ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 909 อับจนหนทาง (2)
บทที่ 909 อับจนหนทาง (2)
……….
โพ้นทะเล
หลังจากผ่านการต่อสู้ที่อันตรายประหนึ่งยืนบนน้ำแข็งเปราะอันยาวนาน สวี่ชีอันค่อยๆ ประคองความสมดุล ความสมดุลที่จะมีชีวิตรอดในการต่อสู้ที่เหมือนการไต่เส้นลวดนี้
ระดับเหนือมนุษย์ล้วนมีข้อดีข้อเสีย กลวิธีของเทพเจ้ากู่หลากหลายและแปลกประหลาด
แต่ฮวงนั้นแปลกแหวก น่ากลัวถึงชีวิต กลับมีจุดอ่อนสูงสุด อย่างเช่นความเร็ว เขาไม่สามารถควบคุมวิชากระโดดสู่เงาให้เคลื่อนที่อย่างไร้ร่องรอยเหมือนอย่างเทพเจ้ากู่
สวี่ชีอันรบรัดกับเทพเจ้ากู่ด้วยความพลิกแพลงของมหาเนตร โดยส่วนมากฮวงได้แต่เฝ้ามองอยู่ข้างๆ
เพื่อเป็นการเพิ่มความสามารถในการพิเคราะห์ไว้รับมือสถานการณ์ที่ล่อแหลม สวี่ชีอันจึงใช้ร่างธรรมแห่งปัญญาในเจดีย์พุทธะ ล้อไฟหมุนไปข้างหน้าและเพิ่มสติปัญญาของเขา
เขารู้สึกว่าฉลาดขึ้นมากจริงๆ แต่พลังกายที่เสียไปในการใช้สมองก็เพิ่มขึ้นด้วย…
การรบรัดเปล่าประโยชน์ เป็นเพียงการเสียเวลาเปล่า อีกทั้งเทพพ่อมดก็หลุดพ้นจากผนึกแล้ว ต้าฟ่งตกอยู่ในอันตราย จะต้องคิดหาวิธีตัดเขาเพียงหนึ่งเดียวของฮวง และช่วยชีวิตท่านโหราจารย์ ข้าจึงจะสามารถเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว…
แต่หากเข้าใกล้ฮวงก็เท่ากับตายสถานเดียว ทำเช่นไรดี…
สมองของสวี่ชีอันทำงานเกือบถึงขีดสูงสุด ความคับขัน ความวิกฤติและความกังวลเคี่ยวกรำเป็นสามเท่า
สถานการณ์ในตอนนี้คือ หลุมดำกลุ่มหนึ่งลอยไปลอยมา ไล่ตามเขา
ภูเขาเนื้อแห่งหนึ่งซึ่งลึกลับซับซ้อน กลวิธีควบคุมพิลึกและยากที่จะป้องกันกำลังรบเร้าเขา
การต่อสู้จวบจนขณะนี้ เขาทำได้เพียงฝืนรับฝืนสู้ระดับเหนือมนุษย์ทั้งสอง ยังคงต้องพึ่งพิงการช่วยเหลือจากมหาเนตร หากไร้ซึ่งเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพอย่างมหาเนตร ก็คงถูกเทพเจ้ากู่และฮวงผลัดกันสั่งสอนให้รู้จักกาลเทศะไปนานแล้ว
ผลกระทบจาก ‘อำพราง’ ของเทพเจ้ากู่ที่เกิดกับข้ามีเพียงหนึ่งวินาที ทุกการเว้นสิบลมหายใจจึงจะสามารถสำแดงผลครั้งหนึ่ง ส่วนไสยศาสตร์กู่อื่นๆ เขายังไม่เคยร่าย แต่คงรับมือไม่ยากเท่าอั้นกู่…
“ความเร็วของฮวงตามข้าไม่ทัน ดูปลอดภัยตั้งแต่แรกเห็น แต่เพียงผิดพลาดครั้งเดียว ข้าก็จบสิ้น…”
“คงสู้ไม่ชนะระดับเหนือมนุษย์สองคนเป็นแน่ ในเมื่อพลังไม่พอ เช่นนั้นก็ต้องคิดหาวิธีอื่น ตำราพิชัยสงครามกล่าวไว้ว่า ‘จู่โจมเมืองมิสู้จู่โจมใจ’ เทพเจ้ากู่มีเทียนกู่ สติปัญญาเด่นเหนือใคร ฉลาดกว่าข้า”
“ฮึม แม้ฮวงจะมีระดับเชาวน์ปัญญาได้มาตรฐาน แต่นิสัยมักมากและฉุนเฉียว มีข้อบกพร่องที่ชัดเจน ซึ่งพอใช้ประโยชน์ได้…”
สวี่ชีอันกวาดมองหลุมดำที่โถมเข้าอย่างรวดเร็ว เขาดีดนิ้วเคลื่อนย้ายตนเองไปยังที่ที่ไกลออกไป ก่อนเอ่ยเสียงดังว่า
