ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 897 รวบรวมโชคชะตา
บทที่ 897 รวบรวมโชคชะตา
……….
พระพุทธเจ้าบุกโจมตีที่ราบกลางในตอนนี้หรือ!
สวี่ชีอันได้ยินข้อความจากเสินซูก็รู้สึกฉงนและรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างควบคุมไม่ได้
หากเทพเจ้ากู่ขึ้นเหนือไปกลืนกินที่ราบกลางแล้วพระพุทธเจ้าถือโอกาสลงมือยังพอเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ เพราะพอถึงเวลานั้นเขากับเสินซูจำเป็นต้องแบ่งกองกำลังออกเป็นสองกลุ่ม แม้เทพยุทธ์ครึ่งก้าวหนึ่งคนจะสามารถต่อสู้กับระดับสุดยอดได้ แต่กลับไม่อาจเอาชนะระดับสุดยอดได้
แต่ขณะนี้เทพเจ้ากู่ลงใต้ออกทะเล เทพพ่อมดยังอยู่ในผนึก ไม่มีคนร่วมมือต่อสู้กับพระพุทธเจ้าเลย พระองค์จะบุกโจมตีที่ราบกลางทำไมกัน
“ข้ากับพระองค์คุมเชิงกันอยู่ตรงชายแดน ยังไม่ได้แลกมือกัน”
เสินซูส่งประโยคที่สองเข้ามา
“เข้าใจแล้ว หากพระพุทธเจ้าบุกโจมตีก็รีบแจ้งข้าทันที”
เขาตอบกลับเสินซูไปหนึ่งประโยค ครั้นแล้วก็ส่งข้อความลงในกลุ่มหนังสือปฐพี
หมายเลขสาม ‘เมื่อครู่เสินซูส่งข่าวมาให้ข้า บอกว่าพระพุทธเจ้ากับเขาคุมเชิงกันอยู่ที่ชายแดน อาจแลกมือกันได้ตลอดเวลา’
หินก้อนเดียวทำให้เกิดคลื่นนับพัน!
พอสมาชิกพรรคฟ้าดินเห็นข้อความนี้ก็เลิกคิ้วขึ้น
พวกเขารู้สึกประหลาดใจและงวยงงเหมือนสวี่ชีอัน พระพุทธเจ้าเลือกเวลานี้บุกโจมตีที่ราบกลางหรือ
หมายเลขสี่ ‘ไม่ถูกต้อง การกระทำของพระพุทธเจ้ากับเทพเจ้ากู่ล้วนไม่ถูกต้อง’
พฤติกรรมผิดปกติของเทพเจ้ากู่ยังไม่ได้รับคำอธิบาย พระพุทธเจ้าก็รุกรานที่ราบกลางอย่างน่าแปลกใจ สิ่งนี้ทำให้สมาชิกพรรคฟ้าดินรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
คู่ต่อสู้เป็นระดับสุดยอด และหากเจ้าไม่รู้ว่าระดับสุดยอดคิดจะทำอะไร เช่นนั้นเจ้าก็มีอันตรายแล้ว
หมายเลขหนึ่ง ‘เทพเจ้ากู่กับพระพุทธเจ้าเป็นพันธมิตรกันแล้วใช่หรือไม่’
ขณะนี้ฮว๋ายชิ่งก็วิเคราะห์จากแง่มุมของประสบการณ์การช่วงชิงในราชสำนัก และคาดเดาออกมาอย่างอาจหาญ
ฝูงชนพากันหวาดกลัวจนขนลุกเกรียว เมื่อละทิ้งบุคลิกของเทพเจ้ากู่กับพระพุทธเจ้า ลำพังแค่การกระทำของพวกเขา หลังจากเทพเจ้ากู่ตื่นขึ้นมาแล้วก็ออกทะเล ตามมาด้วยพระพุทธเจ้าบุกโจมตีที่ราบกลาง นี่หมายความว่าอย่างไร
พระพุทธเจ้าช่วยเทพเจ้ากู่ตรึงต้าฟ่งไว้
หากไม่มีพระพุทธเจ้า สวี่ชีอันคงออกทะเลไปแล้ว
