ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - ตอนที่ 572 รวมพลนิกายสวรรค์
บทที่ 572 รวมพลนิกายสวรรค์
เมื่อเผชิญหน้ากับเทพอารักษ์ตู้หนาน สวี่ชีอันรู้สึกกังวลและระแวง จนแผ่นหลังเครียดตึง ขณะเดียวกันก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก รู้สึกโล่งใจไปหนึ่งเปราะ
เหตุผลที่มีความคิดซับซ้อนเช่นนี้ เป็นเพราะเทพอารักษ์ตู้หนานมีสถานะเป็นจอมยุทธ์ฝ่ายสงฆ์ ความหยาบกระด้างจึงไม่น้อยหน้าจอมยุทธ์ทั่วไป
ด้วยเหตุนี้สวี่ชีอันจึงไม่ได้กังวลมากนัก หลังเทพอารักษ์เจอตัว
แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นจอมยุทธ์ ซึ่งมีสัญชาตญาณนักรบอันน่าสะพรึงกลัว เป็นไปได้สูงว่าหากมองผ่านท่ามกลางฝูงชนปราดเดียว ผู้ใดเผยความเป็นปรปักษ์ เขาก็รับรู้ได้
เมื่อถึงเวลานั้น คุณสมบัติพิเศษของ ‘วิชาดวงดาราผันเปลี่ยน’ จากเทียนกู่อาจใช้การไม่ได้
เรียกได้ว่าสุดขีดทั้งสองฝ่าย
หลี่หลิงซู่เข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงดึงชายม่านแพรคลุมหมวกลง ก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนเดินตรงไปข้างหน้าด้วยสีหน้าปกติ
ทั้งสองฝ่ายเดินผ่านกันและกัน
ฟู่…เทพบุตรถอนหายใจด้วยความโล่งอก รอจนพ้นเงาร่างของอีกฝ่าย เขาก็พูดด้วยความหวาดหวั่น “แรงกดดันของเทพอารักษ์ขั้นสามน่าทึ่งเสียจริง”
ใช่แรงกดดันที่ไหนกันเล่า มันเป็นแรงกดดันในใจเจ้าเองหรอก! สวี่ชีอันพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น
“หากมีเรื่องด่วน ติดต่อข้าทันที”
เขาวางแผนกลับสวนชิงซิ่ง
เดิมทีเขาต้องการร่างพักพิงปราณมังกรต่อไป แต่หลังจากเผชิญหน้ากับเทพอารักษ์ตู้หนานแล้ว เขาตระหนักได้ว่าขอความช่วยเหลือหน่อยดีกว่า เพราะอีกฝ่ายก็มีบทบาทในพื้นที่นี้เช่นกัน
นอกจากนี้ เขายังไม่พบแหล่งกบดานของภิกษุสำนักพุทธ รวมถึงไม่รู้แผนการล่าสุดของพวกเขา เรื่องนี้ทำให้สวี่ชีอันมิอาจนิ่งนอนใจได้
เขามีเหรียญเก่าที่แข็งแกร่ง อะไรก็ตามที่อยู่เหนือการควบคุม เขาจะปล่อยวางจนติดเป็นนิสัย แม้จะพลาดโอกาสด้วยเหตุนี้ก็ตาม
“เข้าใจแล้ว”
หลี่หลิงซู่พยักหน้า จากนั้นก็ได้ยินสวีเชียนถามว่า “ในยงโจวมีสหายเจ้าหรือไม่”
“ไม่มี”
หลี่หลิงซู่ส่ายหัว “แต่ข้าคิดว่าแม่นางกงซุนก็ไม่เลวเลย เพียงแต่ยังไม่มีเวลาสานสัมพันธ์กับนางอีกสักก้าว ข้ามองออกว่า นางเองก็สนใจในตัวข้า ความสนใจ มักเป็นจุดเริ่มต้นความรู้สึกดีๆ”
ขณะพูด ม่านที่บดบังเขาก็ขยับเล็กน้อย
“อืม แม่นางกงซุนเป็นหญิงที่ยอดเยี่ยมจริงๆ” สวี่ชีอันพยักหน้า เชิงเห็นด้วยกับเขา
รอยยิ้มแย้มขึ้นบนมุมปากหลี่หลิงซู่ ครั้นกำลังจะเอ่ยอย่างถ่อมตัวอีกไม่กี่ประโยค เขาก็ได้ยินสวีเชียนพูดขึ้น
“ข้ากลับก่อนล่ะ ลั่วอวี้เหิงกับมู่หนานจืออยู่กันเพียงลำพังในสวนชิงซิ่ง ข้ากลัวว่าพวกนางจะทะเลาะกัน”
…รอยยิ้มหลี่หลิงซู่พลันชะงักค้าง!
