ผมได้ตกหลุมรักเธอผู้มองไม่เห็น ในค่ำคืนอันโปร่งใส - ตอนที่ 3.3 รัก
ถ้าให้สารภาพอะไรสักอย่างสักอย่างหนึ่ง ผมก็คงเลือกสารภาพว่า มีปัญหาบางอย่างที่ทำให้ผมอยากย้ายออกจากหอพักเส็งเคร็งนี่อยู่
ไม่ใช่เรื่องที่ต้องนอนกับรูมเมท เบรกเกอร์ตัดบ่อย หรือห้องอาบน้ำกับห้องน้ำแยกกันอะไรแต่อย่างใด กลับกันซะอีก เรื่องกระจุกกระจิกพวกนั้นน่ะ ผมผ่านมาได้หมดแล้ว
แล้วไอปัญหาที่ว่าคืออะไรน่ะเหรอ?
การฝึกคัตเตอร์ยังไงล่ะ
ธรรมเนียมการฝึกดั้งเดิมของหอพักที่ส่งทอดต่อๆ กันมากว่าร้อยปี ถ้าจะให้อธิบายอย่างเจาะจงล่ะก็คงตั้งแต่สมัยโดนเรือดำบุก* ซึ่งเป็นการฝึกที่บังคับให้ทุกคนในหอพักเข้าร่วม
พวกเราต้องมารวมตัวกันที่ท่าเรือฮารุมิภายในตีห้าของทุกๆ วัน แล้วขึ้นเรือเล็กที่เรียกว่า คัตเตอร์ และพายเรือรอบอ่าวโตเกียวเป็นวงกลมพร้อมตะโกน “ฮุย เล ฮุย” ไปเรื่อยๆ จนกว่าตะวันจะขึ้น ซึ่งกว่าจะผ่านมาในแต่ละวัน บางคนมือเป็นแผล บางคนก้นถลอก แลเป็นธรรมเนียมไร้สาระสิ้นดี
แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับงานมหาลัยที่จะจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนมิถุนายนนั่นเอง
การได้นั่งเรือคัตเตอร์ถือเป็นไฮไลท์อย่างหนึ่งในงานมหาลัย โดยทั่วไปแล้ว จะมีคนพายเรือ 6 แถว แถวละ 2 คน แต่ภายในงานจะลดเหลือเพียง 3 แถว ส่วนที่ว่างจะให้ผู้ร่วมงานมานั่งแทน โดยเรือจะวิ่งไปในสามเหลี่ยมจัตุรัส เมืองเอจูจิมะ สึกิชิมะ และโทโยซุ จากนั้นก็ลอดใต้สะพานฮารุมิบาชิแล้ววนกลับมายังจุดเริ่มต้น
แค่คนพายหายครึ่งหนึ่งก็หนักหนามากแล้ว พอมีคนร่วมงานมานั่งด้วยอีก เรือก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ไม่ต่างอะไรจากการพายเรือเหล็กอยู่กลางทะเลเลย
อนึ่ง กิจกรรมนี้จะขึ้นในวันหยุดสัปดาห์ของงานมหาลัย โดยจะจัดขึ้น 4 ครั้งต่อวัน ตั้งแต่ 11 โมงเช้าจนถึง 4 โมงเย็น โดยมีช่วงเวลาพักให้แค่เพียงช่วงเที่ยงวันเท่านั้น ด้วยเหตุนั้น นี่จึงเป็นภารกิจที่สุดของความทรมานไม่ต่างอะไรกับการอยู่ในขุมนรก หากฝ่าฝันช่วงเวลานรกนี้มาได้ ร่างกายก็จะฟิตขึ้นหน่อยๆ แต่สำหรับผมผู้ไม่สนใจเรื่องนี้แล้วจึงคิดเป็นจริงเป็นจังว่า ‘ลาออกแล้วกลับไปปลูกผักที่บ้านดีกว่าไหม’
* การมาของเรือดำหรือการเดินทางของเพร์รี เป็นการเดินทางทางการทูตและการทหารของอเมริกามายังญี่ปุ่นระหว่างปีค.ศ 1853-1854
และแล้ว วันงานก็ได้มาถึง
ผมอดทนจนถึงรอบสุดท้ายแล้ว ในที่สุดก็จะได้หลุดพ้นจากขุมนรกนี้เสียที ผมพลางคิดเช่นนั้น
เป็นการพายครั้งสุดท้ายพร้อมกับความรู้สึกโล่งที่หวังจะได้ปลดปล่อยและหลุดพ้นจากนรกนี้แล้วเสียที
ซึ่งคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมคือ นารุมิ ที่เริ่มมีกล้ามเป็นมัดๆ หลังจากการฝึกหนักในแต่ละวัน ส่วนข้างหน้าผม มีหญิงสาวสองคนสวมเสื้อชูชีพนั่งคอยให้กำลังใจอยู่
“คาเครุคุง สู้ๆ” ฟุยุสึกิส่งเสียงเชียร์
“เดี๋ยวก่อน! ไหงเรือเขวไปทางขวาเนี่ย?” ฮายาเสะทักขึ้น
ทำไมทั้งสองคนถึงมาอยู่ที่นี่ละเนี่ย
“สู้โว้ยยย!” นารุมิตะโกนขึ้น
“ก็เพราะนารุมิออกแรงมากเกินไปไง!”
