ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 900 เป้าหมายของเทพกู่
บทที่ 900 เป้าหมายของเทพกู่
……….
ฮว๋ายชิ่งชายตามองแม่ย่าแห่งเทียนกู่ อารมณ์ผ่อนคลายก่อนหน้านี้กลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
นางหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีขึ้นมาแล้วส่งข้อความส่วนตัวไปหาหมายเลขสาม
‘หนิงเยี่ยน รีบกลับเมืองหลวงเร็วเข้า’
ฮว๋ายชิ่งไม่ใช่ฮว๋ายชิ่งคนนั้นที่ไม่รู้อะไรอีกต่อไป ในเมื่อมีเรื่องของสามีภรรยาด้วยกันแล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอะไรอีก การยกย่องฆ้องเงินสวี่จึงไม่ใช่เจตนายั่วโมโหจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินอย่างแน่นอน
หมายเลขสาม ‘เกิดอะไรขึ้น ข้าจวนจะถึงเหลยโจวแล้ว’
หมายเลขหนึ่ง ‘แม่ย่าแห่งเทียนกู่มองเห็นการณ์ล่วงหน้า ข้าต้องพบเจ้าให้ได้ มองจากสีหน้าของนางแล้ว เกรงว่าไม่ใช่เรื่องดีนัก’
แม้ว่าแม่ย่าแห่งเทียนกู่จะไม่ได้พูดอะไร แต่ฮว๋ายชิ่งก็ยังเดาได้
พระพุทธเจ้าโจมตีที่ราบกลาง ยังจะให้สวี่ชีอันกลับมาให้ได้เพื่อบอกต่อหน้า นั่นหมายความว่าเรื่องราวนั้นจริงจังกว่าสถานการณ์สงครามในเหลยโจว
แต่วิธีการที่แม่ย่าแห่งเทียนกู่ได้รับ ‘ข่าวสาร’ นั้น ไม่พูดก็เป็นที่เข้าใจ
เทียนกู่!
ถึงแม้สวี่ชีอันจะเป็นจอมยุทธ์หยาบคาย แต่สมองของเขากลับไม่ได้หยาบคายเช่นนั้น เขาย่อมเข้าใจสิ่งที่ฮว๋ายชิ่งคิดโดยสัญชาตญาณ
ในเวลานี้ แม่ย่าแห่งเทียนกู่รีบไปที่เมืองหลวงผ่านค่ายกลส่งตัวเมืองเฉพาะกิจ ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติแน่นอน
ข้อความตอบโต้กลับมาทันทีว่า ‘รอข้า!’
สวี่ชีอันที่อยู่ห่างจากเหลยโจวไม่ถึงครึ่งชั่วยามหันหลังกลับมุ่งไปตามทางเดิมทันที
เงาดำแวบผ่านไปภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน การบินของเขาทำให้เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องจนผู้คนในเมืองและในหมู่บ้านตามทางเข้าใจผิดคิดว่าพายุฝนฟ้าคะนองกำลังจะมา
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นไป กลับพบว่าพระจันทร์เต็มดวงกำลังส่องแสงเจิดจ้า ท้องฟ้ายามค่ำคืนแจ่มใส ไม่มีเมฆฝนแม้แต่ก้อนเดียว
ในพระราชวัง แม่ย่าแห่งเทียนกู่เดินไปมาด้วยความกังวลพร้อมกับไอบ้างเป็นครั้งคราว สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความหม่นหมองจนทำให้คนอื่นกังวลว่านางอาจจะล้มป่วยในวินาทีต่อมาได้
เวลาผ่านไปวินาทีต่อวินาที บรรยากาศภายในห้องทรงพระอักษรเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ฉู่ไฉ่เวยเม้มริมฝีปาก ในฐานะที่นางเป็นท่านโหราจารย์ นางจึงไม่กล้าแตะอาหารแม้แต่น้อย
ซ่งชิงปิดเปลือกตาลง ร่างของเขาโคลงเคลงเล็กน้อยราวกับจะผล็อยหลับไปได้ทุกเมื่อ
ในช่วงสามวันที่ผ่านมา เขานอนหลับไปเพียงสองชั่วยามเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับวัสดุหลอมอาวุธ เขาก็มักจะระเบิดออกมาจนแม้แต่พระพุทธบุตรยังต้องอิจฉา
แต่เมื่อออกจากห้องฝึกเล่นแร่แปรธาตุ เขาก็อดที่จะรู้สึกง่วงไม่ได้
เหล่าขันทีในห้องทรงพระอักษรต่างก็ก้มศีรษะลงและไม่พูดอะไรสักคำ แม้ว่าจะเลยเวลาอาหารเย็นไปแล้ว ก็ทำได้เพียงสั่งให้ห้องพระเครื่องต้นอุ่นอาหารให้ร้อนอยู่เสมอครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่กล้ารบกวนแม้แต่น้อย
จนในที่สุด ก็มีร่างหนึ่งแวบขึ้นมาในห้องโถง สวี่ชีอันรีบกลับมาแล้ว
เมื่อแม่ย่าแห่งเทียนกู่เห็นเขากลับมา แววตาก็เปล่งประกายโดยพลัน ร่างกายของนางผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ถือไม้เท้าเดินโซเซไปนั่งที่เก้าอี้ตัวใหญ่ด้านข้าง
“แม่ย่า!”