ไอ้ระยำเอ๊ย เจ้าอวดข้าอยู่รึ!
“กลับดีๆ ล่ะท่านผู้อาวุโส” เขาฝืนยิ้ม
หลังกล่าวลาสวีเชียนแล้ว หลี่หลิงซู่จึงเดินไปทางโรงเตี๊ยม ทบทวนสิ่งที่เคยพูดไว้ พลางพึมพำด้วยความสับสน
“เหตุใดอาจารย์อาปิงอี๋กับท่านอาจารย์ถึงจับกุมข้ากับหลี่เมี่ยวเจินด้วย พวกเราตั้งใจบำเพ็ญพรต ระลึกถึงคำสอนของนิกายสวรรค์ ไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เป็นไปได้หรือไม่ว่าเรื่องที่ข้าสมคบคิดกับอาจารย์ป้าหลิงอวี้ จึงถูกท่านเทพสวรรค์จับได้
“ไม่หรอก ตามนิสัยของเทพสวรรค์แล้ว คงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แล้วเหตุใดอาจารย์ถึงจับกุมข้า เล่นตลกอะไรกันหรือ ข้าเป็นเด็กที่อาจารย์อุ้มชูจนเติบใหญ่ เลี้ยงดูข้าเหมือนลูก
“ตาเฒ่าสวีเชียนนั่น ยิ่งชอบพูดให้ตกใจอยู่ด้วย”
ขณะเดินคิดไปเรื่อยๆ ไม่นานเขาก็ถึงโรงเตี๊ยม เมื่อปลายเท้าเหยียบเข้าไปในโถงรับแขกโรงเตี๊ยม หลี่หลิงซู่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนก้าวถอยไปยังทางเข้าโรงเตี๊ยมด้วยความประหลาดใจ แล้วจึงเอียงหัวมองไปด้านซ้าย
บนผนังด้านซ้ายของโรงเตี๊ยม วาดลายดอกบัวเก้ากลีบด้วยก้อนถ่านขาว
นี่คือรหัสลับที่นิกายสวรรค์ใช้ติดต่อกัน
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหยิบหมวกคลุมหน้าที่เพิ่งถอดออกแล้วสวมใหม่อีกครั้ง
ในย่ามใบนี้มีเพียงหมวกใบเดียวเท่านั้น ภายในจึงว่างเปล่า
หลังจากปกปิดใบหน้าอันหล่อเหลา หลี่หลิงซู่ก็ก้าวเข้าไปในประตูของโรงเตี๊ยม เขาพยายามควบคุมกลิ่นอายและจิตเดิม ทำให้ตนเองดูเหมือนคนปกติ
สวีเชียนมักใช้คาถา ‘วิชาดวงดาราผันเปลี่ยน’ กับเขาเสมอ เพียงบดบังใบหน้าและไม่เปิดเผยคาถานิกายสวรรค์ ต่อให้เดินผ่านอาจารย์ตน ก็ไม่สามารถจับได้
“นายท่าน ท่านต้องเข้าพักหรือแวะทานอาหารขอรับ?”
