ผมได้ตกหลุมรักเธอผู้มองไม่เห็น ในค่ำคืนอันโปร่งใส - ตอนที่ 3.2 รัก
โดยปกติแล้วเส้นทางนี้จะใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง แต่เนื่องจากฟุยุสึกิเดินได้ไม่เร็วมาก พวกเราจึงใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า กว่าจะถึงอาซากุสะบาชิ
“เหนื่อยไหม”
“ไหวอยู่ค่ะ”
“…แต่ฉันไม่ไหวนะ”
“ได้พูดอะไรออกมารึเปล่าคะ?”
“ไปกันเถอะ”
ฟุยุสึกิเดินบน ทางอักษรเบรลล์สีเหลืองพร้อมใช้ไม้เท้าเคาะพื้นไปด้วย ถ้าหลับตาแล้วเดินเองจะทำได้ไหมนะ ไม่ไหวแน่ ผมพลางคิดเช่นนั้นและได้ข้อสรุปในทันที
“เลี้ยวซ้ายนะ”
ผมทำการบ้านสำหรับการเดินทางไปยังจุดหมายมาล่วงหน้า โดยใช้มือถือนำทางเธอ
มีผู้ชายคนหนึ่งเดินก้มเล่นมือถือมาจากทางด้านหน้า ผมรู้สึกลางไม่ดีอย่างไรบอกไม่ถูก ทันทีที่คิดว่าไม่ได้การแล้ว ผมรีบเข้าไปจับแขนของฟุยุสึกิ ส่วนผู้ชายคนนั้นก็ได้ชนกับเธอ เขาหันกลับมามองแวบหนึ่งก่อนเดินต่อไป
เห้ย?
ผมชักโมโหขึ้นมา
ชนแล้วหันกลับมามองแค่แปปเดียวเนี่ยนะ ไม่คิดจะขอทงขอโทษไรกันเลยรึไง!? ไม่รู้หรือไงว่าเธอมองไม่เห็นน่ะ!
ขณะที่ผมกำลังจะตะโกนออกไป ฟุยุสึกิก็มาจับปลายแขนเสื้อผมแล้วส่ายหัวบอก “ไม่เป็นไรค่ะ”
“แต่ว่า…”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
──ฉันเจอแบบนี้เป็นเรื่องปกติค่ะ
ฟุยุสึกิกล่าวต่อ
“แต่ว่า…” ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่หายโมโห
“เขาก้มดูมือถืออยู่ใช่ไหมล่ะคะ? บางทีเขาอาจได้รับข้อความสำคัญจากคนสำคัญก็ได้”
ฟุยุสึกิยิ้ม “เสียงแหลมขึ้นนะคะ อย่าโกรธไปเลยค่ะ” เธอกล่าวเช่นนั้นพร้อมรอยยิ้ม
ทำไมเธอถึงเข้มแข็งได้ขนาดนี้
ผมรู้สึกราวกับถูกตักเตือน จึงตอบกลับไปว่า “เข้าใจแล้ว” แม้จะไม่แน่ใจว่าตัวเองเข้าใจอะไรกันแน่ก็ตาม
แต่แล้ว ความโกรธของผมค่อยๆ หายไป
ในขณะเดียวกัน ผมรู้สึกเจ็บปวดที่เกือบจะตะโกนออกไปว่า “เธอมองไม่เห็น”
เพียงเพราะตัวเรา ที่เกือบจะพูดอะไรที่ไม่ถูกกาลเทศะออกไป
ผมสังเกตเห็นฟุยุสึกิดูเหนื่อยเล็กน้อย จึงทักเธอว่า “เข้าไปนั่งพักในคาเฟ่สักหน่อยไหม?”
หลังจากพวกเราเข้าร้านคาเฟ่จากจังหวัดไอจิที่อยู่ใกล้ๆ พนักงานต้อนรับกล่าวยินดีต้อนรับด้วยรอยยิ้มจากนั้นก็พาพวกเราไปที่โต๊ะ เมื่อนั่งลง พนักงานอีกคนหนึ่งก็เข้ามารับออเดอร์ และเมื่อผมสบตากับพนักงานคนนั้น ผมก็ได้ตัวแข็งทื่อ
“ฮายาเสะ?”