เทพเจ้ากู่คิดจะทำอะไร…ความสงสัยนี้ผุดขึ้นในใจฝูงชนอีกครั้ง
หมายเลขเก้า ‘ไม่ว่าเทพเจ้ากู่คิดจะทำอะไร ตอนนี้พระพุทธเจ้าถึงเป็นเรื่องเร่งด่วนเสมือนไฟที่ไหม้คิ้ว ต่อต้านพระพุทธเจ้าก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ อาตมารีบไปที่เหลยโจวแล้ว’
ไม่ผิด พระพุทธเจ้าถึงเป็นดาบที่อยู่บนคอ ต่อต้านพระพุทธเจ้าสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งปวง
หมายเลขหนึ่ง ‘ต้องฝากฝังทุกท่านแล้ว หนิงเยี่ยนเจ้าให้บรรดาผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ไปช่วยด้วย ไม่มีสำนักพ่อมดคอยก่อความวุ่นวายแล้ว พวกเขาควรจะแสดงบทบาทของตัวเอง’
สวี่ชีอันตอบกลับว่า ‘ได้’ ไปหนึ่งคำ จากนั้นก็บอกความเคลื่อนไหวของพระพุทธเจ้าให้กับบรรดาผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ ขณะที่เขาวางแผนจะพาผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ล่วงหน้าไปเหลยโจวก่อนนั้น ฮว๋ายชิ่งก็ส่งข้อความเข้ามา
หมายเลขหนึ่ง ‘เจ้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าควรทำตอนนี้คืออะไร’
แน่นอนว่าต้องไปต้านทานพระพุทธเจ้า จะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไร…สวี่ชีอันใจเต้นและถามหยั่งเชิงดู
หมายเลขสาม ‘ความหมายของฝ่าบาทคือ?’
หมายเลขหนึ่ง ‘เสินซูกับพระพุทธเจ้าแค่คุมเชิงกันอยู่ตรงชายแดน ไม่ได้เปิดศึก ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้โยกย้ายประชาชนในยี่สิบสี่เขตและอำเภอจากฉู่โจวและเหลยโจวไปยังเขตใจกลางที่ราบกลางแล้ว ต่อให้ทำสงครามขึ้นมาจริงๆ เสินซูก็มีที่ว่างให้ต่อสู้และล่าถอย’
ข้อความนี้เพิ่งสิ้นสุดลง ข้อความใหม่ก็เข้ามาทันที
หมายเลขหนึ่ง ‘เทพเจ้ากู่หลุดพ้นจากผนึกแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาสงคราม สนามรบเปลี่ยนแปลงได้ร้อยแปดพันเก้าในชั่วพริบตา ไม่มีเวลาให้เจ้ามาหน่วงเหนี่ยว’
ทางด้านนั้นหยุดไปครู่หนึ่ง ราวกับรวบรวมความกล้าแล้วส่งข้อความมาบอก
หมายเลขหนึ่ง ‘สิ่งที่เจ้าต้องทำตอนนี้คือรวบรวมโชคชะตา เตรียมพร้อมที่จะเลื่อนขั้นเข้าสู่เทพยุทธ์ ไม่สามารถรอจนกว่าโอกาสประจวบเหมาะในการเลื่อนขั้นเทพยุทธ์ปรากฏขึ้น แล้วถึงค่อยรู้ตัวว่าต้องรวบรวมโชคชะตา ระดับสุดยอดอาจไม่ให้โอกาสนี้กับเจ้า’
ข้อความนี้อัดแน่นและถูกพูดซ้ำไปซ้ำมา ที่จริงมีแค่สองคำเท่านั้น ‘บำเพ็ญคู่!’
