พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 14 ตกใจ
ปั้นฉินนำของในตะกร้าอาหารออกมาจัดวาง
“นายหญิง รับประทานอาหารได้แล้วเจ้าค่ะ” นางกล่าวด้วยความดีใจ
เฉิงเจียวเหนียงอยู่เพียงครู่
“อาหารเน้นความพิถีพิถัน ไม่เน้นที่ปริมาณ” นางกล่าวพร้อมยื่นมือมาหยิบขนมชิ้นหนึ่ง
ปั้นฉินรีบแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ ให้นาง พุทราข้างในปรากฏออกมา
“อ่า ขนมชุยปิ่งนี้อร่อยกว่าในวัดเต๋าเยอะเลยเจ้าค่ะ” นางพูดพลางยิ้มไปพลาง
“ไม่อร่อย” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหัว กินเพียงคำเล็กๆ ก็ไม่กินต่อแล้ว
ตั้งแต่ที่นายหญิงหายดีแล้ว ถึงแม้กินได้น้อย แต่กลับช่างเลือกเป็นอย่างมาก เงินที่พวกนางหามาได้นอกจากจะไว้ใช้
ในการเดินทางแล้ว กว่าครึ่งนั้นใช้ไปกับอาหารการกิน ไม่รู้ว่านางคิดอาหารที่พิถีพิถันเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร
อย่างเช่นหมี่เย็นที่นายหญิงจะกิน ต้องใช้ใบไหวสดบดเอาน้ำมานวดกับแป้งทำเป็นเส้น กลั่นน้ำมันจากเนื้อหมูเอามาผัดหมี่ หมี่ถ้วยหนึ่งมีส่วนผสมไม่มาก แต่ใช้เวลามากกว่าคนอื่นที่ทำหมี่เป็นหม้อ
โชคดีที่นายหญิงกินไม่มากนัก บางทีวันหนึ่งกินขนมไม่กี่ชิ้นก็พอแล้ว ไม่เช่นนั้นป่านนี้พวกนางคงยังไปไม่ถึงบ้าน
เฉิงเจียวเหนียงมองดูกล่องอาหาร พร้อมยกมือขึ้นชี้
“อันนี้เอาไปทอด เอาแป้งนึ่งนี้ฉีกละเอียดต้มกับน้ำแกงเสีย ก็พอแล้ว” นางกล่าว
ปั้นฉินทำงานพวกนี้จนเคยชินเสียแล้ว นางตอบรับแล้วยกออกไปอย่างอารมณ์ดี
“เจ้านั่งยองๆ นั่งยองลงไป” แม่นางเฉิงหกหันซ้ายหันขวา เหมือนนึกอะไรออก ก่อนจะชี้นิ้วกับสาวใช้พร้อมพูดไปพลาง
สาวใช้หวาดหวั่นชอบกล
“นายหญิง พวกเรากลับไปกันเถอะเจ้าค่ะ ฮูหยินต้องตามหาท่านแน่เลย” นางกล่าว
แม่นางเฉิงหกเบาลมชู่วเพื่อให้นางเงียบ
“เบาๆ หน่อย! อย่าทำให้เจ้าสติไม่ดีนั่นตกใจ!” นางเอ่ยเสียงเบา
สาวใช้แทบจะร้องไห้ออกมา
“นายหญิง อย่าดูอีกเลย เจ้าสติไม่ดีนั่นตีคนนะเจ้าคะ” นางกล่าวเสียงสั่น
สำหรับเด็กอายุสิบกว่าขวบ คนสติไม่ดีนั้นน่ากลัวยิ่งนัก
“อยู่ในบ้านข้าจะกลัวอะไรเล่า เร็วเข้า นั่งลง ข้าจะปีนขึ้นไปดูว่าเจ้าคนสติไม่ดีหน้าตาเป็นอย่างไร” แม่นางเฉิงหกกล่าว
โบกไม้โบกมือ เร่งเร้าสาวใช้ให้รีบนอนคว่ำลง
สาวใช้จนปัญญาทำได้เพียงนอนลงน้ำตาคลอเบ้า แม่นางเฉิงหกจับกำแพงไว้และเหยียบบนร่างของสาวใช้ คว้าขอบหน้าต่างไว้แล้วมองผ่านช่องเข้าไปข้างใน