สวี่ชีอันสาวเท้าเดินเข้าไป กุมมือของนางไว้เพื่อส่งพลังปราณพลางถามว่า “เหตุใดถึงเรียกข้ากลับมา”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่กวาดสายตามองฉู่ไฉ่เวย ซ่งชิงและฮว๋ายชิ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง แล้วจะพูดความลับของสวรรค์ได้อย่างไร!”
ฮว๋ายชิ่งมองสวี่ชีอัน เห็นเขาพยักหน้า จึงรีบกล่าวว่า “พวกเจ้าตามข้าออกไป”
นางประสานทั้งสองมือไว้บนท้องน้อยแล้วก้าวเดินออกไป เสื้อผ้าปักลายมังกรและปิ่นปักผมสั่นไหวเล็กน้อย นางเดินนำฉู่ไฉ่เวยและคนอื่นๆ ไปจากหอดูดาว
เมื่อในห้องทรงพระอักษรเหลือเพียงสวี่ชีอันและแม่ย่าแห่งเทียนกู่ เขาก็เอื้อมมือออกไปยกแผงกันลมขึ้นมาเพื่อแบ่งแยกภายในและภายนอกอย่างชัดเจน
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ถึงจะวางใจขึ้น นางสูดลมหายใจเข้าและกล่าวว่า “ข้าสอดส่องอนาคต เห็นถึงการล่มสลายของเจ้า เห็นระดับสุดยอดแบ่งกันบริโภคโชคชะตาของจิ่วโจว ทุกสรรพสิ่งในจิ่วโจวมลายสิ้น ไม่มีเหลือแม้แต่เศษขี้เถ้า”
…จิตใจของสวี่ชีอันจมดิ่งลงทันที
แม่ย่าแห่งเทียนกู่พยักหน้า
ข้าในอนาคตไม่สามารถเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ได้ เช่นนั้นจุดเชื่อมใดเกิดปัญหากันแน่? ข้อสันนิษฐานหนึ่งข้อและเงื่อนไขสองประการ หลังจากข้าบำเพ็ญคู่กับฮว๋ายชิ่ง โชคชะตาก็เจริญรุ่งเรือง เดิมทีคิดว่าคงเพียงพอแล้ว…หรือข้าไม่ได้รับการยอมรับจากใต้หล้างั้นรึ? แต่ดาบสลักเคยบอกว่า ข้าบรรลุความสำเร็จนี้แล้ว…สวี่ชีอันคิดออกแล้ว
เงื่อนไขสุดท้าย ต้องได้รับการยอมรับจากฟ้าดิน!
หากเขาในอนาคตไม่มีทางเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ได้จริงๆ เช่นนั้นปัญหาต้องอยู่ที่จุดเชื่อมโยงนี้อย่างแน่นอน
“แม่ย่าเรียกข้ากลับมา คงมิใช่แค่จะแจ้งข่าวร้ายนี้หรอกกระมัง”
สวี่ชีอันถอนความคิดและมองไปยังคนชราที่มีรอยย่นเต็มใบหน้า
แม่ย่าแห่งเทียนกู่พยักหน้า “ความผิดปกติระหว่างเทพกู่และพระพุทธเจ้าทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจมาก ข้าไม่สามารถเพิกเฉยได้ หลังจากพวกเด็กรุ่นหลังไปเหลยโจวแล้ว ข้าก็เริ่มสอดส่องอนาคต ในที่สุดข้าก็รู้ว่าทำไมเทพกู่ต้องออกทะเล”
สวี่ชีอันกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ชะงักครู่หนึ่ง เมื่อนางเริ่มกล่าวอีกครั้ง น้ำเสียงของนางก็ฟังดูแหบแห้งและอิดโรย “เขาจะสังหารโหราจารย์”
สังหารท่านโหราจารย์?!