เพราะคนตรงหน้าคือ ฮายาเสะ ยูกะ ที่ใส่ผ้ากันเปื้อนพร้อมผ้าโพกหัว
“เอ๊ะๆ วันนี้มีอะไรเกิดขึ้นหรอ”
ฮายาเสะกระพริบตาด้วยความประหลาดใจ
“อ๊ะ โคฮารุจัง”
“อ๊ะ ยูกะจังนี่นา อรุณสวัสดิ์”
ฟุยุสึกิยิ้มและพูดขึ้นหลังได้ยินเสียงของฮายาเสะ เสียงของเธอสูงขึ้นหนึ่งระดับ
“โซราโนะคุงอยู่กับโคฮารุจังสิน้า…”
ฮายาเสะพูดด้วยสีหน้าราวกับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง ผมจึงรีบสั่ง “กาแฟเย็น เซ็ต C” โดยทันที
“ไม่ต้องรีบสั่งขนาดนั้นก็ได้น่า”
“เธอทำงานอยู่ไม่ใช่รึไง”
หลังจากพูดแบบนั้น ฟุยุสึกิก็หัวเราะคิกคัก
ส่วนฮายาเสะก็จดออเดอร์
“ว่าแต่ วันนี้มาทำอะไรหรอ”
“เธอบอกอยากจุดดอกไม้ไฟน่ะ”
“ดอกไม้ไฟเหรอ”
“ยูกะจังอยากมาเล่นด้วยกันไหม ดอกไม้ไฟน่ะ”
“เอ๊ะ อยากๆ! เล่นเมื่อไหร่หรอ?”
จู่ๆ ฟุยุสึกิก็โยนมาถามผมว่า “เมื่อไหร่ดีคะ”
“เอ๊ะ ถามฉันหรอ”
ฟุยุสึกิอย่างยิ้มอ่อนโยน ทำเอาใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ
“วันนี้เรามาซื้อดอกไม้ไฟจุดขึ้นฟ้าชุดใหญ่ที่สุดค่ะ”
ฟุยุสึกิตอบอย่างร่าเริง
“เห็นว่ามีงบตั้งล้านเยนแหน่ะ”
“อย่าดูถูกตระกูลฉันเชียวนะคะ”
“เอ๊ะ” “ถามจริง?”
หลังจากที่ผมกับฮายาเสะพูดออกมาพร้อมกัน ฟุยุสึกิก็หัวเราะเบาๆ
ฮายาเสะแลดูจะตกใจจนตาค้างกับการโต้ตอบของเธอ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พวกเธอสนิทกันขนาดนี้เนี่ย”
“ดูสนิทกันหรอ? ไม่ใช่ว่าโซราโนะคุงทำหน้าไม่พอใจตลอดเวลาที่คุยกับฉันหรอ?”
“ก็ไม่นะ ตอนนี้ยิ้มมุมปากอยู่เนี่ย”
ฮายาเสะตอบบิดเบือนความเป็นจริง
“จริงเหรอคะ! ขอจับหน้าหน่อยสิคะ!”
“ไม่เอา! อะ…เอ่อ คือ…มาสั่งอาหารกันดีกว่า!”
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงอยากจับหน้า แต่ยิ่งไปกว่านั้นจะให้อายาเสะยืนรอนานไม่ได้
“ขอโทษค่ะ ฉันมองไม่เห็นเมนูน่ะค่ะ”
ขณะที่ผมพลางดูเมนูแทน ฮายาเสะก็แนะนำชานมเย็นขึ้นมา เป็นนมเย็นที่ดูเหมือนจะเป็นของขึ้นชื่อของจังหวัดไอจิ ปริมาณดูเหมือนจะมากกว่าปกติถึงสองเท่า
“เยอะขนาดนี้คิดว่าจะดื่มหมดเหรอ”
ผมชี้ไปที่รูปในเมนู ฮายาเสะกลับทำหน้างงๆ
แม้ว่าผมขอโทษเธอไป เธอก็ยังคงดูงงๆ อยู่ดี
“อ๊ะ ขอโทษนะ”
…มันเป็นแบบนี้แหละ
ผมไม่ชอบเวลาที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์อะไรแบบนี้ มันรู้สึกอึดอัด
“ถ้าเป็นแบบร้อนจะมีขนาดปกตินะ”
ฮายาเสะพูดเช่นนั้น ฟุยุสึกิก็ยิ้มแล้วตอบ “งั้นเอาแบบนั้นแล้วกัน”
หลังจากนั้น ฮายาเสะก็มาเสิร์ฟ มีไข่ต้มแถมมาด้วยคงจะเป็นเซอร์วิสจากฮายาเสะสินะ ตอนนี้บนโต๊ะมีทั้งกาแฟ ชานมร้อน ขนมปังปิ้งหนา พร้อมเนยสำหรับทาขนมปัง ถั่วแดง และไข่ต้ม เมื่อผมกล่าวขอบคุณ ฮายาเสะก็ยิ้มให้แล้วบอก “ตามสบายจ้า” ก่อนจะเดินจากไป
ฟุยุสึกิยื่นมือไปบนโต๊ะช้าๆ
“ชานมร้อนอยู่ตรงหน้าเธอนะ”
ผมพูดพลางทาเนยบนขนมปัง ฟุยุสึกิตอบกลับว่า “ขอบคุณค่ะ” พร้อมค่อยๆ ลูบจานรองถ้วยอย่างเบามือ เธอสอดนิ้วเข้าไปในหูจับแล้วยกถ้วยขึ้นอย่างช้าๆ หลังจากจิบไปนิดหน่อย เธอแลบลิ้นออกมาแล้วบอกว่า “ร้อนจังค่ะ”
“ระวังหน่อยสิ”
“อร่อยจัง”
เธอหัวเราะเบาๆ ด้วยท่าทางที่น่ารักจนผมรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย
ไม่รู้ทำไม แม้จะไม่ได้สบตาเธอ แต่ผมรู้สึกเหมือนเราสบตากันอยู่ตลอด และทุกครั้งที่รู้สึกแบบนั้น มันผมรู้สึกประหม่าจนหัวใจเต้นแรง
ขณะที่ผมกำลังตั้งหน้าตั้งตาทาถั่วแดงบนขนมปังปิ้ง รู้ตัวอีกทีถั่วแดงก็กองพูนซะแล้ว
“ไม่กินเหรอ?”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ”
“อยากกินไหม”
“จะป้อนเหรอคะ?”