เสียงฝีเท้าดังขึ้น ทำเอาแม่นางเฉิงหกตกใจรีบนั่งลง สาวใช้โซเซแทบทำนางล้มลง
“นายหญิง เจียนปิ่งเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ท่านกินนี่ไปก่อน ข้าต้มโจ๊กชุยปิ่งอยู่”
แม่นางเฉิงหกยื่นหัวออกมาอย่างระมัดระวัง มองดูสาวใช้กระโปรงดำวิ่งผ่าน พร้อมกับกลิ่นหอมฟุ้งลอยมา
“เหตุใดถึงหอมเช่นนี้” นางพึมพำ เขย่งเท้าเกยหน้าต่าง ริมซ้ายหลังม่านไม่ไผ่มีเงาคนสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่
“นายหญิง ข้าไปตักน้ำแกง…”
“นายหญิง ท่านชิมอันนี้ว่าได้ไหม”
สาวใช้เดินเข้าออกเรือนไปมา เสียงใสเจื้อยแจ้วดังสะท้อน นอกจากเสียงนางแล้วไม่มีเสียงตอบรับใดๆ
“เจ้าสติไม่ดีนั่นพูดไม่ได้” แม่นางเฉิงหกหันกลับมาพูดกับสาวใช้เบาๆ ด้วยความดีใจที่สืบข่าวใหม่มาได้
ทั้งกลัวทั้งเจ็บ สาวใช้สั่นไปทั้งตัวจนคุกเข่าไม่ไหวแล้ว
“นายหญิง เรารีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ…” นางพูดเสียงสั่น
“เจ้าอย่าขยับสิ ข้ายังไม่เห็นว่านางหน้าตาอย่างไร น้ำมูกไหลยาวเท่าไหร่ ตาปากเบี้ยวหรือไม่…” แม่นางเฉิงหกกล่าว พร้อมทั้งหันหน้ากลับไปอีกครั้ง
ดวงตาคู่ใหญ่จ้องมองดูนาง
แม่นางเฉิงหกกรีดร้อง ล้มลงบนพื้นไป
สาวใช้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ตกใจจนต้องกรีดร้องตาม ยิ่งเห็นแม่นางเฉิงหกล้มลงบนพื้น ก็ยิ่งตกใจจนกรีดร้องออกมาอีก ก่อนจะรีบลากแม่นางเฉิงหกวิ่งหนีสุดชีวิต
เฉิงเจียวเหนียงมองดูคนสองคนล้มลุกคลุกคลานหนีไปดังลมพัด
“นายหญิง ผู้ใดหรือเจ้าคะ” ปั้นฉินยืนข้างๆ กล่าวด้วยสีหน้าตกใจและกังวล
เฉิงเจียวเหนียงหน้านิ่ง
ปั้นฉินบ่นพึมพำ บนเตามีเสียงน้ำมันควันดังขึ้น นางร้องพลางรีบหันกลับวิ่งไป
“ข้าไม่รู้ว่าคือใคร” เฉิงเจียวเหนียงเพิ่งจะพูดออกมา
พอพูดจบ สีหน้าของนางก็ดูเบื่อหน่ายขึ้นมา ความคิดให้หัววิ่งวนไปมาไม่รู้กี่รอบ แต่คำพูดเพิ่งจะออกมาจากปากได้
‘ปากเจ้านี่มันไม่เก่งเหมือนใจหวัง ชาติหน้าเกิดมาขอให้มีปากเป็นไม้ เอาให้อึดอัดตายไปเลย’
จู่ๆ ในคำพูดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในหัว เฉิงเจียวเหนียงรู้สึกปวดตรงหัวใจ ความเจ็บปวดนั้นแผ่ซ่านไปทุกซอกกระดูก เสียงดังหึ่งในหู นางยืนไม่ไหวอีกต่อไป มือคว้าขอบหน้าต่างไว้ แต่ก็ทำได้แค่คิด เพราะยามที่นางยื่นมือออกมาก็สายไปเสียแล้ว