เสี่ยวเอ้อร์ประจำร้านมองเขาไม่ออก จึงเอ่ยทายตามมารยาท
หลี่หลิงซู่หยิบกุญแจห้องออกมาเชิงบอกใบ้ หลังจากเสี่ยวเอ้อร์รู้ว่าเขาผู้นี้คือแขกในร้าน ก็กะพริบตาปริบๆ มองเขาอย่างประหลาดใจ แล้วถอยออกไป
เทพบุตรกวาดตามองโถงรับแขก แต่ไม่เห็นเงาอาจารย์ผู้อาวุโส
จึงเดินผ่านโถงรับแขก เขาเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ก่อนเดินทอดน่องไปตามทางเดินทอดยาว
โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีขนาดกลาง ชั้นสองและชั้นสามเป็นพื้นที่ห้องพักและทางเดินด้านนอก
ขณะเดินทอดน่อง หลี่หลิงซู่ขับเน้นประสาทสัมผัสรับฟังให้คมชัดยิ่งขึ้น เพื่อฟังความเคลื่อนไหวภายในห้องระหว่างทาง
ขจัดเสียงรบกวน บทสนทนาที่ไร้ประโยชน์ และเสียงหึ่งๆ ครั้นเดินมาเกือบสุดปลายทาง หลี่หลิงซู่ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
“อาจารย์ ฆ่าข้าเลยเถอะ ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว…”
เสียงนี้เป็นเสียงหญิงสาวรุ่นๆ เจือด้วยความละอายใจและโศกเศร้า
หลี่เมี่ยวเจิน!
นั่นคือหลี่เมี่ยวเจินยายคนใจดำอำมหิต ผู้ทำทองไม่รู้ร้อนต่อศิษย์พี่ที่ตกทุกข์ได้ยาก
หลี่หลิงซู่ชะลอฝีเท้า สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจที่เร็วรัวขึ้นกะทันหัน
สวีเชียนไม่ได้หลอกเขา อาจารย์ผู้อาวุโสมาเยือนยงโจวจริงๆ
ในเวลานี้หลี่หลิงซู่ได้ยินวาจาเย็นชาจากเทพธิดาปิงอี๋ “ข้าน่าจะทิ้งเจ้าไว้ข้างถนน เผื่อเจ้าจะได้ตระหนักถึงการปล่อยวางความรู้สึกเสียบ้าง”
อาจารย์อาปิงอี๋ยังคงชอบใช้น้ำเสียงเย็นชาและพูดจาน่ากลัวเช่นเคย…หลี่หลิงซู่พึมพำในใจ
สองมือวางบนราวรั้วกั้น แสร้งทำเป็นมองแขกเหรื่อรับประทานอาหาร ทว่าจริงๆ แล้วกำลังเงี่ยหูดักฟัง
ในฐานะเทพบุตร เขารู้จักนิสัยของอาจารย์ดี ที่มักไม่ใส่ใจว่าจะมีคนแอบฟังหรือไม่
“ท่านอยากทำก็ทำสิ แต่แก้เชือกวิญญาณให้ข้าก่อน ข้าโดนเจ้าสิ่งนี้มัดมาสิบวันแล้ว ตอนข้าอยากเข้าห้องน้ำ ท่านยังเอาแต่รออยู่ข้างนอก” หลี่เมี่ยวเจินขึ้นเสียง
ชิ! หลี่เมี่ยวเจินนะหลี่เมี่ยวเจิน วันนี้ของเจ้ามาถึงสักที…หลี่หลิงซู่เกือบหลุดหัวเราะก๊าก
“ถ้าข้าไม่มัดเจ้าด้วยเชือก เจ้าก็จะเข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่น ไหนจะก่อเรื่องอีกจนได้ เราไม่ได้มีเวลามาจัดการเรื่องวุ่นวายพรรค์นั้น”
เทพธิดาปิงอี๋พูดเสียงเรียบ
ถูกต้อง นังเด็กไม่รักดีหลี่เมี่ยวเจินชอบแส่เข้าไปยุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง
เทพบุตรรู้สึกมานานแล้วว่า ศิษย์น้องหลี่เมี่ยวเจินเลือกเดินทางผิด แล้วจะปล่อยวางความรู้สึกได้อย่างไร การอยู่เหนือความรู้สึก ปล่อยให้ตนเปลี่ยนไปตามสติสัมปชัญญะต่างหาก ถึงเรียกว่าการปล่อยวางความรู้สึก