“เมื่อครู่ โชคชะตาในร่างกายของข้าส่งสัญญาณแล้ว นี่ทำได้เพียงพิสูจน์ว่า ไม่ก็พระพุทธเจ้าเริ่มกลืนกินที่ราบลุ่มภาคกลาง ไม่ก็เทพพ่อมดหลุดพ้นจากผนึก”
“พวกเจ้ายังอยากสู้กับข้าที่นี่ไปอีกนานเท่าใด”
เทพพ่อมดไม่สะทกสะท้าน แต่ฮวงได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน หลุมดำค่อยๆ รวมตัวกันกลางอากาศทีละน้อย
แววตาของเทพพ่อมดสงบนิ่งและเปี่ยมด้วยปัญญา เขาแผดเสียงอันน่าเกรงขามและทรงพลังว่า
“อย่าให้โดนเขาสะกดจิต ระดับเหนือมนุษย์ต้องการเวลาในการกลืนกินที่ราบลุ่มภาคกลาง แต่ขอเพียงพวกเราสังหารเขา ก็จะสามารถชิงโชคชะตาในร่างกายของเขาได้โดยตรง”
หลุมดำโถมเข้ามาต่อโดยไม่ลังเลอีกต่อไป
และในขณะเดียวกันนี้ เทพเจ้ากู่ได้ร่ายวิชาอำพรางใส่เขาและเจดีย์พุทธะอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ เงาร่าวของสวี่ชีอันกลับแวบหายไปปรากฏตัวห่างออกไปหลายร้อยจั้งเสมือนรู้ล่วงหน้าโดยไม่ต้องทำนาย
จากนั้นไม่นาน ตำแหน่งเดิมที่เขาอยู่ถูกแทนที่ด้วยหลุมดำ
ร่างธรรมแห่งปัญญาของเจดีย์พุทธะไม่เพียงเพิ่มสติปัญญา มันยังเป็นเครื่องส่งสัญญาณ หากเทพเจ้ากู่ร่ายวิชาอำพรางใส่เขากับเจดีย์พุทธะ การเสริมพลังสติปัญญาก็จะหายไป
สวี่ชีอันจึงสามารถรับสัญญาณ และกระโดดเคลื่อนย้ายล่วงหน้า
และเนื่องด้วยเวลาของวิชาอำพรางมีเพียงหนึ่งวินาที โดยพื้นฐานจึงเท่ากับว่าได้สลายผลจากวิชาอำพรางไปแล้ว
“โฮก!”
เสียงคำรามทุ้มต่ำที่เดือดดาลดังออกมาจากหลุมดำ เขาคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง
ในยุคโบราณเขาสามารถเดินผ่าเหล่า แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกันอย่างเทพเจ้ากู่ ก็ยังไม่อยากยั่วโมโหเขา สาเหตุเป็นเพราะฮวงทั้งทรงพลังทั้งหยาบช้า ที่ทรงพลังก็เพราะพลังวิเศษฟ้าประทานที่กระทั่งผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกันยังรู้สึกว่ารับมือได้ยาก
ที่หยาบช้าเป็นเพราะจุดอ่อนของเขาเด่นชัดเกินไป ผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกันมีวิธีรับมือและหลบเลี่ยง
เหมือนจอมยุทธ์สุดๆ
“ข้าช่วยท่านโหราจารย์ไม่ได้ แต่พวกเจ้าก็สังหารข้าไม่ได้ จะชิงโชคชะตาของข้าไปเช่นไร”
สวี่ชีอันเอ่ยเสียงดังว่า “เทพพ่อมดและพระพุทธเจ้ากำลังตอดกลืนต้าฟ่ง เจ้าทั้งสองยังอยู่โพ้นทะเล ต่อให้รีบกลับมาก็ต้องใช้เวลา พวกเจ้าสูญเสียโอกาสในการช่วงชิงวิถีแห่งฟ้าไปแล้ว”
พลังกลืนกินของหลุมดำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน
ขณะนี้ สวี่ชีอันเป็นฝ่ายพุ่งเข้าหาเทพเจ้ากู่ ระหว่างนั้น ผิวกายของเขาปรากฏลายเส้นที่บิดเบี้ยวและสลับซับซ้อน กล้ามเนื้อทั้งตัวปูดนูนขึ้นเป็นก้อนๆ ในฉับพลัน เปี่ยมด้วยพลังในการเคลื่อนภูผาถมสมุทร
พื้นที่ว่างเปล่าโดยรอบเกิดความบิดเบี้ยว เสมือนไม่อาจแบกรับพลังของเขา เกาะเทพมารด้านล่างเกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรง แผ่นดินแยกออกเป็นเส้นสาย