ปั้นฉินยกกล่องอาหารเข้ามาอย่างอารมณ์ดี ได้ยินเสียงโครมครามจึงพบว่าเฉิงเจียวเหนียงล้มลงบนพื้นไปเแล้ว
เสียงกรีดร้องกับเสียงกล่องอาหารที่ตกบนพื้น ดึงดูดให้เหล่าสาวใช้ที่อยู่ตรงหน้าประตูเดินเข้ามา
เมื่อเฉิงฮูหยินใหญ่มาถึง หมอก็เพิ่งจะส่งกลับ สาวใช้ต่างกำลังพูดคุยกัน
“ไม่ได้มีอะไรมาก ก็แค่ตกใจ พักสักหน่อยก็หาย” นางกล่าว
ฮูหยินรองเฉิงใบหน้าซีดเซียว เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งคืนกับอีกครึ่งวัน แป้งใต้ตาก็ปกปิดไม่มิดเสียแล้ว
“อยู่ในบ้านดีๆ จะตกใจได้อย่างไร” นางกล่าว อธิบายพร้อมถามกับฮูหยินใหญ่อย่างอ่อนแรง
“เพราะเปลี่ยนที่อยู่ใหม่กระมัง” ฮูหยินใหญ่กล่าว “เด็กแบบนั้น สติปัญญาเหมือนเด็กอายุไม่กี่เดือน ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก”
ฮูหยินรองฝืนยิ้มเล็กน้อย
“สะใภ้ใหญ่พูดถูก” นางกล่าวก่อนจะเลิกคิ้วมองสาวใช้ “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ แต่ละคนวิ่งพล่านไปหานายหญิงใหญ่อย่างกับลิงค่าง วันหน้าหากยังมีคนทำเช่นนี้อีก ข้าจะเอาพวกเจ้าไปขายเสีย ไปบนท้องถนนอยากดูอะไรก็ไปดูให้พอ”
เหล่าสาวใช้หดหัวก้มหน้าไม่กล้าพูดจา รู้ดีว่าผิด แต่ไม่ใช่เพราะพวกนางไปดูเด็กสติไม่ดีนั่น แต่เป็นเพราะจับกลุ่มคุยกันจนเกิดเรื่อง
พวกนางรีบคุกเข่าลงพร้อมร้องขออภัย บอกว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก จากนั้นฮูหยินรองจึงไล่พวกนางออกไป
“ลำบากเจ้าแล้ว” ฮูหยินใหญ่เอ่ยพลางมองดูนาง
ฮูหยินรองร้องไห้ออกมาทันใด นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องร้อง เพียงแต่อยากร้อง รู้สึกน้อยใจและอึดอัดใจ
“แม่นางเจ็ดเพิ่งจะเรียนรู้กฎเกณฑ์ ซีเกอเอ๋อร์ก็ยังเล็ก น้องชายสองก็ต้องเตรียมตัวไปรับหน้าที่ ลูกสาวสามคนของข้าก็แต่งงานแล้ว เหลือเพียงแม่นางหก ทั้งในบ้านหรือนอกบ้านได้พี่ชายใหญ่ของเจ้ามาดูแล ข้าก็เบาใจ เด็กสติไม่ดีคนนี้ก็ให้ข้าดูแลไปก่อนแล้วกัน” ฮูหยินใหญ่คิดสักครู่แล้วกล่าว
ฮูหยินรองลุกขึ้นเคารพ
“จะลำบากพี่สะใภ้ได้อย่างไร นี่เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” นางเอ่ยเสียงสะอื้น
