ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 518 ความบ้าคลั่งของพิษต้องห้าม
บทที่ 518 ความบ้าคลั่งของพิษต้องห้าม
…………….
สวี่ชิงก้มหน้า ถอนหายใจยาว
จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะมาอยู่ตรงหน้า
เสียงแค่นขึ้นจมูกแฝงการเตือนเมื่อครู่ทำให้สวี่ชิงรู้ว่าอาจารย์จะสั่งสอนศิษย์พี่ใหญ่แล้ว
ดังนั้นเขาจึงมองนายกองอย่างเห็นใจ มีใจคิดอยากเตือน แต่เสียงหึขึ้นจมูกเมื่อครู่ทำให้เขารู้ว่าอย่าเตือนเลยจะดีกว่า
นายกองได้ยินคำพูดสวี่ชิงก็กวาดตามองหนิงเหยียนอย่างสงสัยเช่นกัน
ใบหน้าหนิงเหยียนฉีกยิ้มอย่างจริงใจออกมา
“นายกอง ก่อนที่ข้ามาได้ทำการสำรวจมากมาย อีกทั้งท่านก็รู้ว่าสายเลือดของข้าพิเศษ เมื่อครู่ข้ารู้สึกเลาๆ ว่าทางนั้นอาจจะมีของดี”
นายกองกะพริบตาปริบๆ แล้วมองไปทางสวี่ชิงอีกครั้ง
สวี่ชิงกระแอมทีหนึ่ง กำลังจะเตือนนายกองสักหน่อย พบว่าหนิงเหยียนมองตนอย่างจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
ดังนั้นแล้วสวี่ชิงสีหน้าจริงจังขึ้นมา
“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเรารีบไปเถอะ ข้าเชื่อหนิงเหยียน”
นายกองรู้สึกไม่ค่อยชอบมาพากล จึงยกมือลูบศีรษะหนิงเหยียน
“หนิงหนิงน้อย เจ้า…”
“ศิษย์พี่ใหญ่!”
เห็นนายกองยังรนหาที่ตาย สวี่ชิงใจสั่นสะท้าน รีบขัดขวาง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ความจริงหนิงเหยียนน่าสงสารมาก ท่านอย่าได้เอาแต่คล้องคอเขาเช่นนั้น ข้ารู้ว่าที่ไม่อยากปล่อยเขาไปเพราะหนิงเหยียนเคยนินทาอาจารย์เรามากมาย ดังนั้นท่านจึงอยากลงโทษเขา”
“ห๊ะ” นายกองอึ้งตะลึง คนที่ฉลาดเป็นกรดแบบเขารู้ตัวโดยทันที ดวงตาเบิกกว้าง มือที่ลูบหนิงเหยียนแข็งค้างไปเล็กน้อย
ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความผิดปกติของสวี่ชิง จึงมองหนิงเหยียนอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ เก็บมือขวากลับมา
แต่มองท้องของหนิงเหยียน เขาก็ไม่อาจอดทนได้ คิดอยากจะยืนยันสักหน่อย ดังนั้นแล้วจึงก้าวขึ้นไปตี
เพี๊ยะ!
สวี่ชิงหลับตา
หนิงเหยียนใบหน้าไร้อารมณ์ ปล่อยให้นายกองตีมาบนท้อง
ไม่มีเถาวัลย์
นายกองสูดลมหายใจ ในโลกมืดมิดเย็นเยือกแห่งนี้หน้าผากก็ยังคงเริ่มมีเหงื่อผุด ใบหน้าฉายรอยยิ้มประจบ
หนิงเหยียนมองนายกองอย่างสงบนิ่ง สายตานั่นแฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง มองจนนายกองค่อยๆ ตัวสั่น ถอยหลังไปสามสี่ก้าวตามสัญชาตญาณ มาข้างกายสวี่ชิง พลันเอ่ยปากขึ้น
“อาชิงน้อย ก่อนหน้านี้ทำไมถึงให้ข้าไปตีพุงหนิงเหยียนเล่า ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย ท่านอาจารย์สอนเรามาอย่างไร เจ้าลืมไปหมดแล้วหรือ ข้าจะบอกเจ้าให้ อาจารย์ดีกับพวกเรานั่นราวกับบิดามารดา ชาตินี้พวกเราก็ไม่สามารถตอบแทนได้
“ดังนั้น คำพูดของอาจารย์พวกเราจะต้องตั้งใจเชื่อฟัง จดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ เพราะทุกครั้งที่เราเดินผิดทาง ขอเพียงคิดถึงคำพูดของอาจารย์ พวกเราก็จะได้รับการชี้แนะทิศทางที่ถูกต้อง!”