เขาพุ่งศีรษะไปยังเทพเจ้ากู่
ทันทีที่ได้เห็นสถานการณ์ เทพเจ้ากู่จึงทำให้กล้ามเนื้อขยายขึ้นเป็นมัดๆ ดั่งเหล็กกล้า รูอากาศที่อยู่ตรงสันหลังพ่นหมอกโลหิตออกมา ซึ่งก็คือวิชาสังเวยโลหิต
อากาศรอบตัวเขาเองก็เกิดความบิดเบี้ยว ยากที่จะแบกรับพลังของภูเขาเนื้อแห่งนี้
และเมื่อเทียบกับการกระแทกอันป่าเถื่อนจากจอมยุทธ์ซึ่งหยาบช้าอย่างสวี่ชีอัน เทพเจ้ากู่ไม่ได้รีบร้อนที่จะเข้าปะทะแบบไม่ยอมลดราวาศอกเลย เขากลับอ้าปากคายสาวงามออกมาทีละคน
จำนวนประมาณสิบกว่าคน สาวงามเหล่านี้มีรอยยิ้มอันงดงามล้มบ้านล้มเมือง ทั้งเรือนร่างไร้ซึ่งเส้นใยผ้า หน้าอกหนักแน่น ต้นขาสูงยาว ท้องน้อยเรียบเต่งตึง บั้นท้ายอวบกลมสมบูรณ์…
พวกนางกระตุ้งกระติ้งให้เทพยุทธ์ครึ่งก้าวที่กำลังบุกเข้ามาอย่างโดดเด่นโดยไร้ซึ่งความกลัว และทำท่าทางยั่วเย้าใจคน
ชั่วพริบตาเดียว เสียงนางมารจรดหูสวี่ชีอัน เส้นเลือดสูบฉีด ในสมองหลงเหลือเพียง ของข้าใหญ่มาก เจ้าทนหน่อย…
เทพเจ้ากู่กระตุ้นราคะของเขา
เหมือนกระบวนท่านี้มีไว้สะกดสวี่ชีอันโดยกำเนิด ทำให้เขาสับสนว้าวุ่นได้สำเร็จ ก่อกวนจังหวะจู่โจม เสื่อมสลายจิตใจอันแน่วแน่
เงามืดส่วนล่างสุดของร่างกายเทพเจ้ากู่เกิดการสั่นสะบัด ทักษะ ‘อำพราง’ สะสมพลังรอการปลดปล่อย ขณะนี้เอง แสงดาบสีทองเหลืองพวยพุ่งขึ้นมาจากด้านหลังของสวี่ชีอัน และสะบั้นพวกนางไร้ราคาสะดีดสะดิ้งสิบกว่าคนทิ้ง
ดาบสยบดินแดนที่ซุ่มซ่อนไว้ยาวนานออกโรงแล้ว มันขจัดการเย้ายวนของสาวงามแทนเขาด้วยวิธีขย่ำดอกไม้อันทารุณ
พวกนางกลายเป็นก้อนเลือดเนื้อสีแดงเข้มขยุกขยิก เลือดเนื้อเหล่านี้ขยายขึ้นในฉับพลัน และกลายเป็นหมอกม่วงปิดกั้นท้องฟ้าบดบังตะวัน
“ซีๆ …”
ผิวหนังของสวี่ชีอันเกิดควันสีม่วงอย่างรวดเร็ว และถูกกัดกร่อนสาหัส ลูกตาแสบร้อน วิสัยทัศน์เลือนราง
ตู๋กู่ของเทพเจ้ากู่ไม่ใช่ธรรมดา มันสร้างบาดแผลให้เทพยุทธ์ครึ่งก้าวอย่างง่ายดาย
สวี่ชีอันเหินลมดิ่งลงไปในทันที เขาวิ่งตะบึงบนอากาศ พุ่งตัวออกจากขอบเขตที่ปกคลุมด้วยหมอกพิษ และคว้าดาบสยบดินแดน
จากนั้น เขารวบรวมมวลพลังปราณทั้งหมด เก็บอารมณ์ทั้งหมด ‘หลุมดำ’ ตันเถียนพังทลาย รวมตัวเป็นพลังอันมหาศาลทั่วร่าง
ทว่าในขณะที่เขากำลังจะแกว่งดาบ แขนกลับไม่รับการควบคุมอย่างกะทันหัน ร่างกายแสดงสภาวะทื่อแข็ง
ไม่รู้ว่าสารพิษที่เข้าสู่ร่างกายเหล่านั้นมีชีวิตขึ้นตั้งแต่เมื่อใด มันลอกคราบกลายเป็นหนอนดำตัวเล็กตัวน้อยทีละตัว พวกมันฝังตัวอยู่ในเลือดเนื้อ พร้อมกับควบคุมบางส่วนที่ตนเองฝังตัวลงไป และแย่งชิงสิทธิ์ในการควบคุมร่างกายกับสวี่ชีอัน
ซือกู่…ความคิดของสวี่ชีอันแวบขึ้นมา ครู่ต่อมา สายตามืดบอด เขาถูกอำพรางอีกครั้ง
นี่ก็คือกลวิธีของเทพเจ้ากู่ ลงมือต่อเนื่อง พิลึกเกินดาคเดา
หลุมดำคว้าโอกาสลอยเข้ามากลืนกินสวี่ชีอันเกือบทั้งตัวอย่างรวดเร็ว
โครม!