ไม่นึกเลยว่าเทพกู่จะออกทะเลเพื่อฆ่าท่านโหราจารย์ เรื่องมาถึงตอนนี้ ท่านโหราจารย์เป็นเพียงแค่ปรมาจารย์ลิขิตฟ้าท่านหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาเลือกที่จะออกทะเลไปฆ่าท่านโหราจารย์งั้นรึ?
คำตอบนี้ทำให้สวี่ชีอันยากที่จะเชื่อ เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน
เขากล่าวอย่างพินิจพิเคราะห์ “ต้าฟ่งไม่ดับสูญ ท่านโหราจารย์ก็ไม่ตาย”
ปรมาจารย์ลิขิตฟ้ามีชะตาอายุเท่ากับประเทศ ตราบใดที่ต้าฟ่งและราชวงศ์ไม่ดับสูญ ท่านโหราจารย์ก็จะไม่ตาย พลังของระดับสุดยอดครึ่งก้าวก็ไม่มีทางสังหารเขาได้ ทำได้เพียงปิดผนึกเขาเท่านั้น
แน่นอนว่าสวี่ชีอันก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าระดับสุดยอดจะไม่สามารถฆ่าท่านโหราจารย์ได้
อย่างไรระบบโหรก็ดำเนินมาเป็นเวลาหกร้อยปีเท่านั้น และในหกร้อยปีนี้ ระดับสุดยอดก็ไม่เคยลงมือกับปรมาจารย์ลิขิตฟ้า
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ส่ายศีรษะ “การมองเห็นอนาคตของข้ามีขีดจำกัด ข้าไม่สามารถให้คำตอบโดยละเอียดแก่เจ้าได้ แต่โหราจารย์ต้องตายอย่างแท้จริง การตายของเขาจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างไม่มีทางหวนกลับ”
สวี่ชีอันตอบรับ ‘อืม’ จากนั้นสีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม คิ้วดาบทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันโดยไม่ได้ตั้งใจ “หากเป็นเช่นนี้ การออกทะเลของเทพกู่และการขัดขวางของพระพุทธเจ้าก็มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลแล้ว”
เพียงแต่ทำไมการสังหารท่านโหราจารย์จึงทำให้สถานการณ์เดินไปสู่เหวนรกที่ไม่อาจย้อนกลับได้?
นอกจากนี้ สวี่ชีอันก็ยังคิดถึงอีกประเด็นหนึ่ง นั่นก็คือระดับสุดยอดไม่สามารถฆ่าท่านโหราจารย์ได้
เหตุผลนั้นง่ายมาก หากฮวงหวนคืนสู่ระดับสุดยอด แน่นอนว่าเขาไม่มีทางปล่อยท่านโหราจารย์ไป เช่นนั้นเทพกู่ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะออกทะเล
แต่มีความขัดแย้งเชิงตรรกะในที่นี้ หากฮวงที่หวนคืนสู่ระดับสุดยอดไม่สามารถฆ่าท่านโหราจารย์ได้ แล้วการที่เทพกู่ออกทะเลจะมีความหมายอันใด?
ไม่มีใครสามารถให้คำตอบเขาสำหรับข้อสงสัยเหล่านี้ได้
แม่ย่าแห่งเทียนกู่กุมมือสวี่ชีอันและกล่าวย้ำทีละคำว่า “สิ่งที่เจ้าต้องทำคือออกทะเล ช่วยโหราจารย์กลับมา มิเช่นนั้นทุกอย่างจะจบลง”
สวี่ชีอันพยักหน้าเงียบๆ มองใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยกระเนื้อของแม่ย่าแห่งเทียนกู่อย่างพิจารณาพลางกล่าวเสียงเบาว่า “แม่ย่า ท่านยังมีอะไรที่อยากพูดกับข้าอีกหรือไม่?”