“ว้าย!” ฟุยุสึกิอุทาน
“ฟุยุสึกิ เป็นอะไรหรือเปล่า? กลัวรึเปล่า?”
ผมอดเป็นห่วงเธอไม่ได้เพราะเธอมองไม่เห็น
ทว่า เจ้าตัวกลับตอบว่า
“ไม่เลยค่ะ กลับกันเลย สนุกมากเลยค่ะ!”
“คาเครุคุงสู้ๆ คาเครุคุงสู้ๆ “
เธอสนุกจนทำผมอึ้งไปชั่วครู่หนึ่ง
“ทำไมเธอแลดูสนุกขนาดนี้ละเนี่ย”
“กลิ่นน้ำและลมทะเลมันรู้สึกดีมากเลยค่ะ! นอกจากสนุกแล้วจะมีอะไรไปอีกล่ะคะ?”
น้ำกระเซ็นขึ้นมาบนแก้มชวนรู้สึกเย็นเฉียบเล็กน้อย พร้อมกันนั้นก็รู้สึกถึงกลิ่นฉุนของเกลือที่อยู่ในน้ำทะเลลอยขึ้นมา
ละอองน้ำกระทบกับแสงแดดส่องประกายระยิบระยับ ซึ่งปลายทางนั้นมีฟุยุสึกิ กำลังยิ้มให้อยู่
ไม่รู้ทำไม แต่รอยยิ้มนั้นชวนมองสุดๆ
“ใช่แล้ว! ทะเลคือสถานที่ของผู้ชายอย่างเราๆ! ถ้าไม่รู้สึกตอนนี้จะไปรู้สึกตอนไหนอีก!”
‘ฮุย เล ฮุย!’ นารุมิตระโกนขึ้นพลางกวักไม้พายไปด้วย ผมที่อยู่ในท่าเดียวกันจึงตะโกน “ฮุย เล ฮุย” พร้อมพายไม้พายสุดกำลัง จากนั้นเรือก็เคลื่อนไปข้างหน้าด้วยแรงที่พวกเราสร้างขึ้น
‘สุดยอดไปเลย’ ฟุยุสึกิหัวเราะขึ้นหลังเรือแกว่งไปมา
นักพายเรือนารุมิใจเกินร้อยในขณะนี้ ตะโกน “เอ้า ฮุย เล ฮุย!” ไม่หยุด ผมซึ่งไม่มีทางเลือกอื่นจึงได้แต่พูดตาม
“ถ้าจบไอนี่แล้ว ฉันไปยื่นใบลาออกละ กลับไปปลูกผักที่บ้านดีกว่า…” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงเหมือนตัวละครที่กำลังจนตรอก
หลังจากผมกล่าวให้ความรู้สึกเหมือนหักธงเช่นนั้นออกไป เด็กสาวไร้เดียงสาที่นั่งอยู่ข้างหน้าก็ถูกคำพูดนั้นตกเข้าเสียแล้ว
“เอ๊ะ จะลาออกจริงๆ หรอคะ!?”