นายกองพูดอย่างขึงขังจริงจัง
สวี่ชิงลืมตา มองๆ นายกอง หัวเราะหึๆ แล้วหันไป
เขาทำดีที่สุดแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่อยากรนหาที่ตาย ไม่อาจช่วยได้จริงๆ และไม่อยากช่วยแล้วด้วย
“ท่านไม่ลองตีอีกสักทีหรือ” หนิงเหยียนเอ่ยราบเรียบ
นายกองตัวสั่นหงึกๆ รีบส่ายหน้า สายตาจับจ้องไปที่ร่างหนิงเหยียน แล้วก็รู้สึกว่าเช่นนี้ไม่ดี กังวลว่าอีกฝ่ายจะคิดว่าตนมองที่ท้อง จึงฝืนอาการสั่นสะท้าน มองไปที่หน้าหนิงเหยียน
แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะอีก กังวลว่าจะถูกมองว่าตัวเองมองที่ศีรษะ จะอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ลูบไปหลายครั้งเหลือเกิน
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หนิงเหยียนสังเกตเห็นสายตาของนายกอง เอ่ยออกไปด้วยเสียงสงบนิ่ง
“อยากจะลูบหัวอีกสักสองสามทีหรือไม่”
นายกองราวกับกลองป๋องแป๋ง ส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว ในใจครวญคราง โดยเฉพาะนึกถึงสัมผัสสบายมือของตัวเอง ทั้งตัวเขาก็สั่นสะท้านหนักขึ้นไปอีก จึงรีบตำหนิสวี่ชิงทันที
“ช่างเถิดๆ ครั้งนี้ข้าจะไม่สร้างความลำบากใจให้หนิงเหยียนแล้ว เจ้าระวังตัวให้ดี ครั้งหน้ากล้านินทาอาจารย์ข้าอีก อย่าหาว่าข้าไร้ไมตรี!
“ข้าเฉินเอ้อร์หนิวคนนี้ ขอเพียงเห็นผู้ที่ไม่เคารพอาจารย์ของข้าแม้เพียงเล็กน้อย แม้ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวก็จะตามไปสังหารแน่นอน!
“ดังนั้นศิษย์น้องเล็ก วันหลังเจ้าอย่าได้ขัดขวางข้า ไม่อย่างนั้นข้าโกรธเจ้าแล้ว เพื่ออาจารย์ ข้าเฉินเอ้อร์หนิวทุ่มได้สุดชีวิต!”
นายกองเอ่ยเสียงดัง
หนิงเหยียนสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย
สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ จู่ๆ ชี้ไปที่หมอกไกลๆ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านดูหมอกตรงนั้น คล้ายกับอสูรเมฆาที่เคยเจอตอนนั้นหรือไม่”
“อสูรเมฆาหรือ ที่นี่อันตรายมาก!” นายกองกะพริบตาปริบๆ มองไปทางนั้น ร้องเสียงตื่นตกใจออกมาทันที
จากนั้นก็ทำท่าเหมือนระมัดระวังเต็มที่ ยืนอยู่ข้างหนิงเหยียนคล้ายว่าหากมีอันตรายเพียงเล็กน้อย เขาก็จะทำการปกป้องอย่างไม่สนใจความปลอดภัยของตัวเอง
และประโยคนี้คล้ายว่ากระตุ้นอะไรหนิงเหยียน หนิงเหยียนแค่นเสียงเย็นขึ้นจมูก ถลึงตาใส่นายกองอย่างดุดัน
นายกองน้อยเนื้อต่ำใจ มองไปทางหนิงเหยียนอย่างประจบประแจง
“พวกเจ้าสองคนตามข้ามา” หนิงเหยียนแค่นเสียงหึออกมาทีหนึ่ง ร่างเพียงไหววูบก็ตรงไปในจุดลึกของหมอก
สวี่ชิงตามไปทันที ไม่สนใจนายกอง
นายกองกัดฟัน รีบตามไปเช่นกัน ในตอนที่มาถึงข้างสวี่ชิงก็ทำหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสา จากนั้นก็ยื่นหินสีเขียวครามก่อนหนึ่งไปให้อย่างรวดเร็ว
