อมเองก็
มิอาจหาญเป็นตัวถ่วงในภารกิจใหญ่หลวงนี้ กระหม่อมเพียงคิดว่า
รอให้ฝ่าบาทคัดเลือกขุนนางบุ๋นวางแผนบรรเทาภัยพิบัติ เลือก
ขุนนางบู๊ปราบกบฏ ส่วนกระหม่อมนั้นจะเป็นตัวแทนของฝ่าบาท
ร่วมปลอบขวัญให้แก่ชาวเมือง แสดงแสงยานุภาพโจรกบฏได้รับรู้”
เป็นเช่นนี้ที่เอง ในอดีตก็เคยมีทั้งฮ่องเต้และองค์รัชทายาทที่
ร่วมรบในสงครามมาก่อน หากยามนี้มีราชนิกุลมุ่งหน้าไปยังเม่าผิง
แล้วละก็ สำ หรับชาวเมืองผู้ตกทุกข์ได้ยากแล้ว ย่อมเป็นการ
ปลอบขวัญอย่างหนึ่ง ทั้งยังเป็นการข่มขวัญชาวเมืองที่ก่อกบฏสร้าง
ความวุ่นวายด้วยเช่นกัน
ภายในท้องพระโรงเงียบสงัด“เหลวไหล!” ฮ่องเต้เอ่ย “เฉินเซ่า พวกเจ้าคัดเลือกคนไป
บรรเทาทุกข์และปราบกบฏ แล้วรายงานเราภายในสามวัน เลิก
ประชุม!”
พอเห็นฮ่องเต้เดินออกจากท้องพระโรงไป เหล่าขุนนางใหญ่ก็
พากันเดินออกไปจากนั้นก็วิ่งวุ่นกันเรื่องคัดเลือกบุคคล ทว่าขุนนาง
ใหญ่สองคนที่เดินออกจากท้องพระโรงมาก็หันมาสบตากัน
เรื่องนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
พวกเขามองดูเบื้องหน้า ก็เห็นว่าองค์ชายหนุ่มกำลังเดิน
ออกมาพร้อมกับผู้ติดตามเช่นกัน ทว่ากลับถูกขันทีคนหนึ่งเอ่ยรั้งไว้
เสียก่อน แน่นอนว่าฮ่องเต้เรียกเขาให้ไปเข้าเฝ้า
“เช่นนี้เรียกว่าบุกเพื่อถอยใช่หรือไม่” ขุนนางใหญ่คนหนึ่งเอ่ย
เสียงแผ่วเบา
อีกคนหนึ่งส่ายหน้า สีหน้างุนงง
“หากใช้กลอุบายเช่นนั้นตอนนี้ เห็นทีจะไม่ฉลาดสักเท่าไหร่”
เขาเอ่ย“เช่นนั้นแปลว่าเขาอยากไปจริงๆ อย่างนั้นหรือ” ขุนนางคน
ก่อนหน้าเอ่ยอย่างประหลาดใจ
จะเป็นไปได้อย่างไร
ทว่าหลังจากนั้นสามวัน ราชโองการของฮ่องเต้ก็ตอกย้ำ
ความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ จิ้นอันจวิ้นอ๋องจะเดินทางไปยังถนน
เม่าผิงในฐานะฑูตนิรโทษกรรม
“ขอบคุณสวรรค์ ในที่สุดก็กำจัดหนามยอกอกนี้ไปได้เสียที”
กุ้ยเฟยที่ประทับอยู่วังหลังรู้ข่าวก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ
“เป็นเพราะใต้เท้าเกาวางแผนไว้อย่างดี ถึงเขาจะถูกเนรเทศ
ออกไป แต่ศัตรูเองก็ถูกกำจัดเช่นกัน”
นางกำนัลมองมา
“แม้ใต้เท้าเกาจะวางแผนเพื่อตนเอง หากข้าต้องขอบคุณ ข้า
จะทำ เจ้าไปบอกกับพวกเขาให้ข้าที”
นางกำนัลลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“กุ้ยเฟยเพคะ ใต้เท้าสองบอกว่าเรื่องนี้มิใช่ฝีมือของพวกเขา”
นางเอ่ยกุ้ยเฟยชะงักไป
“หมายความว่าอย่างไร” นางถาม
“ข้าเองก็ฟังไม่ค่อยเข้าใจเพคะ แต่ใต้เท้าสองคนนั้นพูดว่า
เดิมทีพวกเขาตั้งใจว่าจะใช้โอกาสนี้ใส่ความจิ้นอันจวิ้นอ๋อง เพราะ