ทันใดนั้น สวี่ชีอันซึ่งถูกอำพรางประสาทสัมผัสทั้งห้าและสัมผัสรู้ทั้งหก เป็นฝ่ายเข้าปะทะเทพเจ้ากู่โดยอาศัยสัมผัสทิศทาง เขาแผดเสียงอย่างหนักแน่นว่า
“ฮวง ต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะไม่ตายในมือคนไร้ค่าอย่างเจ้า”
ร่างกายอันมหึมาสีแดงเข้มของเทพเจ้ากู่เข้าปะทะอย่างสุดกำลัง พุ่งชนสวี่ชีอันจนร่วงจากท้องฟ้าสู่พื้นดินในทันที เกาะเทพมารสั่น ‘ครืนๆ’ พื้นดินแตกออกเหมือนใยแมงมุม
แม้จะเป็นกายาจิตของเทพยุทธ์ครึ่งก้าวก็ตาม หากโดนเช่นนี้เพียงช่วงสั้นๆ กระดูกอกและซี่โครงคงหักและแทงเข้าอวัยวะในช่องท้องอย่างไม่มีทางเลี่ยง
เทพเจ้ากู่ซึ่งมีกลวิธีของลี่กู่ พลังปราณแทบจะสูงกว่าจอมยุทธ์
ไม่เพียงเท่านี้ จื่อกู่ไต่ออกมาจากผิวกายของเทพเจ้ากู่ประหนึ่งฝูงมด และเจาะเข้าไปในร่างกายของสวี่ชีอัน เมือกพิษหลั่งออกมาเป็นเส้นสาย ย้อมชโลมผิวหนังของเขา
เพียงครู่หนึ่ง ภายใต้หนังหน้าของสวี่ชีอันก็ปรากฏเม็ดเล็กๆ ปูดขึ้นนับไม่ถ้วน มันเลื้อยไต่อย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันผิวหนังก็กลายเป็นสีม่วงเข้ม เนื้อหนังเน่าพุพอง
ไสยศาสตร์กู่แขนงหลักต่างๆ ปรากฏอย่างครบถ้วน เขาควบคุมเทพยุทธ์ครึ่งก้าวผู้นี้สำเร็จ
ฮวงร้อนใจเมื่อได้เห็นสถานการณ์ เขาพุ่งศีรษะตรงไปที่เทพเจ้ากู่และสวี่ชีอัน
โชคชะตาในร่างกายของสกุลสวี่มีมหาศาล หากกลืนกินเขา และช่วงชิงวิถีแห่งฟ้าก็เท่ากับชนะไปแล้วครึ่งหนึ่ง เขาจะเบิ่งตามองเทพเจ้ากู่เด็ดลูกท้อไปได้เช่นไรกัน ทั้งนี้ คำพูดของสวี่ชีอันก่อนหน้านี้ก็ไม่มีหลักการเอาเสียเลย
เทพพ่อมดและพระพุทธเจ้ากลืนกินกำลังเริ่มกลืนกินที่ราบลุ่มภาคกลางและยึดครองอาณาบริเวณ เขากลับยังอยู่โพ้นทะเล ห่างไกลจากแผ่นดินจิ่วโจวอย่างไม่มีอะไรเปรียบ
เสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว
เสียงที่ยิ่งใหญ่ของเทพเจ้ากู่ดังขึ้นโดยเผยให้เห็นความเข้มขรึมว่า
“อย่าโดนเขายั่วยุ ข้าแบ่งโชคชะตาให้เจ้าครึ่งหนึ่งได้”
พลังที่มาจากหลุมดำไม่ลดลง เสียงของฮวงดังขึ้นจากภายในว่า
“ได้ เจ้าส่งเขามาให้ข้าก่อน”
ฮวงไร้ยางอายเพียงใด เทพเจ้ากู่รู้อยู่แล้ว หากส่งสวี่ชีอันให้เขา คงไม่ได้อะไรเลยเหมือนการตักน้ำด้วยตะกร้าไม้ไผ่อย่างแท้จริง
เทพเจ้ากู่ไม่ได้อธิบายอีก เพราะไม่จำเป็นต้องยอมรับ เดิมทีทั้งสองก็เป็นคู่ปรับกันอยู่แล้ว ก่อนร่วมมือกับปราบสวี่ชีอัน เขาก็เตรียมตัวที่จะต่อสู้เอาชัยชนะกับฮวงหลังจากจับพ่อหนุ่มนี่ไว้แล้ว
ในเมื่อตอนนี้จับสวี่ชีอันได้แล้ว ฮวงก็ไม่ประนีประนอม ทางนั้นก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