แววตาของแม่ย่าแห่งเทียนกู่อ่อนลงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หลังจากผ่านภัยพิบัตินี้ ตัวข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะเหลือผู้นำอยู่รอดสักกี่คน หวังว่าฆ้องเงินสวี่จะปฏิบัติต่อเผ่าพันธุ์กู่และแม่นางหลวนอวี้ด้วยความกรุณา ในอนาคต หากเผ่าพันธุ์กู่ต้องการไปจากต้าฟ่ง เพื่อหวนสู่ซินเจียงตอนใต้ เจ้าจะปล่อยให้พวกเขาเป็นอิสระและไม่สร้างความลำบากให้พวกเขา แต่หากพวกเขายินยอมปรองดองกับต้าฟ่ง จงได้โปรดให้อำนาจอธิปไตยแก่พวกเขา อย่าให้ราชสำนักกดขี่พวกเขา หากภัยพิบัตินี้ยากแค้นแสนเข็ญนัก ก็ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาต้องการด้วยเถอะ”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่พยุงร่างอันแก่ชราขึ้นมา หลังจากยืนมั่นคงแล้วก็วางไม้เท้าลง แสดงความเคารพต่อสวี่ชีอันอย่างจริงจัง “การเดินทางออกทะเล เต็มไปด้วยอันตรายที่ไม่อาจคาดเดาได้ ข้าต้องขอขอบคุณฆ้องเงินสวี่แทนสิ่งมีชีวิตทั้งมวลแห่งจิ่วโจวก่อน”
สวี่ชีอันมิได้หลบหลีกแต่อย่างใด เขาพยักหน้าอย่างเงียบๆ
หลังจากแม่ย่าแห่งเทียนกู่ทำความเคารพ นางก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้ เอนแผ่นหลังไปที่พนักพิงก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างสงบ
สวี่ชีอันเดินถอยหลังออกไปสามก้าว ก้มโค้งคำนับด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง “แม่ย่าโปรดจากไปอย่างสงบ!”
…
ประตูห้องทรงพระอักษรค่อยๆ เปิดออกช้าๆ ฮว๋ายชิ่งที่ยืนรออยู่ใต้ชายคาหันกลับไปมอง นางเหลือบสายตามองสวี่ชีอันก่อน จากนั้นสายตาของนางก็มองข้ามไหล่ของเขาไปที่ด้านหลัง เห็นแม่ย่าแห่งเทียนกู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในท่าทางศีรษะพับลงมา
จักรพรรดินีที่เตรียมใจไว้ก่อนอยู่แล้ว หรี่ตาลงและทอดถอนใจ “แม่ย่ากล่าวว่าอย่างไร?”
เนื่องจากยังมีนางกำนัลรับใช้อยู่ข้างๆ นางจึงส่งกระแสจิตไปถามเขา
สวี่ชีอันส่งกระแสจิตแจ้งให้ฮว๋ายชิ่งทราบเกี่ยวกับอนาคตที่แม่ย่าแห่งเทียนกู่มองเห็น
ผู้ที่เปิดเผยความลับสวรรค์ ย่อมต้องถูกสวรรค์ตอบโต้อย่างแน่นอน
เหตุผลที่แม่ย่าแห่งเทียนกู่ไล่ทุกคนออกไปแล้วเหลือไว้เพียงสวี่ชีอัน นั่นก็เพราะหากมีผู้เข้าร่วมฟังจำนวนมากเกินไป ก็มีความเป็นไปได้ที่นางอาจจะตายก่อนโดยที่ยังไม่ทันได้เปิดเผยความลับสวรรค์
นี่…ม่านตาของจักรพรรดินีหดตัวลงและยืนงุนงงราวกับหุ่นเชิด
หลังจากผ่านไปสิบกว่าวินาที ความสิ้นหวังก็พลุ่งพล่านอยู่ในใจของนางอย่างรุนแรง
สวี่ชีอันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเทพกู่ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีฮวงอีกท่าน ให้เทพยุทธ์ครึ่งก้าวเผชิญหน้ากับระดับสุดยอดสองท่าน ผลลัพธ์เป็นอย่างไรย่อมจินตนาการได้
อดีตของเสินซูก็คืออนาคตของสวี่ชีอัน