สิ่งที่หลี่เมี่ยวเจินทำลงไป ใช่เรื่องที่ศิษย์นิกายสวรรค์ทำหรือไม่
ไม่แปลกใจที่อาจารย์อาปิงอี๋ต้องการลงโทษนาง
“สิ่งสำคัญสำหรับพวกเราตอนนี้คือหาหลี่หลิงซู่ให้พบ แล้วนำเขากลับไปที่นิกายสวรรค์” เทพธิดาปิงอี๋กล่าวเสริม
ตามหาข้างั้นรึ? ในใจหลี่หลิงซู่สั่นสะท้าน มุมปากคว่ำลง รอยยิ้มมีความสุขค่อยๆ อันตรธานหายไป
หลี่เมี่ยวเจินส่งเสียงเฮ้อหนึ่งเสียง พลางกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นั้นมัวเที่ยวเล่นซุกซนอยู่บนหน้าท้องสตรีที่ใด”
‘เจ้ากำลังใส่ร้ายข้า!’
หลี่หลิงซู่รู้สึกเดือดดาลอยู่ในใจ ก่อนได้ยินอาจารย์ตน นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงพูดเสียงเรียบ
“หากพบหลี่หลิงซู่ ข้าจะกําราบเขาที่ตีนเขา แล้วจองจำเป็นเวลาสามปี จนกระทั่งเขาปล่อยวางความรู้สึก”
‘มาเพื่อจับกุมข้ากับหลี่เมี่ยวเจินจริงด้วย…’
หลี่เมี่ยวเจินเถียงทันควัน “ถ้าเขาไม่เปลี่ยนนิสัยล่ะ”
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นช้าๆ “จับตอนแล้วก็ไม่มีผลต่อการบำเพ็ญ”
“…” หลี่หลิงซู่ชักมือกลับจากราวบันได หมุนตัวเดินลงชั้นล่างอย่างเงียบๆ ออกจากโรงเตี๊ยมอย่างเงียบๆ และมุ่งหน้าเดินไปตามถนนอย่างเงียบๆ
เขาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวิ่งเตลิดในทันใด แผ่นหลังแบกความตื่นตระหนกไว้ เสมือนว่ามีสัตว์ร้ายกำลังไล่ล่า
‘ผู้อาวุโสสวีช่วยข้าด้วย!’
…
ณ คฤหาสน์ตระกูลกงซุน
ล่างเชิงเขา นกกระจอกเกาะอยู่บนซุ้มประตูขนาดใหญ่ ไม่อาจรอคอยบุคคลเป้าหมายได้อีกต่อไป จึงเลิกสังเกตการณ์
มันกระพือปีกโผบินเข้าไปในคฤหาสน์
ในเวลานี้กงซุนเซี่ยงหยาง กำลังสำมะเลเทเมาและเพลิดเพลินกับมื้อค่ำกับเหล่าสาวใช้แสนสวย
ในฐานะประมุข เขาจะไม่ปรากฏตัวในสมาคมยุทธภพบ่อยนัก มีลูกศิษย์ป้อมปราการหลงเสินและลูกศิษย์ตระกูลกุงซุนทำหน้าที่รับผิดชอบในการรักษาความสงบเรียบร้อย รวมถึงเป็นผู้ตัดสิน
การคัดเลือกจะไม่ผ่าน ก็ต่อเมื่อผู้แข่งขันในสังเวียนอยู่ระดับไล่เลื่ยกันไม่สูงมาก
คาดว่าเวลาต่อสู้มีเพียงหนึ่งร้อยอันดับจากรายชื่อเท่านั้น ถึงต้องให้ผู้ปกครองป้อมปราการหลงเสินหรือกงซุนเซี่ยงหยางทำหน้าที่ตัดสินเอง
เหล่าสาวใช้แสนสวยแต่งตัวเรียบง่าย สวมตู้โตวและนุ่งกางเกงใน สวมทับด้วยชุดคลุมผืนบาง ผลัดกันชนแก้วจอกพร้อมเจือเสียงหัวเราะสดใส ภายในห้องอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ
ครั้นหยอกล้อเล่นกับคณิกา หน้าอกกลมกลึงสั่นไหวช่างดึงดูดใจนัก
กงซุนเซี่ยงหยางเป็นชายเจ้าชู้ผู้รักในการร่ำสุราเคล้านารีมาตลอด
‘กึก กึก!’