เขาคงวิชาสังเวยโลหิตไว้เพื่อรักษาแรงกดยั้งที่มีต่อสวี่ชีอัน พร้อมกับร่ายวิชาจิตร่วมและวิชาอำพรางใส่หลุมดำที่พุ่งเข้ามา และพ่นหมอกพิษสีม่วงปริมาณสูงสุดออกมา
จุดปะทุความอยากสืบพันธุ์ของฮวง
ซึ่งนี่ทำให้หลุมดำที่พุ่งเข้ามาหยุดชะงัก เทพเจ้ากู่คว้าโอกาสร่ายวิชากระโดดสู่เงาโดยนำสวี่ชีอันไปด้วย
ทว่าในตอนนี้ ร่างกายขนาดมหึมาของเขาทื่อแข็งอย่างกะทันหัน จากนั้นสูญเสียการควบคุมร่างกาย เนื้อหนังมังสาประหนึ่งภูเขาเนื้อเกิดสภาวะกัดกร่อน
หยกสลาย!
สวี่ชีอันมอบบาดแผลทุกกระเบียดนิ้วคืนให้เทพเจ้ากู่
ขณะนี้กลับเป็นฮวงที่ได้คว้าโอกาส เขาเข้าปะทะเทพเจ้ากู่โดยไม่คำนึงสิ่งใด หากคิดที่จะกระโดดสู่เงาอีกในตอนนี้คงสายเสียแล้ว
เทพเจ้ากู่ตัดสินใจในทันที กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ หดตัวลงและคับแน่นอย่างรวดเร็ว ภูเขาเนื้อขนาดมหึมาดันตัวขึ้น แล้วดีดตัวออกไปในฉับพลัน
เขาเป็นฝ่ายเข้าปะทะหลุมดำเอง ทั้งยังนำตัวสวี่ชีอันไปด้วย สัตว์ประหลาดร่างเนื้อซึ่งเทียบได้กับภูเขาสูงใหญ่ พุ่งเข้าในหลุมดำที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าหนึ่งร้อยจั้งด้วยตนเอง
กายาจิตของเทพเจ้ากู่เป็นสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับเหนือมนุษย์ทั้งหมดอย่างแน่นอน แม้จะเป็นสวี่ชีอันที่ครองไว้ซึ่งจิตวิญญาณที่เป็นสัญลักษณ์แห่งพละพลัง แต่กำลังกายเพียงอย่างเดียว ไม่อาจชนะเทพเจ้ากู่ได้อย่างเด็ดขาด
การเข้าปะทะในครั้งนี้ของเขา ยากที่จะจินตนาการถึงพลานุภาพ
“เฮือก…”
หลุมดำของฮวงบิดเบี้ยวในทันทีภายใต้การกระแทกของพลังปีศาจอันมหาศาล พลังปราณหมุนวนจนกลายเป็นลมคลั่งที่ชุลมุน แทบจะพังทลายไปโดยตรง
ฮวงสงบอารมณ์ในทันที ตกอยู่ในสภาวะ ‘หลับใหล’ และกระตุ้นพลังวิเศษฟ้าประทานจนถึงจุดสุดยอด
หลุมดำสงบนิ่งแล้ว และดึงดูดเทพเจ้ากู่กับเทพยุทธ์ครึ่งก้าวสำเร็จ
ทันใดนั้น ปราณโลหิตของเทพเจ้ากู่และสวี่ชีอันไหลทะลักไปที่หลุมดำเฉกเช่นน้ำที่ทะลักจากเขื่อนแตก แต่คนแรกยังมีพลังไสยศาสตร์กู่หกประเภทนอกเหนือจากพลังปราณโลหิต เป็นความสามารถทางจิตวิญญาณของเขา
หากเป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ไม่เกินเจ็ดนาทีครึ่ง สวี่ชีอันและเทพเจ้ากู่จะกลายเป็นเถ้าถ่าน และถูกฮวงช่วงชิงจิตวิญญาณไปจนหมดสิ้น
ในเนื้อเยื่อของครึ่งเก้าสู่เทพยุทธ์ ‘ลายเส้น’ ที่เป็นสัญลักษณ์ของความไม่ดับสูญเริ่มขดตัว หลังจากลายเส้นที่พิเศษหดลงจนถึงขีดสุด ก็จะสลายตัวเป็นพลังปราณโลหิต และกลายเป็น ‘อาหาร’ ของฮวง