ฝ่าบาทยังมีความมั่นใจในตัวกระหม่อมเสียจริง บางทีกระหม่อมอาจต้องการเวลาแค่ครึ่งก้านธูปนะ…สวี่ชีอันแอบว่าให้ตัวเองอย่างเงียบๆ และตอบกลับอย่างสั้นกะทัดรัดแต่รัดกุม
หมายเลขสาม ‘ข้าจะกลับเมืองหลวงในตอนนี้’
เขาหยิบหอยสังข์กระแสจิตขึ้นมาทันที และบอกเสินซูให้ยืดเวลาออกไป คือให้ต่อสู้เชิงรบเชิงถอย
จากนั้นก็ให้บรรดาผู้นำเผ่าพันธุ์กู่เดินทางไปเหลยโจวก่อน เนื่องจากแม่ย่าแห่งเทียนกู่ไม่เชี่ยวชาญการรบ จึงเลือกที่จะอยู่ที่เมืองเฉพาะกิจเพื่อพาคนในเผ่าลี้ภัยไปทางเหนือ
หลังจากฝากฝังเสร็จสรรพ เขาก็ยกข้อมือขึ้น ทำให้ดวงตาโตสว่างขึ้นมา และหายตัวไปด้วยการเคลื่อนย้าย
พระราชวังที่อยู่แสนไกล ในห้องทรงพระอักษร
ฮว๋ายชิ่งโยนหนังสือปฐพีทิ้งด้วยมือเรียวหยกที่สั่นสะท้าน แก้มของนางร้อนผะผ่าว นางหายใจเข้าลึกๆ และมองไปยังนางกำนัลก่อนสั่งว่า
“ข้าต้องการสรงน้ำ”
ขณะที่พูด นางได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามของตนเอง
…
ฉู่โจว อำเภอซานหวง
ถนนลูกรังแคบและเป็นหลุมเป็นบ่อเต็มไปด้วยอุจจาระและปัสสาวะของมนุษย์และสุนัข หลี่เมี่ยวเจินสะพายกระบี่บินเดินอยู่ในสลัมที่ทรุดโทรม ในมือถือถุงเงินที่แตกหักอยู่หลายถุง
นางโยนเงินเข้าไปในบ้านพักอาศัยที่อยู่สองข้างทางอย่างชำนาญ จากนั้นก็เดินไปยังบ้านหลังถัดไปท่ามกลางประชาชนที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง พวกเขารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของนาง
สำหรับจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินแล้ว การกระทำที่ผดุงคุณธรรมนั้นมีหลายรูปแบบ รูปแบบหนึ่งคือกำจัดความชั่วร้าย รูปแบบต่อมาคือสอนวิธีจับปลาให้มนุษย์ อีกรูปแบบหนึ่งคือให้คนที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ มีชีวิตอยู่ต่อไปได้
สิ่งที่นางทำในตอนนี้คือรูปแบบที่สาม
สอนวิธีจับปลาให้มนุษย์เป็นเรื่องของราชสำนัก พลังของบุคคลนั้นน้อยเกินไป นางไม่อาจสอนให้ประชาชนยากไร้ที่หิวโหยและเหน็บหนาวแต่ละคนเรียนรู้วิธีการเลี้ยงชีพได้
ไม่นาน นางก็มาถึงเรือนทรุดโทรมที่อยู่ท้ายตรอก พอผลักประตูไม้ผุพังออก มีชายหนุ่มผอมแห้งคนหนึ่งกำลังนั่งลับมีดอยู่ข้างบ่อน้ำ เก้าอี้ข้างตัวเขามีเด็กหญิงอายุประมาณสิบขวบนั่งอยู่ นางป่วยและมีสีหน้าซีดขาว ทั้งยังเอามือปิดปากไออยู่ตลอดเวลา
“พี่เมี่ยวเจิน!”