เกิดเสียงดังเบาๆ ภายนอกหน้าต่าง
เหล่าสาวงามไม่ได้สังเกตเลย กงซุนเซี่ยงหยางสีหน้าเมากรึ่มแตะมือเบาๆ ส่งสัญญาณให้สาวงามอยู่นิ่ง ก่อนเหลือบมองไปที่หน้าต่างแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสงบ
“ออกไปให้หมด”
เหล่าสาวใช้สบตากันและกัน ก่อนยืนขึ้นเงียบๆ พร้อมทำความเคารพ จากนั้นจึงต่างคนต่างคว้าชุดของตน โดยไม่กล้าแต่งตัว แล้วรีบออกไป
คล้อยหลังพวกนางเดินไปไกล กงซุนเซี่ยงหยางก็เปิดหน้าต่างเพื่อต้อนรับนกกระจอก
นกกระจอกตัวน้อยบินเข้าไปในห้อง ร่อนไปยังโต๊ะจุดหมายปลายทาง ก้มจิกเม็ดข้าวสารและขนมปิ้ง
โคตรหนาวเลย ขนาดนกกระจอกที่ทนต่ออากาศเย็นจัดได้ยังรับสภาพอากาศผีบ้านี้ไม่ไหว…สวี่ชีอันบ่นด้วยความเห็นอกเห็นใจ ระหว่างเพลิดเพลินกับการย่างถ่านและกินอาหาร ไม่นานก็อิ่มท้อง
“คนที่ให้เจ้าตามหา หาเจอแล้วหรือยัง?” สวี่ชีอันถาม
กงซุนเซี่ยงหยางส่ายหัว “ตั้งแต่เด็กคนนั้นปรากฏตัวที่บ่อนพนันลิ่วป๋อก็ไม่เห็นอีกเลย คนอย่างข้าตามหายังไม่พบ”
สวี่ชีอันแนะนำ “ลองไปที่โรงเตี๊ยม แล้วถามพวกเสี่ยวเอ้อร์ดู”
กงซุนเซี่ยงหยางพยักหน้าพลางพูดว่า “แต่วันนี้ภิกษุสงฆ์สำนักพุทธมีการเคลื่อนไหว”
เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว…นกกระจอกไม่พูดจา รอให้กงซุนเซี่ยงหยางพูดต่อ
“ก่อนมื้อเย็น เพิ่งรวบรวมมูลข่าวมาได้ ทั่วทุกแห่งในเมืองล้วนปรากฏร่องรอยของภิกษุ พวกเขากำลังตามหาท่าน…”
“ตามหาข้ารึ” นกกระจอกผงกหัว ดวงตากลมสีดำจ้องไปทางกงซุนเซี่ยงหยาง
“ทั้งภาพวาดที่พวกภิกษุถือและตามหาก็คือท่าน” กงซุนเซี่ยงหยางเอ่ยยืนยัน
แทนที่จะซุ่มอยู่เงียบๆ กลับออกตามหาข้าอย่างโจ่งแจ้งงั้นรึ
เดี๋ยวนี้แม้แต่ภิกษุก็ยังชกต่อย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแบบแผนแล้วกระมัง
สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยิน
ว่ากันตามหลักการ การแฝงตัวโดยไร้ร่องรอย รอโอกาสเคลื่อนไหว ควรเป็นสิ่งที่นักล่าพึงมี
พวกเขาไม่กลัวแหวกหญ้าให้งูตื่นหรืออย่างไร…ไม่สิ บางทีพวกเขาอาจต้องการแบบนั้น…หัวใจสวี่ชีอันพลันกระตุก ระหว่างคิดถึงความเป็นไปได้