สวี่ชิงสีหน้าผ่อนคลายลง
ทั้งสามเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้โดยมีหนิงเหยียนเป็นผู้นำ เคลื่อนไปข้างหน้าไม่หยุดในหมู่ตำหนักวังที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อ
แม้ระหว่างทางจะเจอสิ่งประหลาดและอสูรกลายพันธุ์บ้าง แต่จัดการไม่ยาก
พวกที่อยู่ในระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์เหล่านั้นนายกองชิงลงมือก่อน ฆ่าตายอย่างรวดเร็วว่องไว
ส่วนอสูรกลายพันธุ์ที่กำลังรบน่ากลัว แทบจะในพริบตาที่เพิ่งปรากฏออกมา แต่ละตัวก็สั่นสะท้านในทันที ร่างเริ่มแก่ชรา แล้วกลายเป็นเถ้าธุลี
ภาพนี้ทำเอาสวี่ชิงกับนายกองในใจเกิดระลอกคลื่น
จนกระทั่งอสูรกลายพันธุ์ขนาดกลายร้อยจั้ง แผ่กลิ่นอายระดับหวนสู่อนัตตาขั้นหนึ่งบริบูรณ์ตัวหนึ่งปรากฏตัวอยู่ที่ไกลๆ ในขณะที่สั่นสะท้านก็กลายเป็นเถ้าธุลี สวี่ชิงจิตใจสั่นสะท้าน
นายกองก็กะพริบตาอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน ทั้งสองคนอดมองตากันไม่ได้
แม้จะรู้ว่าอาจารย์ของตัวเองเชี่ยวชาญการปิดบังแอบซ่อน กำลังรบที่แท้จริงเป็นอย่างไร นอกจากตัวเขาเอง คนนอกไม่รู้ แต่สามารถทำให้หวนสู่อนัตตาขั้นหนึ่งแตกสลายในทันที กำลังรบเช่นนี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับหวนสู่อนัตตาขั้นสอง
‘จะต้องไม่ใช่ขีดจำกัดสูงสุดอย่างแน่นอน!’ นายกองส่งสื่อเสียง
สวี่ชิงพยักหน้าแรงๆ อย่างเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
หนิงเหยียนที่อยู่ข้างหน้ามองทั้งสองคนผาดหนึ่ง สีหน้าแย้มยิ้มอย่างหยิ่งทะนง
นายกองรีบประจบประแจงสอพลอ สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความเชื่อฟังว่าง่าย
ยิ่งเข้าไปลึก จากไอพลังประหลาดที่นี่ที่ยิ่งเข้มข้น สวี่ชิงรู้สึกอย่างชัดเจนว่าร่างกายของตัวเองสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ความปรารถนารุนแรงแผ่ออกมาจากเลือดเนื้อทุกชุ่นทั้งร่าง รวมมาที่จิตใจ
สวี่ชิงเข้าใจ นี่เป็นเพราะร่างกายถูกปรับเปลี่ยนจากนิ้วเทพเจ้า จึงมีต้นกำเนิดเดียวกับที่นี่
ก่อนหน้านี้คนเยอะแยะหูตามากมาย สวี่ชิงไม่กล้าดูดซับ แต่ตอนนี้ค่อนข้างปลอดภัย ดังนั้นหลังจากที่สวี่ชิงลังเลเล็กน้อย ในที่สุดก็ปลดพันธนาการของร่าง ดูดซับไอพลังประหลาดที่นี่เล็กน้อย
จากการผสานเข้ามาอย่างรวดเร็วจากไอพลังประหลาด สวี่ชิงร่างสะท้านเฮือก ความรู้สึกโล่งสบายอย่างไม่เคยมีมาก่อนแผ่ซ่านไปทั้งร่าง
รูขุมขนทั้งร่างเปิดออกตามสัญชาตญาณ ขณะที่ไอพลังประหลาดแต่ละกลุ่มๆ หลอมผสานมาอย่างรวดเร็ว เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายตัวเองกำลังได้รับการหล่อเลี้ยง กำลังเปลี่ยนมาแข็งแกร่งขึ้น!