ซึ่งนี่หมายความว่า รากฐานของสวี่ชีอันในการเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวกำลังเสื่อมถอย อาจจะไม่ถึงเจ็ดนาทีครึ่ง เขาอาจร่วงหล่นจากระดับเทพยุทธ์ครึ่งก้าว จากนั้นขั้นหนึ่ง ขั้นสอง จนกระทั่งสูญสิ้น
ฮวงสามารถสังหารเทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้จริงๆ แต่ก่อนหน้านี้พระพุทธเจ้ากลับสังหารระดับเหนือมนุษย์ไม่ได้ เทพมารบรรพกาลตนนี้น่าหวาดสะพรึงอย่างถึงที่สุดโดยแท้จริง ข้อดีและข้อเสียล้วนชัดเจน…แต่สวี่ชีอันไม่ได้ตระหนกเพียงแต่น้อย กลับเอ่ยยิ้มแสยะปากว่า
“เทพเจ้ากู่ เจ้าไม่มีทางเลือกแล้ว”
การกระทำเช่นนี้เรียกว่าการเอาตัวรอดในแดนตาย เป็นเพราะอยู่ภายใต้การเสริมพลังจากล้อไฟของร่างธรรมแห่งปัญญา จึงคิดแผนการออก
ประการแรก เพิ่มความกังวลให้เขาด้วยคำพูดหลอกล่อโดยใช้ประโยชน์จากนิสัยมักมากและฉุนเฉียวของฮวง
จากนั้นสู้เอาเป็นเอาตายกับเทพเจ้ากู่ แน่นอนว่าเขาไม่อาจเป็นคู่มือของเทพเจ้ากู่ ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็น ‘เหยื่อ’ ของเทพเจ้ากู่ไปโดยธรรมชาติ
เมื่อถึงตอนนี้ ฮวงจะต้องเกิดความขัดแย้งภายในกับเทพเจ้ากู่
เป็นเพราะเกี่ยวข้องกับการช่วงชิงวิถีแห่งฟ้า ไม่ว่าใครก็ล้วนไม่วางใจกัน แม้จะรู้ว่าสวี่ชีอันอาจมีแผนการ ก็ทำได้เพียงกัดฟันรั้นต่อไป
ไม่ว่าเทพเจ้ากู่จะเยือกเย็นเพียงใด เขาก็จำต้องทำ เพราะว่าฮวงนิสัยมักมากมาแต่เดิม ฮวงไม่อาจขัดขืนกล้ามเนื้อปากได้ และก็ไม่อาจทนให้เป็ดที่ต้มจนสุกถูกผู้อื่นแย่งชิงไป
ระดับบรรลุธรรมทั้งสองไม่อาจเลี่ยงที่จะเป็นปรปักษ์กัน
แน่นอนว่า มาถึงขั้นนี้แล้ว คงกล่าวได้เพียงว่าแผนการสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ขั้นต่อไปจึงสำคัญอย่างยิ่ง
“ร่วมมือกับข้าเถอะ”
เมื่อสวี่ชีอันกล่าวจบ จึงทำให้จิตวิญญาณที่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ ‘พละกำลัง’ บนผิวกายปรากฏขึ้น เลือดเนื้อที่ถูกกัดกร่อนจนสาหัสสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง กล้ามเนื้ออิ่มเอมไปด้วยพละกำลังอันเต็มเปี่ยม
ชั่วพริบตา ฟ้า ดิน ลมและเมฆเปลี่ยนสี ชั้นเมฆผันผวน เกิดฝนเพลิง วิญญาณทองออกมาจากทั่วทั้งแผ่นดิน และรวมตัวเป็นหินแร่ลายพร้อยทีละก้อน วิญญาณน้ำควบตัวเป็นน้ำแข็ง และตกลงมาพร้อมกับฝนเพลิง
พลังวิญญาณไร้รูปเกิดความสับสนวุ่นวาย
เขตแดนพิเศษของจอมยุทธ์กางออก
ร่างกายขนาดมหึมาของเทพเจ้ากู่ระส่ำระสายอยู่พักหนึ่ง หมอกเลือกแดงฉานพ่นออกมาจากสันหลัง หลังจากถูกกลืนกินปราณโลหิตจำนวนมหาศาล ขนาดร่างกายของเขาขยายขึ้นอย่างไม่ลดละ กลิ่นอายเพิ่มขึ้นอย่างไม่ถดถอย