สำนักพุทธต้องการใช้วิธีนี้ขับไล่ข้า ขัดขวางความคืบหน้าในการตามหาร่างพักพิงปราณมังกร เพื่อให้พวกเขาก้าวนำหน้า หลังจากนั้นก็จะใช้ร่างพักพิงปราณมังกรเป็นเหยื่อล่อ หลอกให้ข้าติดกับ
นี่ไม่ใช่การคาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้า หากว่ากันตามแผนตกปลาของเทพอารักษ์ตู้หนานก่อนหน้า ถือเป็นการคาดเดาที่สมเหตุสมผล
“อยากจับข้าได้ พวกเขาต้องมีเหยื่อล่อมากเพียงพอ เป็นไปไม่ได้ที่ร่างพักพิงปราณมังกรธรรมดาจะล่อลวงข้าได้ แต่ถ้าเป็นหนึ่งในเก้าปราณมังกร ค่อยเป็นเหยื่อล่อที่น่าสนใจ
“แม้ว่าข้าจะเมินเฉย ไม่ติดกับ พวกเขาก็ไม่เสียหาย เพราะถือโอกาสนี้จับร่างพักพิงปราณมังกรไป ย่อมบรรลุเป้าหมายเช่นกัน”
สวี่ชีอันไม่หวาดหวั่น เขาวางแผนตามล่าพระอรหันต์ด้วยตนเองอยู่แล้ว หากนิกายพุทธจับร่างพักพิงปราณมังกรก่อนแล้วล่อให้เขาติดกับ เขาก็จะตามไป
“ยังไงก็ต้องตามหาร่างพักพิงปราณมังกร ไขว่คว้าปราณมังกรได้ก่อนถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด หากสำนักพุทธได้ไปก่อนจริงๆ ละก็ ข้าค่อยเริ่มแผนต่อต้านการไล่ล่าขั้นที่สอง”
หลังจากอธิบายไม่กี่ประโยค สวี่ชีอันก็สะบัดปีกบินออกจากห้องนอน เพื่อทำหน้าที่คอยสังเกตการณ์ต่อไป
เขาต้องเฝ้าระวังจีเสวียนและคนอื่นๆ บุกเข้ามาโจมตี
…
ณ สวนชิงซิ่ง
ท้องฟ้ามืดแล้ว ลั่วอวี้เหิงยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ผินหน้ารับลมหนาว
สายลมพัดผ่านเส้นผมนาง เสื้อคลุมปลิวไสวไปทางด้านหลัง ผนวกกับใบหน้าอันงดงามของนาง ยิ่งเสริมให้นางมีเสน่ห์ดุจเทพเซียนก็มิปาน
แต่ทว่า ความกังวลจางๆ ซึ่งปรากฏอยู่ระหว่างคิ้วของท่านราชครูหญิง กลับทำลายไอเทพเซียนก่อนหน้าแล้วสิ้น ทำให้นางมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ทั้งยังทำให้ผู้คนเห็นว่านางเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา
หญิงสาวธรรมดาต้องเผชิญสิ่งใด นางก็ต้องเผชิญเช่นกัน
“ทำไมเขายังไม่กลับมา
“เขาไม่กลับมาหรือ…
“หรือเป็นเพราะข้อเรียกร้องที่มากเกินไปของข้าเมื่อวานนี้ เขาจึงกลัวจนหนีไป…” ลั่วอวี้เหิงเป็นกังวล
ถ้าเขาไม่กลับมา ถ้าหากไฟแห่งกรรมกำเริบอีกครั้ง ข้าควรทำเช่นใด