“พอแล้ว คนบ้านเดียวกันแท้ๆ พูดอย่างกับเป็นคนนอก” ฮูหยินใหญ่กล่าว ยื่นมือมากุมมือนาง “อย่างไรเสียก็อยู่ในรอบรั้วเดียวกัน ข้าจะให้คนใช้ไปดูแลก็แล้วกัน เรื่องอื่นก็ไม่ต้องกังวลใจไป เจ้าก็วางใจได้ ตั้งใจสอนลูกๆ ในบ้าน ให้น้องชายสองไปรับหน้าที่อย่างสบายใจ ตระกูลเฉิงเรา ต้องอาศัยบารมีน้องชายสองอยู่”
หากตอนนี้ยังจะบ่ายเบี่ยงอีกก็ดูอิดออดไป ฮูหยินรองกล่าวขอบคุณความกรุณาอย่างจริงใจ ถือว่าบรรเทาความทุกข์ใจไปได้ชั่วคราว
เหล่าสาวใช้ด้านนอกรวมตัวกันอีกครั้ง
“รีบบอกเร็ว หน้าตาอย่างไร” หลายคนมารุมล้อมเหล่าสาวใช้ที่โชคดีได้ยินเสียงกรีดร้องแล้วเข้าไปรับใช้เฉิงเจียวเหนียง กล่าวถามอย่างใคร่รู้
“หน้าตาเหมือนกับฮูหยินที่ล่วงลับไปอย่างกับแกะ” สาวใช้คนหนึ่งกล่าวด้วยความประหลาดใจ
ฮูหยินสกุลโจวใบหน้างดงาม สาวใช้คนเก่าแก่ ในบ้านยังจำได้อย่างชัดเจน
“แต่เสียดายที่เดินไม่ได้ ยืนอยู่ดีๆ ยังล้มลงได้” สาวใช้ส่ายหัวถอนหายใจ “เหม่อลอยตลอด ตื่นอยู่ก็ไม่รู้ว่าตื่น ดูอย่างไรก็เหมือนไร้วิญญาณ ข้าวที่ยกเข้าไปก็ไม่กิน ไม่รู้ว่ากินข้าวเองได้หรือไม่”
เหล่าสาวใช้ทางนี้พากันถอนหายใจกัน อีกทางก็มีเหล่าแม่นางทั้งหลายรวมตัวกัน
“ตาโตขนาดนี้…” แม่นางเฉิงหกกล่าว ยื่นมือมาทำท่าทางบนใบหน้า
พี่น้องที่นั่งอยู่ต่างทำท่าทางตกใจและหวาดกลัว
“แล้วยังไม่มีนัยน์ตาอีก!” แม่นางเฉิงหกพูดอีกประโยค เบิกตาใส่ทุกคน
เหล่าหญิงสาวอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องขึ้นมา นั่งกำมือกันแน่นบนเสื่อรอง
“น่ากลัวจัง น่ากลัวจัง” ทุกคนต่างกล่าว “แม่นางหก เจ้าอย่าไปดูอีกเลย ได้ยินว่าคนสติไม่ดีนี่ตีคนด้วย!”
แม่นางเฉิงหกได้ใจเล็กน้อย
“ข้าไม่กลัวหรอก ข้ามีพี่ชาย หากนางจะตีข้า ข้าก็ให้พี่ชายข้าตีนาง” นางเท้าเอวกล่าว
ถึงบ้านรองในวันนี้จะมีเพียงลูกชายหนึ่งคน คือซีเกอเอ๋อร์ที่นอนกินนมอยู่บนเตียง บ้านใหญ่มีลูกชายสามคน มีพี่ชายคอยปกป้อง เป็นเรื่องที่เหล่าหญิงสาวต่างอิจฉา พี่ชายแท้ๆ กับพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันย่อมต่างกันอยู่บ้าง
เสียงเกี๊ยะไม้ดังลอยมา แม่นางเฉิงเจ็ดเดินมาเข้าห้องโดยไม่ถอดรองเท้าเกี๊ยะไม้ นางเดินตรงเข้ามาทั้งยังทิ้งรอยเท้าไว้อย่างชัดเจนบนเสื่อรองนั่งลายดอกไม้นกปลาสุดโปรดของแม่นางเฉิงหก
“แม่นางหก คนสติไม่ดีนั่นตอนนี้เป็นพี่สาวเจ้าแล้ว” แม่นางเฉิงเจ็ดโบกพัดน้อยไปมา บนไหล่คลุมด้วยไหมซาหลัว ร่างสะโอดสะองพูดจาเสียงดัง
………………………………………………………………………