เทพยุทธ์ครึ่งก้าวออกแรงโจมตีสุดกำลังไปที่หลุมดำพร้อมกับเทพเจ้ากู่
การโจมตีที่น่ากลัวเหล่านี้ก็ถูกหลุมดำกลืนกินเช่นกัน วินาทีต่อมา หลุมดำพังทลายจากภายในสู่ภายนอก กลายเป็นพายุรุนแรงที่น่าหวั่นสะพรึงม้วนกลบไปทั่วสารทิศ
อสูรยักษ์ดึกดำบรรพ์ที่มีลำตัวเป็นแกะและมีใบหน้าเป็นแพะปรากฏกาย ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยแตกหลายสาย เลือดสดที่แดงเข้มไหลรินไม่หยุด
ในดวงตาของเขามีทั้งความเดือดดาล ไม่ยินยอม วิตกและมักมาก
การโจมตีสุดกำลังจากเทพยุทธ์ครึ่งก้าวและเทพเจ้ากู่น่ากลัวเกินเหตุ มันก้าวข้ามขีดจำกัดพลังวิเศษฟ้าประทานของเขา ด้วยเหตุนี้ ‘หลุมดำ’ จึงถูกหยุดในทันที
สวี่ชีอันกล้าเดินหมากแสนอันตรายครั้งนี้ ก็เพราะมั่นใจว่าพลังที่รวมกันระหว่างเขาและเทพเจ้ากู่ สามารถทำลายพลังวิเศษฟ้าประทานของฮวงได้แน่นอน
บนโลกนี้ไม่มีวรยุทธ์และจิตวิญญาณใดๆ สามารถปลิดชีพระดับเหนือมนุษย์และเทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้ เพราะว่าทั้งสองเป็นเพดานของโลกเหนือมนุษย์ ซึ่งจิ่วโจวไม่อาจมีพลังเช่นนี้อยู่
พลังในการพังทลายของหลุมดำทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับสูงสุดทั้งสามดีดออกพร้อมกัน
เจดีย์พุทธะที่อยู่ไกลออกไปคว้าโอกาสเบิกมหาเนตร ตัดพื้นที่ที่สวี่ชีอันอยู่ และย้ายขึ้นไปเหนือกะโหลกศีรษะของฮวง
สวี่ชีอันที่กำลังแหงนหน้ามองฟ้าและร่วงหล่นตั้งตัวสงบจิตในชั่วพริบตา เขาขจัดแรงเฉื่อยระหว่างไฟฟ้า แสง ไฟและหินด้วยกลวิธีสลายแรงของจอมยุทธ์ จากนั้นคลำไปที่หน้าอกและคว้าดาบไท่ผิงออกมา
และเคลื่อนย้ายพลังปราณทั้งชีวิตใส่เข้าไปในดาบไท่ผิง
ฟาดฟันเต็มกำลัง
และพลังปราณของเทพยุทธ์ครึ่งก้าวในขณะนี้ ดาบสยบดินแดนซึ่งเป็นของวิเศษยากที่จะรับไหว อาจเสียพลังมหาศาลไปกับตัวดาบ มีเพียงดาบไท่ผิงที่สามารถแบกรับการถ่ายโอนพลังปราณของเขาอยู่โดยง่ายดาย
ฮวงและเทพเจ้ากู่ยังคงอยู่ท่าร่วงหล่น ดวงตาอันชั่วร้ายสีเหลืองอำพันของฮวงหดพรวด เขารู้แผนการของสวี่ชีอันแล้ว ซึ่งก็คือการตัดเขาช่วยชีวิตท่านโหราจารย์
แต่ในตอนนี้ ความแตกต่างของระบบที่ไม่เหมือนกันปรากฏชัด ต่อให้ฮวงมีกายาจิตที่ทรงพลัง แต่ก็ไม่มีทักษะสลายแรงของจอมยุทธ์ จึงไม่สามารถสลายพลังในชั่วพริบตา
เขายาวบนศีรษะขยายตัวในฉับพลัน และพยายามร่ายพลังวิเศษฟ้าประทานอีกครั้ง
อีกด้านหนึ่ง เทพเจ้ากู่กำลังกลิ้งไหลอยู่ใต้เงามืด และร่ายวิชากระโดดสู่เงา
‘ฉับ!’