“ไม่ใช่หรอก โคฮารุจัง อย่าไปเชื่อมุกไร้สาระของหมอนี่เชียวล่ะ”
ในระหว่างนั้นเอง ผมก็ได้สังเกตเห็นฮายาเสะกุมมือของฟุยุสึกิแน่นตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว แถมสีหน้าของเธอก็ดูซีดมากด้วย
“ฮายาเสะ (ฮุย เล ฮุย!) ไหวไหม?”
“พูดอะไรนะ!?”
เสียงผมถูกกลบด้วยเสียง “ฮุย เล ฮุย” ของนารุมิ
“ไหวไหม??? (ฮุย เล ฮุย!)”
“ว่าไงนะะ!?”
“ฮุย เล ฮุย!” เสียงนารุมิดังเกินไป
“ฉันถามว่าเธอไหวไหม!”
“(ฮุย เล ฮุย!) ไม่เลยสักนิด!”
เสียงของนารุมิกลบซ้ำอีกครา
นารุมิตระโกนไม่หยุดจนกลายเป็นว่าเราคุยกันไม่ได้ในที่สุด
ด้วยเหตุนั้น ผมจึงวางไม้พายลงให้อยู่ระดับเดียวกับพื้นน้ำ แล้วหันไปแจ้งรุ่นพี่ที่พายอยู่ท้ายเรือซึ่งมีหน้าที่ควบคุมทิศทางเรือ
“มีคนเมาเรือ เราค่อยๆ พายกันดีกว่าครับ”
เมื่อได้ยินคำสั่ง ทุกคนก็หยุดพายและยกไม้พายขึ้นจากน้ำ
“ขอบคุณนะ” ฮายาเสะพูดขึ้น
“ใจดีจังเลยค่ะ” ฟุยุสึกิกล่าว
“โทษที พอดีอารมณ์มันพาไปน่ะ” นารุมิยอมรับ
เรือไหลไปตามสายน้ำอย่างช้าๆ เมื่อลองมองดูจากผิวน้ำ แมนชั่นในสึกิชิมะแลดูสูงกว่าปกติ
แสงแดดส่องลงมายังผิวน้ำทำให้น้ำทะเลส่องประกายราวกับกระจกที่พริ้วไหวดั่งสายลม
สายลมอ่อนพัดโชยมา ฟุยุสึกิรวบผมแล้วปล่อยให้ลมพัดเข้ามาที่ใบหน้า
กว่าจะรู้ตัวอีกที ผมก็เอาแต่จ้องเธอเสียแล้ว พอรู้สึกตัวก็ชักเขินขึ้นมา พอคิดว่าตัวเองจ้องโดยไม่รู้ตัวก็ยิ่งทำให้เขินหนักเข้าไปอีก
“รู้ไหมคะ” ฟุยุสึกิพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยน
“ว่าช่วงท้ายงานมหาลัยครั้งนี้ มีการจุดดอกไม้ไฟด้วยละค่ะ”
“ฉันเองก็เป็นหนึ่งในกรรมการจัดงานครั้งนี้ด้วยสิเลยมีงานเข้ามาเรื่อยๆ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะพาโคฮารุจังไปเดินดูอยู่หรอก” ฮายาเสะพูดเสริม
“ส่วนฉันต้องเข้ากะตอนทุ่มนึง” นารุมิพูดแทรกขึ้นมา
…ไม่อยากจะเชื่อเลยไอหมอนี่ยังจะเรี่ยวมีแรงไปเข้ากะอยู่อีก ประสาทด้านไปละมั้งเนี่ย
“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวฉันอยู่เป็นเพื่อนเอง ไว้เจอกันที่ระเบียงที่เดิมแล้วกันนะ”
“โอเคค่ะ!”