พอเห็นการมาของหลี่เมี่ยวเจิน สาวน้อยก็ลุกขึ้นด้วยความดีใจ ชายหนุ่มทำปากยื่นโดยไม่แหงนหน้ามองเลย
หลี่เมี่ยวเจินลูบหัวสาวน้อยและยัดเงินไว้ในมือก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าต้องไปแล้ว”
มือของชายหนุ่มที่ลับมีดอยู่ชะงักเล็กน้อย
“พี่เมี่ยวเจินจะไปที่ใด” สีหน้าสาวน้อยเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
“ไปทำเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง” หลี่เมี่ยวเจินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นจะกลับมาหรือไม่”
“ไม่กลับมาแล้ว” หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้าและมองไปทางชายหนุ่ม
“เจ้าผีน้อย ต่อไปเป็นคนดีหน่อย ตอนเด็กลักขโมย โตมาก็ปล้นสะดม เจ้ากล้าให้ข้าถูกผลกรรมแว้งกัดล่ะก็ ข้าจะขี่กระบี่บินจากพันลี้มาสังหารเจ้า คัมภีร์ล้ำค่าที่ข้ามอบให้เจ้านั้น มีเวลาว่างก็พลิกดูบ่อยๆ มันเป็นคัมภีร์ฝึกยุทธ์ที่เขียนโดยฆ้องเงินสวี่”
ชายหนุ่มแสดงสีหน้าฝ่าฝืนและกล่าวอย่างเย็นชา
“ต่อไปข้าจะเป็นอย่างไร มันก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
ชายหนุ่มเป็นนักโทษที่ทำผิดจนเป็นนิสัย อาศัยการลักขโมยเลี้ยงชีพ ปล้นสะดมเป็นครั้งคราว มีครั้งหนึ่งขโมยของหลี่เมี่ยวเจินเข้า จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินเห็นเขายังเป็นเด็กจึงทุบตีอย่างรุนแรง
ต่อมารู้ว่าครอบครัวของชายหนุ่มมีน้องสาวที่อ่อนแอและป่วยไข้อยู่คนหนึ่ง ใกล้จะไม่รอดแล้ว ที่เขาเป็นนักล้วงกระเป๋าก็เพื่อรักษาโรคให้กับน้องสาว
หลี่เมี่ยวเจินรักษาโรคของสาวน้อยจนหาย และส่งเงินมาให้อย่างสม่ำเสมอ ทำให้พี่น้องที่พ่อแม่เสียชีวิตในสงครามสามารถอยู่รอดต่อไปได้
“แล้วแต่เจ้าเถอะ”
หลี่เมี่ยวเจินไม่พูดจาไร้สาระกับเขา นางรู้ว่านิสัยเดิมของชายหนุ่มไม่ได้เลวร้าย ที่เย็นชากับนางเพราะชายหนุ่มมีจิตปฏิพัทธ์ ในใจชื่นชมนางอยู่
แต่นางชินแล้ว ท่องยุทธภพมาหลายปี ลองถามดูสิว่ามีจอมยุทธ์น้อยคนไหนที่ไม่เลื่อมใสศรัทธาจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินบ้าง
หลี่เมี่ยวเจินโบกมือแล้วขี่กระบี่จากไป
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนทันที หลังจากตามไปสองก้าวเขาก็ก้มหน้าด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“มีกระดาษแผ่นหนึ่ง…”
พอสาวน้อยเปิดถุงใส่เงินก็ค้นพบว่ายังมีกระดาษแผ่นหนึ่งถูกใส่ไว้กับเงิน แต่นางไม่รู้หนังสือ
ชายหนุ่มแย่งกระดาษในมือสาวน้อยมาและเปิดออกดู
“ทำสิ่งที่ดี ไม่ถามถึงอนาคต”
เขากุมกำปั้นเงียบๆ