ไม่ ด้วยวิธีการกลืนกินสรรพสิ่งของฮวง หากร่วมมือกับเทพกู่แล้ว สวี่ชีอันคงไม่แม้แต่จะมีสิทธิพิเศษอย่างเสินซู
มีเพียงหนทางสู่ความตายเท่านั้น
และทางด้านที่ราบกลาง หากไร้ซึ่งสวี่ชีอันแล้ว เสินซูก็ไม่อาจรับมือคนเดียวได้ แล้วจะต้านทานแรงกดดันของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น เทพพ่อมดกำลังจะทำลายผนึกในไม่ช้า
“หนิงเยี่ยน…”
ใบหน้าของฮว๋ายชิ่งซีดขาว นางตะโกนด้วยความสิ้นหวังเล็กน้อย
“ช่วยท่านโหราจารย์ มิได้หมายความว่าต้องต่อสู้กับเทพกู่และฮวงจนตาย ข้าจะรีบกลับมาโดยเร็วที่สุด จนกว่าจะถึงตอนนั้น ที่ราบกลางคงต้องรบกวนท่านแล้ว และขอฝ่าบาททรงโปรดแจ้งเรื่องนี้ให้พรรคฟ้าดินและเว่ยกงทราบด้วย”
แต่จู่ๆ ก็มีคนสวมกอดเขาที่ด้านหลัง ตามด้วยเสียงอันสั่นเครือของฮว๋ายชิ่ง “เจ้าต้องกลับมาให้ได้”
เหล่านางกำนัลและขันทีต่างก็ตกตะลึงและงุนงงอย่างมาก
สวี่ชีอันตอบรับ “อืม” เสียงเบา ก่อนจะหายตัวไปจากอ้อมกอดของจักรพรรดินี
ชั่วขณะนี้เอง ฉู่ไฉ่เวยเห็นหยดน้ำตาจางๆ ในดวงตาของจักรพรรดินีกำลังไหลออกมาช้าๆ
“ไฉ่เวย ซ่งชิง พวกเจ้าตามข้ามา”
ฮว๋ายชิ่งสั่งให้นางกำนัลและขันทีรออยู่ด้านนอกห้องทรงพระอักษร
นางก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าตามทางที่มีตะไคร่เกาะ เมื่อนางกลับไปนั่งลงบนที่นั่งของตัวเอง ดวงตาของนางก็เฉียบคมขึ้นอีกครั้ง ท่าทางของนางเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง ความอ่อนแอที่เพิ่งแสดงต่อหน้าสวี่ชีอันเมื่อครู่ก็หายไปโดยพลัน
นางหวนคืนสู่ฐานะประมุขของประเทศอีกครั้ง
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าจะรวบรวมโชคชะตาในฐานะจักรพรรดิได้อย่างไร?”
ฮว๋ายชิ่งถามช้าๆ
…
จวนตระกูลสวี่
เมื่อสวี่ชีอันกลับจวน งานเลี้ยงตอนค่ำก็สิ้นสุดลงแล้ว โคมไฟในห้องโถงมืดลง ทุกคนในจวนบ้างก็พูดคุยกันอยู่ในห้อง บ้างก็กำลังง่วงนอน
ในห้องวิวาห์ หลินอันสวมชุดนอนบางๆ กำลังเล่นหมากล้อมกับนางกำนัลคนสนิท ในมือของนางถือซุปบำรุงไตถ้วยหนึ่ง
ช่วงแรกที่กลายเป็นภรรยา เจ้าสุนัขรับใช้เรียกหาไม่สิ้นสุดทั้งวันทั้งคืน หลินอันเคยอ่านหนังสือทางการแพทย์มาบ้าง นางกลัวว่าเขาสูญเสียพลังงานจนหมดสิ้น ร่างกายอ่อนล้า ดังนั้นทุกคืนนางจึงให้เหล่านางกำนัลข้างกายแอบปรุงซุปบำรุงไตเอาไว้
ตอนนี้ นางตระหนักได้แล้วว่าตนเองยังเด็กเกินไป นางไม่รู้จริงๆ ว่าความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งจะน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้
แต่นางก็ยังคงขอให้นางกำนัลปรุงซุปบำรุงไตทุกคืน เพราะไม่ได้เตรียมไว้สำหรับสวี่ชีอัน แต่เป็นตัวนางเอง
“หลินอัน!”
การปรากฏตัวราวกับผีของสวี่ชีอันทำให้ทั้งนายและบ่าวสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
หลินอันลูบหน้าอกที่มีขนาดห่างไกลจากพี่สาวมาก และกล่าวด้วยความโกรธว่า “เจ้าทำบ้าอะไร เคาะประตูแล้วเข้ามาไม่เป็นรึ!”