คิดไปเองรึเปล่านะ?…เธอแลดูดีอกดีใจแปลกๆ
“จะว่าไปเรายังไม่ได้จุดดอกไม้ไฟที่ซื้อมาเลยเนอะ”
“นั่นสินะคะ ถ้ารู้ว่าจะมีงานแล้วจุดใหญ่อลังการแบบนี้ คงไม่ต้องถ่อตัวไปซื้อมาเยอะขนาดนั้น”
“อะไรละนั่น”
ในขณะที่ผมกำลังยิ้มเจื่อนๆ ฮายาเสะก็แซวขึ้นมา “ก็ดีแล้วหนิ ได้ไปเดทกับโคฮารุจังด้วย”
ไม่นานนัก นารุมิก็พูดเสริมในส่วนเกินความจำเป็นออกมา “หมอนี่อาบน้ำก่อนออกไปหาด้วยนะ”
“ถัมจิง!? โคฮารุจัง…ระวังตัวไว้ให้ดีนะ” ฮายาเสะพูดพร้อมมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
“ระวังอะไรเหรอคะ?” ฟุยุสึกิถามขึ้นด้วยใบหน้าสงสัย
“พอได้แล้ว!”
ผมพยายามปกปิดความเขินอายโดยการทำตัวไม่พอใจกับสิ่งที่พวกเขาพูด
ฉับพลัน เรือได้สั่นไหวขึ้นมา
“ว๊าย!” ฮายาเสะส่งเสียงแปลกๆ ออกมา
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงหัวเราะคิกคักก็ดังไปทั่วเรือ
“อย่าหัวเราะสิ”
ฮายาเสะพูดด้วยท่าทีเขินอายซึ่งนั่นยิ่งทำให้พวกเราหัวเราะอร่อยมากขึ้นไปอีก
ในยามแสงตะวันกำลังลาลับขอบฟ้า พวกเราหมุนหัวเรือแล้วมุ่งหน้ากลับมหาลัย เมื่อเรือเริ่มเข้าใกล้ฝั่ง ผมก็เริ่มได้ยินเสียงร้องเพลง เสียงดีดกีตาร์ และเสียงกลองจากวงดนตรีที่จับใจความไม่ค่อยได้ ซึ่งรวมไปถึงเสียงเชียร์ของผู้ชมด้วย
.
ถ้าใช้กล้ามเนื้อหนักไป เราจะรู้สึกปวดในวันนั้นเลยหรือเปล่านะ
แขนของผมสั่น เอวเจ็บเหมือนกระดูกจะหักได้ทุกเมื่อ แรงบีบที่มือหายไปถึงขั้นที่เปิดฝาขวดน้ำยังไม่ได้ ขาล้าจนยืนแทบจะไม่ไหว ราวกับว่าตอนนี้ร่างกายพังไปหมด
บางทีอาจจะเป็นเพราะนั่งบนเรือนานไป ทำให้ตอนนี้ผมรู้สึกว่าพื้นดินกำลังสั่นอยู่ตลอดเวลา ถึงกระนั้น ผมพยายามพาสังขารตนเอง ไปยังที่นั่งระเบียงที่เคยนั่งอยู่เป็นประจำ
ทำไมกันนะ พอรู้ว่า ‘มาเจอกันแค่สองคน’ ก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา
『ฉันมีงานในส่วนของกรรมการจัดงานอยู่』
『ส่วนฉันต้องเข้ากะตอนทุ่มนึง』
หลังฮายาเสะและนารุมิเช่นนั้น หัวของผมก็รู้สึกโล่งไปหมด นั่นเพราะจู่ๆ ความสุขก็ได้พุ่งพรวดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ บางที อาจจะเรียกความรู้สึกนี้ว่า ‘แบบนั้น’ กระมัง ใช่แล้ว มันคงเป็นแบบนั้นแน่ๆ
เราเริ่มรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ? ตอนที่เห็นเธอกำลังดูสนุกสนานเมื่อกี้รึเปล่านะ หรือว่าก่อนหน้านั้นอีก?
เพียงแค่รู้ว่ามีกันแค่สองเรา หัวใจผมก็เต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
จำนวนคนที่อยู่หน้าสหกรณ์ซึ่งมีโต๊ะพร้อมที่นั่งตั้งอยู่บริเวณระเบียงนั้นบางตา กิจกรรมที่จัดขึ้นบริเวณลานหญ้ากว้างใกล้กับประตูใหญ่ซึ่งเป็นกิจกรรมสุดท้ายของงานมหาลัยอย่าง การแข่งขันประกวดชุดยูกาตะ ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ในเวลาเดียวกันก็ได้ได้ยินเสียงของฮายาเสะที่ถูกขยายผ่านไมโครโฟนดังมาจากไกลๆ เธอคงจะทำหน้าที่เป็นพิธีกรหรืออะไรสักอย่าง การที่เธอมีส่วนร่วมในฐานะกรรมการจัดงานทำให้ผมเริ่มนับถือเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
ฟุยุสึกิกำลังนั่งดื่มชานมที่เธอมักจะดื่มอยู่เสมอที่โต๊ะประจำเพื่อรอผมอยู่อย่างใจเย็น ท่ามกลางแสงตะวันที่กำลังแปรเปลี่ยนเป็นสีส้ม
ทันใดที่เธออยู่ในระยะสายตาของผม หัวใจผมก็เต้นแรงขึ้น จากนั้นผมยกมือกุมอกก่อนจะเอ่ยทัก
“ขอโทษที ปล่อยให้รอนานรึเปล่า?”