เขาเป็นคนให้ความเห็นกับฮ่องเต้เรื่องว่าเห็นควรบรรเทาทุกข์ก่อน
ปราบกบฏ แต่สุดท้ายพวกจะไม่ทันได้พูดอะไร จวิ้นอ๋องก็เอ่ยปาก
ออกมาเองว่าจะเป็นทูตนิรโทษกรรม” นางกำนัลเอ่ย
ออกปากเองว่าจะไปอย่างนั้นหรือ
กุ้ยเฟยขมวดคิ้ว
นี่เขาคิดจะทำอันใดอีก! หรือว่าคิดอยากจะมีชื่อเสียงจน
ฟั่นเฟือนไปเสียแล้ว
ออกจากเมืองหลวงเชียวนะ! ออกไปปรากบฏเชียวนะ! หาก
เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา แม้จะได้เกียรติยศชื่อเสียง แต่ก็ไร้
ความหมาย
“องค์ชาย ท่านรู้หรือไม่ตนเองกำลังทำอะไรอยู่ นี่เป็นความตั้ง
ใจของท่านจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”ภายในตำหนักชิ่งอ๋อง หมอหลวงหลี่ที่แสร้งว่ามาตรวจอาการ
ชิ่งอ๋องกำลังเอ่ยถามเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ใช่น่ะสิ แน่นอนว่าเป็นความต้องการของข้า กว่าข้า
จะเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทได้ก็เล่นเอาเหนื่อยแทบแย่”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มเอ่ย
“ข้าบอกฝ่าบาทว่า ข้าเป็นคนผิด เดิมทีข้าคิดว่าควร
บรรเทาทุกข์เสียก่อน พอพ้นภัยแล้วชาวเมืองย่อมอุ่นใจ แต่กลับ
กลายเป็นว่า ใจจิตที่หวาดหวั่นนั้นพอถูกปลุกระดมขึ้นมา มิอาจ
ปลอบขวัญได้ง่ายดายขนาดนั้น เพราะอย่างนั้นไม่ว่าใช้เงินใช้เสบียง
ไปมากเท่าใด กบฏก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าคิดผิด จึงอยากจะเป็น
เห็นด้วยตาของตัวเอง”
หมอหลวงหลีทอดถอนใจ
“เป็นอย่างไร ข้าพูดได้ดีใช่ไหมล่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องพูดจบก็
เหลียวไปมองเขา “ตอนนั้นฝ่าบาทก็ตกลงในทันที”
“องค์ชายวาทศิลป์ล้ำเลิศ ใครได้ยินเป็นต้องคล้อยตาม” หมอ
หลวงหลี่เอ่ยจิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะชอบใจพลางยกถ้วยชาขึ้นมา
“เพียงแต่องค์ชาย” หมอหลวงหลี่มองเขา สีหน้าดูจริงจัง
“ท่านลืมเหตุการณ์หมาป่ากลางหุบเขาเมื่อสี่ปีก่อนไปแล้วหรือ”
“สี่ปีก่อนอย่างนั้นหรือ”
ในมือของเขาถือถ้วยชาอยู่ จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่นั่งทอดกายอย่าง
ผ่อนคลายก็ผุดนั่งหลังตรงในทันมด
“จะว่าไป…” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มบาง “ข้ารู้จักนางมาเกือบสี่ปี
แล้วหรือนี่”
หมอหลวงหลี่ชะงักไป ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างโมโห
“องค์ชาย!” เขาตะเบ็งเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้ากำลังพูด
เรื่องจริงจังกับท่านอยู่นะ!”