สวี่ชีอันโบกมือไล่นางกำนัลออกไป จากนั้นเขาก็อุ้มภรรยาที่แท้จริงขึ้นมาแล้วเดินไปที่เตียง วางนางลงบนตักของตัวเอง ฝังใบหน้าในกลุ่มผมสีดำของนางพลางกล่าวกระซิบว่า
“ข้าต้องออกทะเลอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่นาน หรืออาจจะนานแสนนาน”
“ต้องออกทะเลอีกแล้วรึ!” หลินอันเบิกตาโพลง แต่จู่ๆ นางก็ค้นพบว่าแววตาของสามีแตกต่างไปจากปกติ
ความแตกต่างที่อธิบายไม่ได้
นางเลื่อนลอยและสับสนอย่างไม่สามารถควบคุมได้
นางกล่าวตะกุกตะกักว่า “ไปทำอะไร?”
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบกลับ หลินอันเป็นนกใจร้ายที่ได้จิกคนก็พอใจแล้ว กิจการบ้านเมืองจะเจริญหรือล่มสลายก็ไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับนาง
เขาอุ้มหลินอันไว้ในอ้อมแขนครู่หนึ่ง จนกระทั่งนางผล็อยหลับไปภายใต้ปราณสะกดจิต
จากนั้นสวี่ชีอันก็ไปที่ห้องของอารองและอาสะใภ้ เสียงของอาสะใภ้ดังมาจากในห้องว่า “ข้าจะบอกอะไรเจ้า ข้าพบความลับหนึ่งของพี่มู่ สุนัขจิ้งจอกน้อยนั่นบอกข้ามา”
จากนั้นเสียงของอารองก็ดังขึ้น “ความลับอะไร”
“จิ้งจอกน้อยบอกว่าพี่มู่งดงามมาก แต่สร้อยข้อมือนั่นทำให้นางดูต่างออกไป” อาสะใภ้กล่าวอย่างฉะฉาน
“มีอะไรแปลกกัน” อารองดูไม่แปลกใจแม้แต่น้อย “นางต้องงดงามอยู่แล้ว”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” น้ำเสียงของอาสะใภ้เปลี่ยนไป
“นางเป็นชู้กับหนิงเยี่ยนไม่ใช่รึ ผู้หญิงที่หลานชายของเจ้าปรารถนาจะน่าเกลียดได้อย่างไร?” อารองสวี่กล่าวอย่างมีเหตุมีผล
“ไอหยา ข้าเพียงแค่สงสัยว่าพวกเขาทั้งสองเป็นชู้กัน” อาสะใภ้กล่าว
“ทั้งครอบครัวล้วนสงสัย เช่นนั้นก็แน่นอนแล้ว” อารองสวี่กล่าว
“เฮ้อ หนิงเยี่ยนหลับนอนกับผู้หญิงมามากมาย ทำไมไม่มีหลานให้ข้าสักคนนะ” อาสะใภ้ถอนหายใจ
นอกห้อง ภายใต้ชายคาที่มีไฟสลัว สวี่ชีอันคุกเข่าลงไปทางประตูห้องที่มีเสียงพูดเล็ดลอดออกมา
…
ในห้องของเสี่ยวโต้วติง
สวี่ชีอันนั่งอยู่ข้างเตียงพลางสัมผัสศีรษะของน้องสาว สวี่หลิงอินกำลังนอนหงายกางแขนกางขา ส่งเสียงละเมอ ‘อา อา อา’
สาวใช้คนสนิทของนางดูแลนางด้วยความทุ่มเทอย่างมาก รู้ว่าคุณหนูนอนไม่ค่อยหลับจึงสวมเสื้อผ้าให้นางอย่างรัดกุมทั้งตัวนอกจากศีรษะ เผยให้เห็นเพียงมือสองข้างและเท้าเล็กๆ ทั้งสองข้างที่อยู่ใต้กางเกงเท่านั้น
สวี่ชีอันบีบใบหน้าอ้วนของนาง ก่อนจะวางสองมือไว้ใต้รักแร้ของสวี่หลิงอินแล้วอุ้มนางขึ้นมา
เขาไม่ได้พูดอะไรและไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอีก เพียงแค่สวมกอดนางอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง
…
สวี่หลิงเยวี่ยยังไม่เข้านอน แสงเทียนส่องสว่างผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่เล็กน้อย
ที่โต๊ะกลม หญิงสาวท่าทางสง่างามกำลังปักเสื้อคลุมท่ามกลางแสงเทียน ดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าของนางละเอียดอ่อนราวกับหยก
หลังจากกัดด้ายขาดแล้ว นางก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างจึงมองไปที่หน้าต่าง
ทว่าตรงนอกหน้าต่างกลับเต็มไปด้วยความมืด ไม่มีอะไรทั้งนั้น
………………………………..………………………………..
……….