“อืม…ไม่ค่ะ ไม่เท่าไหร่”
“ชาเย็นลงรึยัง?”
“อืม มันอยู่ในถ้วยกระดาษเลยเย็นเร็วค่ะ”
สายลมพัดโชยมา ทั้งๆ ที่ยังต้นหน้าร้อนอยู่แท้ๆ
เสียงเชียร์ของงานประกวดชุดยูกาตะดังมาจากไกลๆ ต่อด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยเอนเนอร์จี้ของฮายาเสะก้องกังวานไปทั่วบริเวณท่ามกลางแสงตะวันกำลังลับขอบฟ้า
“คาเครุคุง?”
“อะไรหรอ”
“นึกว่าจะหายไปไหนแล้วซะอีก”
“ก็ฉันพยายามทำตัวเองให้ไม่มีตัวตนนี่นะ”
“คาเครุคุงขี้แกล้งจัง”
เราหัวเราะด้วยกันตามปกติ ผมชอบบรรยากาศที่เป็นอยู่ในตอนนี้
ผ่านไปไม่นานนัก ฟุยุสึกิก็พูดขึ้น
“อยากใส่ยูกาตะจังเลย”
“ยูกาตะของตระกูลฟุยุสึกิคงจะแพงมากสินะ”
“สมัยก่อนคุณแม่เคยใส่ยูกาตะที่มีผ้าคาดเอวเป็นลายดอกฮามายู…ฉันเลยอยากลองใส่ดูบ้างน่ะค่ะ”
“ทำไมไม่ไปลองเข้าประกวดดูล่ะ”
“ฉันหรอคะ”
“อืม ถ้าเป็นเธอล่ะก็ ฉันว่าได้ที่หนึ่งแน่”
“ถ้าฉันเข้าประกวด คาเครุคุงจะโหวตให้ฉันไหมคะ?”
“แน่นอน…”
“ตอบให้จริงจังหน่อยสิคะ”
น้ำเสียงของเธอเปลี่ยนไปเป็นน้ำเสียงที่ดูจริงจังจนผมสะดุ้งเล็กน้อย
“แน่นอน ฉันจะโหวตให้เธออยู่ดี”
“ถึงฉันจะมองไม่เห็นน่ะหรอคะ? คาเครุคุงยังจะเลือกฉันเป็นที่หนึ่งอยู่ดีหรอคะ”
เสียงของเธอดูสั่นเครือ
เสียงนั้นแผ่วเบาจนเหมือนจะเลือนหายไปทุกเวลา
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเธอดูกังวลขนาดนี้
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องพิการล่ะ”
ผมพูดออกไปเช่นนั้น โดยกังวลว่าเธออยากได้ยินคำพูดแบบนี้รึเปล่าในเวลาเดียวกัน
แต่ถึงอย่างนั้นー
“แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็จะยังเลือกเธออยู่ดี”
ใบหน้าของฟุยุสึกิเป็นสีแดงระเรื่อ บางทีอาจจะเพราะแสงอาทิตย์ยามเย็นรึเปล่านะ
“นั่นมันเหมือน…”
ーเหมือนคำสารภาพรักเลยนะ
ฟุยุสึกิหัวเราะพลางพูดกลบเกลื่อน แต่การพูดกลบเกลื่อนแบบนี้มันขี้โกงไปหน่อยไหม
“ไม่ใช่แบบนั้นๆ ฉันหมายถึงรูปร่างหน้าตาน่ะ”
“รูปร่างหน้าตา?”