ประกายไฟสาดกระจาย เขายาวที่ผนึกท่านโหราจารย์ไว้นั้นถูกตัดขาด
เขายักษ์ยาวถึงหลายสิบจั้ง เทียบได้กับประตูเมืองแหลกลงมาเป็นชิ้นๆ เจ็ดพลังกู่หลักที่ผนึกไว้ในเขายาวสลายไปอย่างช้าๆ
ท่านโหราจารย์หงอกขาวเคราขาวลอยออกมาจากเขายาว และยืนเอามือไพล่หลัง พร้อมมองไปไกลๆ อย่างสงบนิ่ง
สำเร็จแล้ว…สวี่ชีอันดีใจแทบคลั่งในความคิด ปลดผนึกท่านโหราจารย์ ได้รับการยอมรับจากเขา จึงครบทั้งหนึ่งข้อกำหนดและสองเงื่อนไข เขาจะกลายเป็นเทพยุทธ์ผู้พร่างพราวตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
และทันทีหลังจากนั้น รูขุมขนของเขาปะทุในฉับพลัน พรั่งพรูไปด้วยความหวาดกลัวและความวิกฤติอันยากจะหยุดยั้ง ทุกเนื้อเยื่อทุกเส้นประสาทในร่างกายเสมือนกำลังส่งสัญญาณอันตราย
นี่ไม่ใช่ลางล่วงรู้วิกฤติของจอมยุทธ์ นี่คือการแจ้งเตือนจากโชคชะตา
เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น อธิบายได้เพียงอย่างเดียวว่า
ต้าฟ่งกำลังล่มสลายแล้ว
“เฮ้อ…”
เสียงถอนหายใจดังกึกก้องทั่วฟ้าดิน ลมพัดผ่านไปครู่หนึ่ง เงาร่างของท่านโหราจารย์ก็สลายไปประหนึ่งขี้เถ้า
ในขณะนี้สวี่ชีอันเพิ่งจะรู้สึกว่า สิ่งที่เขาเห็นเป็นเพียงภาพลวงตา ท่านโหราจารย์กลับสู่วิถีแห่งฟ้านานแล้ว
ต้าฟ่งหมดชะตากรรมแล้ว ชะตาบ้านเมืองสูญสิ้น รากฐานที่ค้ำจุน ‘ความเป็นอมตะ’ ของท่านโหราจารย์ไม่คงอยู่แล้ว
สวี่ชีอันนิ่งอึ้งไป
เสียงของเทพเจ้ากู่ดังขึ้นอย่างน่าเกรงขามและกว้างไกลว่า
“ก่อนออกทะเล ข้าควบคุมอสูรกู่ให้ไปที่เมืองจิ้งซาน และไหว้วานเทพพ่อมดให้ทำนาย เครื่องหมายแปดทิศแสดงผลออกมาว่า สิริมงคลยิ่งยวด แต่ข้าไม่ได้เชื่อเขา”
“ข้าไปเมืองจิ้งซานเพียงเพราะอยากเห็นว่าเขาหลุดพ้นจากผนึกไปถึงขั้นใดแล้ว ในตอนนั้นจึงพิเคราะห์ว่าเขาอาจสบโอกาสไปปลดผนึกตอนที่ข้าออกทะเล ข้าจึงได้ประโยชน์จากการนี้ ผู้ทำนายมักไขว่คว้าโอกาสไว้ได้เสมอ”
“ต้าฟ่งที่อับจนหนทางจะเลือกทำเช่นไรเมื่อเผชิญหน้าเทพพ่อมด”
เทพเจ้ากู่ไม่ได้เอ่ยต่อ ดวงตาสุกใสและมีวิสัยทัศน์แวบเปล่งด้วยความหยอกล้อว่า
“เจ้าถูกปั่นหัวเข้าแล้ว ข้าเพียงเล่นเป็นเพื่อนเจ้าครู่เดียว เพื่อรอเวลาโหราจารย์เข้าเส้นตายเท่านั้นเอง”
………………………………………………..