ความกลัวที่ซ่อนลึกในจิตใจกำลังกลืนกินนาง
เมื่อค่ำคืนล่วงเลยไป ความกลัวและความกังวลของนางยิ่งทวีคูณ ไม่อยากแม้แต่กินมื้อเย็น ถึงแม้การบำเพ็ญของนาง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการกินอีกแล้วก็ตาม
“เฮ้อ…”
ราชครูถอนหายใจเบาๆ เปิดประตูห้อง แล้วเดินกรีดกรายไปยังบ่อน้ำพุร้อนลึกเข้าไปในสวน
เมื่อรู้สึกกระสับกระส่ายในใจ นางจะชอบขัดสมาธิข้างสระน้ำข้างอารามรัตนะ ไม่ก็อาบน้ำ
นิสัยนี้ตามติดมาแรมปี
ตามทางเดิน สาวใช้และบ่าวประจำสวนชิงซิ่ง กำลังลอบสังเกตกับเทพธิดาผู้งามล่มเมืองด้วยสายตาตื่นตะลึง
สาวใช้น้อยเนื้อต่ำใจ ส่วนบ่าวทาสปากคอแห้งและดวงตาร้อนผ่าว
นางมีรูปร่างเพรียวบาง แม้ว่าจะสวมเสื้อคลุมเต๋าที่ค่อนข้างหลวม แต่สัดส่วนร่างกายกลับดูดี มีช่วงขายาว พร้อมด้วยสายรัดเอวทำให้เอวคอดกิ่ว
อย่ามองว่าหญิงผู้นี้แต่งตัวเป็นนักบวชลัทธิเต๋า ทุกคนในสวนชิงซิ่งต่างรู้ดีว่านางมีบุรุษข้างกาย
อีกทั้งยังใช้ช่วงเวลาดีๆ กับบุรุษในห้องทั้งวันทั้งคืน เรื่องนี้ สาวใช้สองคนที่ดูแลห้องนอนใหญ่เอามาพูดหมดแล้ว
ลั่วอวี้เหิงเดินไปตามขอบสระ พลางหยิบเครื่องรางบางอย่างเขย่าสองสามที เพื่อให้สระน้ำพุแยกตัวจากกัน
หลังจากนั้นสองเท้าขาวเนียนนุ่มของนางก็ลอยถอดจากรองเท้าลายเมฆา เท้าเปลือยเปล่าราวกับหิมะเหยียบลงบนก้อนหินริมสระน้ำ
นิ้วเรียวดุจหยกปลดสายคาดเอวแล้วกระตุกออกเบาๆ เมื่อสายรัดเอวหลุดออกปกคอเสื้อก็คลายออก ด้านในสวมตู้โตวสีฟ้ารองรับหน้าอกกลมกลึงไว้…
เสื้อคลุมลัทธิเต๋าเลื่อนลงมาที่ไหล่มน เผยผิวขาวละเอียดอ่อนราวกับไร้ร่องรอยเสียดสี
ลั่วอวี้เหิงรวบผมขึ้น สวมกางเกงผ้าไหมสีขาวและตู้โตวสีฟ้า ก้าวลงไปในสระน้ำพุร้อน
ท่ามกลางไอน้ำลอยฟุ้ง ใบหน้างดงามเงยขึ้นเล็กน้อย แพขนตางอนงามพับลงเมื่อหลับตา นางกำลังดื่มด่ำกับสระน้ำพุร้อน
ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าใด ดวงตาสุกใสของลั่วอวี้เหิงก็เปิดขึ้น มองไปที่ชายฝั่ง
ตรงนั้นมีเงาร่างหนึ่ง กำลังปลดเปลื้องอาภรณ์ ขณะพึมพำว่า “ท่านราชครู เจ้าทำเกินไปแล้ว เจ้ารู้ว่าข้าไม่ว่าง แต่ก็ยังมิวายยั่วยวนข้า”
……………………………………………..