และจากการผสานเข้ามาของไอพลังประหลาด เส้นสีทองเหล่านั้นในร่างกายเขาก็แผ่ไปอย่างรวดเร็วและหมุนวน ขณะที่ยิ่งเคลื่อนไหวไม่ติดขัด ก็ดูดซับไอพลังประหลาดเข้าไปในเลือดเนื้อ
ทำให้เกิดวัตถุเหมือนพลังวิญญาณสีทองกลุ่มหนึ่ง
คล้ายพลังวิญญาณแต่ก็ไม่ใช่พลังวิญญาณ สวี่ชิงกวาดประสาทสัมผัสเทพไป สัมผัสถึงพลังของเทพเจ้าข้างในได้รางๆ
‘นี่คือ…’ สวี่ชิงหายใจหอบถี่ จิตใจสั่นสะท้าน
ส่วนสิ่งที่เหมือนพลังวิญญาณสีทองนี้ แม้จะมีเพียงกลุ่มเดียวแต่ในพริบตาที่ปรากฏขึ้น ลูกกลอนพิษ พระจันทร์สีม่วง เขาจักรพรรดิภูตในวังสวรรค์เขาต่างสั่นคลอนพร้อมกัน และพลันแผ่แรงดูด เหมือนว่าจะแบ่งสรรปันส่วนพลังสีทองนี้
โดยเฉพาะลูกกลอนพิษต้องห้ามเหมือนแผ่นดินแห้งผากได้รับหยาดฝน เหมือนหิวโซมานานได้เจออาหารโอชะ บ้าคลั่งขึ้นมาโดยสมบูรณ์ แผ่กลิ่นอายน่ากลัวออกมา
กลิ่นอายพวกนี้ทำให้พระจันทร์สีม่วงและเขาจักรพรรดิภูตชะงักไปเล็กน้อย
ดังนั้นลูกกลอนพิษต้องห้ามแบ่งเอาไปเยอะที่สุด มันดูดไปถึงห้าส่วน พระจันทร์สีม่วงทางนั้นกลืนกินไปได้สามส่วนกว่าๆ เขาจักรพรรดิภูตได้ไปหนึ่งส่วนกว่าๆ
และหลังจากที่ดูดซับ สภาวะการฟื้นตื่นของลูกกลอนพิษต้องห้ามก็ยิ่งชัดเจน แสงสีม่วงของพระจันทร์สีม่วงทางนั้นก็ยิ่งพราวพร่าง เหมือนได้รับการหล่อเลี้ยง เหมือนว่าผ่านมาเนินนานจนถึงวันนี้เพิ่งจะได้รับการชดเชย
เขาจักรพรรดิภูตก็เช่นกัน ดวงตาฉายประกายวาววับ
ทุกอย่างทำให้ในใจสวี่ชิงเกิดระลอกคลื่นลูกมหึมา ขณะเดียวกันความปรารถนาของร่างกายก็ยิ่งรุนแรง
เขาจึงกัดฟัน สลายพลังควบคุมไปอีกส่วนอีกครั้ง ทันใดนั้นคลื่นวนลูกหนึ่งก็ปรากฏข้างกายสวี่ชิง ไอพลังประหลาดจากทั่วทุกทิศพุ่งมาครืนครันเลื่อนลั่น
ในขณะที่หมอกรอบๆ ไหลวนอย่างรวดเร็ว เสียงร้องโหยหวนคำรามที่ดังก้องรอบๆ ในเสี้ยวขณะนี้ก็พลันเงียบสงัด
สวี่ชิงใจหล่นวูบ รีบทำการควบคุม
นายกองพลันหันมามองสวี่ชิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หนิงเหยียนฝีเท้าชะงักไปเช่นกัน สายตาที่มองมาทางสวี่ชิงแฝงด้วยความตื่นเต้นยินดี
สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ กำลังจะอธิบาย แต่เสี้ยวขณะต่อมาแผ่นดินสั่นไหว หมอกเมฆรอบๆ ทะลักบ้าคลั่ง อสูรกลายพันธุ์เป็นฝูงๆ โผนกระโจนมาที่นี่จากทั่วทุกทิศ
เสียงคำรามแฝงด้วยความละโมบ เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เหมือนสำหรับพวกมันแล้ว ที่นี่มีอาหารโอชะที่ไม่อาจพรรณาได้ปรากฏขึ้น จะมากลืนกิน
หนิงเหยียนร่างไหววูบ เข้าใกล้สวี่ชิงและนายกองทันที คว้าคอเอาไว้แล้วพลันกระโดด หายไปจากที่นี่ทันที
ไม่นานนัก บริเวณที่เขาหายตัวไปก็รวมมาด้วยอสูรกลายพันธุ์ฉุนเฉียวเหี้ยมเกรียมนับไม่ถ้วน เสียงคำรามที่ยิ่งโหยหวนเป็นระลอกๆ ดังมา คล้ายว่ากำลังค้นหา แต่ก็คว้าน้ำเหลว
จวบจนหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในตอนที่ความฉุนเฉียวของพวกมันเพิ่งสงบลง ต่างแยกย้ายกันไป ในบริเวณที่ห่างจากที่นี่ร้อยลี้ เงาร่างหนิงเหยียนนำนายกองและสวี่ชิงปรากฏตัวออกมา