…
เมืองหลวง วัดมังกรเขียว
เหิงหย่วนที่นำบรรดาฉานซือในวัดมาช่วยพระอรหันต์ตู้เอ้อร์เขียนคัมภีร์ ได้รับรายงานจากศิษย์ในวัด
“ท่านเหิงหย่วน มีข่าวจากพระราชวังบอกว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เหลยโจว” ภิกษุน้อยที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวกล่าวเสียงสูง
เหิงหย่วนกับตู้เอ้อร์สบตากันทีหนึ่ง แววตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม
เหิงหย่วนกล่าวกับภิกษุที่มองมาจากในห้อง
“วันนี้พอแค่นี้”
แสงสีทองสองลำพุ่งขึ้นจากวัดมังกรเขียว และหายไปทางทิศตะวันตก
…
เมืองหลวง
ภายในห้องบรรทม เงาร่างของสวี่ชีอันปรากฏตัวขึ้น เขาหันมองไปรอบๆ ห้องโถงด้านนอกที่ประดับตกแต่งอย่างงดงามซึ่งว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน ไม่มีนางกำนัล ไม่มีแม้แต่ขันที
แม้แต่ทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าอยู่นอกตำหนักก็ถูกไล่ไปจนหมด
เขาก้าวขึ้นไปบนพรมนุ่มๆ ที่ปักด้วยลายเมฆาและนกกระเรียนโผบิน เดินผ่านห้องโถงด้านนอกมาถึงห้องโถงเล็กที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คนเช่นกัน
สวี่ชีอันไม่หยุดฝีเท้า หลังจากผ่านห้องโถงเล็ก ม่านไหมสีเหลืองก็ห้อยต่ำลงตรงหน้าเขา อีกด้านหนึ่งของผ้าม่านคือห้องส่วนพระองค์ของจักรพรรดินี
เขาเลิกผ้าม่านแล้วเดินเข้าไป
พื้นที่ในห้องกว้างขวางมาก ด้านตะวันออกคือห้องหนังสือเล็กๆ มีโต๊ะไม้จันทน์แดงขนาดใหญ่วางอยู่ ทั้งสองข้างโต๊ะคือชั้นหนังสือทรงสูง
ด้านตะวันตกคือเตียงนุ่ม ทั้งสองข้างเตียงมีพัดหางไก่ฟ้าตั้งอยู่สองอัน เรียกอีกอย่างว่าพัดพิธี
นอกจากนี้ยังคงมีชั้นวางโบราณสำหรับวางเครื่องหยกและของลายครามต่างๆ
ที่ตั้งอยู่ตรงทางเข้าคือฉากกั้นหกพับ ด้านหลังฉากกั้นคือเตียงมังกร
สวี่ชีอันหยุดอยู่ตรงหน้าฉากกั้นและกล่าวเสียงต่ำ
“ฝ่าบาท!”
“อืม…” เสียงของฮว๋ายชิ่งดังมาจากด้านใน
สวี่ชีอันอ้อมฉากกั้นไปทันที มองเห็นเตียงมังกรกว้างใหญ่ที่หรูหรางดงาม มองเห็นหมอนและเครื่องนอนปักด้วยลายมังกร และมองเห็นฮว๋ายชิ่งที่สวมชุดจักรพรรดินั่งอยู่ตรงขอบเตียง
ปกติแล้วชุดจักรพรรดิย่อมเป็นชุดของบุรุษ แต่นางแต่งหน้า เขียนคิ้ว และทาปากสีแดงสด
บวกกับอุปนิสัยที่เยือกเย็นและสง่างามของนาง
นอกจากตะลึงในความงามแล้ว ยังอดทึ่งไม่ได้อีกด้วย
พอเห็นสวี่ชีอันเข้ามา ฮว๋ายชิ่งที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียงก็ตาไม่ชำเลืองมองข้าง เอวเล็กๆ ยืดตรงรักษาท่าทีน่าเกรงขามของจักรพรรดินี
………………………………………
……….