เมื่อเห็นเธอดูงงๆ ด้วยใบหน้าเรียบเฉยเช่นนั้น ผมก็รู้สึกเขินขึ้นมา
“ไม่ใช่แบบนั้น ที่ฉันจะสื่อคือฟิลลูกคุณหนูอย่างเธอใส่ยูกาตะบ่อยจนชินน่ะ”
อะไรละคะนั่น ฟุยุสึกิหัวเราะเบาๆ แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องลงมาทำให้เธอดูสวยเป็นประกาย
กว่าจะรู้ตัวอีกที
“ฉันชอบน่ะ”
ผมก็พึมพำออกมาเช่นนั้นเสียแล้ว
‘เอ๊ะ?’ ฟุยุสึกิทำหน้าราวกับเวลาได้หยุดเดิน
ผมตกใจและรีบแก้ตัว “ฉันหมายถึงเธอชอบดอกไม้ไฟจริงๆ นะ หลังเห็นเธอชอบพูดถึงดอกไม้ไฟอยู่บ่อยๆ น่ะ”
ฟุยุสึกิหัวเราะเบาๆ แล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ฉันคิดว่า ถ้าเราจุดดอกไม้ไฟกันเองได้ก็คงดีน้า ค่ะ มันคงจะกลายเป็นวันที่พิเศษเอามากๆ แล้วมันเป็นความทรงจำที่จะอยู่ไปชั่วชีวิตเลยล่ะค่ะ”
ดูเหมือนว่าเธอกำลังจินตนาการถึงดอกไม้ไฟบนฟ้าที่ตนไม่มีโอกาสได้มองเห็น
“ที่เราซื้อดอกไม้ไฟกันวันก่อน มันหนักมากเลยสินะคะ”
“ตอนนี้นอนกองอยู่มุมห้องเหงาๆ เลยล่ะ”
“ถ้าเกิดจะจุดดอกไม้ไฟในงานมหาลัย ก็อยากจะให้บอกกันสักหน่อยค่ะ”
“เมื่อไหร่ดีล่ะ?”
“อืม…ในวันปฐมนิเทศดีไหมคะ”
” ‘ขอต้อนรับนักศึกษาใหม่ทุกคน ถึงจะแจ้งล่วงหน้าไกลไปหน่อยก็เถอะ งานมหาลัยปีนี้เราจะมีการจุดดอกไม้ไฟนะครับ’ ฉันว่าทุกคนน่าจะงงกันนะ “
ผมพูดพลางหัวเราะ จากนั้นฟุยุสึกิก็หัวเราะตาม
เมื่อผมมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เมฆสีดำก็เข้ามาปกคลุม สายลมอันเย็นเฉียบเริ่มพัดผ่าน
【ผู้ชนะก็คือ…!】
เสียงของฮายาเสะดังขึ้นพร้อมกับเสียงเชียร์ที่ตามมา
เรานั่งฟังอยู่ด้วยกัน ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ พลางเม้ามอยเรื่องที่ไม่ได้มีความหมายอะไรอย่าง ‘พรุ่งนี้ยูโกะจังเสียงแหบแน่ๆ ‘ เอย ‘ทุกคนพยายามเต็มที่เลยน้า’ เอย
ขณะพวกเราใช้เวลาและนั่งฟังเสียงเหล่านั้นจากระยะไกลไปด้วยกัน
ทันใดนั้น เม็ดฝนเริ่มตกลงมาอย่างประปราย กลิ่นฝนเริ่มลอยโชยในอากาศ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครา ฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างหนักเสียแล้ว
งานดอกไม้ไฟจึงถูกยกเลิก เราสองคนตัดสินใจเดินไปยังแมนชั่นฟุยุสึกิใต้ร่มคันเดียวกัน
เมื่อถึงหน้าแมนชั่นและกำลังลากันー
วินาทีนั้น ผมก็ได้จูบกับฟุยุสึกิ หญิงสาวผู้หลบอยู่ใต้ร่มคันนั้นเป็นครั้งแรก
โปรดติดตามต่อในบทที่ 4: มนจะ (ชื่ออาหารที่ราดบนกระทะร้อนแล้วก็ค่อยๆ ย่างกินของญี่ปุ่น)