เพิ่งปรากฏตัวออกมา นายกองก็มองสวี่ชิงทันที เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าๆๆ…”
“หุบปาก!” หนิงเหยียนถลึงตาใส่
นายกองรีบหดคอลงทันที
หนิงเหยียนแค่นเสียงหึ ในตอนที่หันไปมองสวี่ชิง สีหน้าเปลี่ยนมาอ่อนโยนพออกพอใจ ในดวงตาเต็มไปด้วยความชื่นชม เอ่ยเสียงอ่อนโยน
“เจ้าสี่ เป็นกายเนื้อของเจ้าร่างนี้สร้างขึ้นอย่างนั้นหรือ”
สวี่ชิงก็อกสั่นขวัญแขวนไปเช่นกัน เมื่อครู่เขาสัมผัสได้ว่าอสูรกลายพันธุ์เหล่านั้นฉุนเฉียวอย่างเห็นได้ชัด ความรู้สึกที่เหมือนจะกลืนกินตัวเองรุนแรงมาก
“ใช่ขอรับอาจารย์ ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกกับพวกท่าน ร่างกายของข้าร่างนี้ได้รับการปรับเปลี่ยนจากนิ้วเทพเจ้า” สวี่ชิงรีบพูด ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องแสดงละครว่าจำอาจารย์ไม่ได้แล้ว
และตอนนั้นที่นายท่านเจ็ดมา ในตอนที่สวี่ชิงบรรยายถึงแผนการก็บอกทุกอย่างกับนายท่านเจ็ดแล้ว จะอย่างไรก็ต้องอธิบายว่าตัวเองรู้เรื่องพระจันทร์สีชาดจะกลืนกินเทพเจ้าแดนต้องห้ามเซียนได้อย่างไร
“ท่านอาจารย์ ข้าจะควบคุมสุดกำลัง พยายามไม่กระตุ้นความคิดอยากกลืนกินของอสูรกลายพันธุ่เหล่านี้”
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ตอนนี้ยังคงหวาดกลัวอยู่
“เจ้าสี่ เจ้าผิดแล้ว อสูรกลายพันธุ์เหล่านั้นมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อกลืนกินเจ้า แต่ขับเคลื่อนจากสัญชาตญาณอยากให้เจ้ากลืนกินพวกมัน เพราะตัวพวกมันเองก็แปรเปลี่ยนมาจากกลิ่นอายของร่างเดิมต้นกำเนิดพลังของเจ้าร่างนี้
“แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เหมาะจริงๆ เพราะว่า…ต้นกำเนิดพลังนิ้วเทพเจ้าของเจ้า ซึ่งก็คือเทพเจ้าท่านนั้นที่หลับใหลอยู่ที่นี่ยังไม่ตาย
“รอเมื่อองค์ท่านตาย เจ้าก็สามารถกลืนกินได้อย่างสบายใจ ไม่เช่นนั้นสุดท้ายแล้วก็จะเป็นภัยแอบแฝงด้านเจตจำนงเทพเจ้า
“แล้วก็ เกิดปราณเทพแล้วหรือยัง”
ดวงตานายท่านเจ็ดเป็นประกาย
“นั่นเป็นสิ่งที่คล้ายพลังวิญญาณสีทองประเภทหนึ่ง”
นายท่านเจ็ดพูดพลางยกมือขวาขึ้น พลังสีทองอ่อนอยู่หนึ่งปรากฏในมือเขา
“ก็คือสิ่งนี้”
นายท่านเจ็ดมองสวี่ชิง ในดวงตาแฝงด้วยความวาดหวังเข้มข้น
สวี่ชิงยกมือ กระตุ้นวังสวรรค์ในกาย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง พลังสีทองกลุ่มหนึ่งที่เล็กกว่านายท่านเจ็ดทางนั้นมา แต่สีสันกลับเข้มกว่าก็ปรากฏขึ้น
นายท่านเจ็ดมองสวี่ชิง
สวี่ชิงมองนายท่านเจ็ด
หลังจากนั้นนายท่านเจ็ดก็สุขใจเป็นอย่างยิ่ง หัวเราะออกมา
“ดีๆๆ สมแล้วที่เป็นลูกศิษย์คนโตรับช่วงของข้า วันหน้าพวกเราศิษย์อาจารย์สองคนร่วมเรียกลมเรียกฝนในโลกนี้ไปด้วยกัน ฮ่าๆๆ”
นายกองที่อยู่ข้างๆ ได้ยินก็ยกมือขึ้น พยายามอยู่ค่อนวันก็เก็บลงไปเงียบๆ กระแอมออกมาทีหนึ่ง
“อาจารย์ ยังมีข้าด้วย ข้าถึงจะเป็นลูกศิษย์คนโตของท่าน…”