“เปล่า”
“งกจัง”
“วันนี้เธอจะกินอะไร”
“จริงๆ แล้ว ฉันไม่ชอบให้คนมาเห็นเวลาฉันกินของน่ะค่ะ”
“นั่นสินะ ฉันได้ยินมาว่าผู้หญิงหลายคนเป็นแบบนั้น”
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ”
ฟุยุสึกิพูดสั้นๆ แค่นั้น แล้วก็ยิ้มให้
“ฉันดีใจนะคะที่คุณปฏิบัติตัวต่อฉันเหมือนผู้หญิงทั่วๆ ไปแบบนี้”
พอเห็นรอยยิ้มของฟุยุสึกิ ผมก็รู้สึกเขินจนต้องกัดขนมปังปิ้งเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ระหว่างที่พวกเราทานกันอยู่ เธอก็ยังคงยิ้มอยู่ตลอดเวลา
เพราะแบบนี้แหละーーมันเลยทำให้ใจอ่อน
“นี่”
ผมตัดสินใจถามสิ่งที่คิดมาตลอด
“ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรนะ”
.
หลังจากออกจากคาเฟ่ พวกเราก็ไปเดินยังร้านขายดอกไม้ไฟโดยเฉพาะ
ที่ร้านมีดอกไม้ไฟแบบถือหลากหลายชนิด ดอกไม้ไฟใหญ่สุดถึงห้าสิบเซนติเมตร ซึ่งถือว่าเป็นขนาดใหญ่มากสำหรับการใช้ในบ้าน ซึ่งเหมาะสมแล้วที่มาอยู่ในร้านเฉพาะทางแบบนี้
พวกเราเดินดูดอกไม้ไฟหลากหลายร้าน และซื้อดอกไม้ไฟตามที่เธออยากได้ แต่กว่าจะรู้ตัวอีกที…ถุงพลาสติกจากแต่ร้านค่อยๆ เข้ามาอยู่ในกำมือและหนักอึ้งในที่สุด
“ให้เอากลับบ้านได้จริงๆ เหรอคะ?”
“ได้สิ อาจจะจุดที่มหาลัยได้ด้วย แต่เก็บไว้ที่หอพักน่าจะสะดวกกว่านะ”
“ขอบคุณนะคะ”
เราคุยกันอยู่หน้าโรงงานขายส่งดอกไม้ไฟที่อาซากุสะบาชิ ลูกค้าคนอื่นเริ่มหลั่งไหลเข้ามาร้านจนกลายเป็นว่าเรากำลังขวางทางพวกเขาอยู่ ด้วยเหตุนั้นพวกเราเลยย้ายจุคุยมาคุยต่อที่ใต้ต้นไม้ริมถนน
“จุดดอกไม้ไฟกันเมื่อไหร่ดีคะ?”
ฟุยุสึกิแลดูตื่นเต้นจนแทบจะกระโดดโลดเต้น
“ต้องขออนุญาตทางมหาลัยก่อนรึเปล่า?”
ฟุยุสึกิตอบกลับด้วยเสียงดังว่า “งั้นลองถามยูโกะจังดูดีไหมคะ?” ช่วยเบาเสียงกว่าดีได้ไหม…เข้าใจนะว่าดีใจ ผมพลางคิดเช่นนั้นจนกระทั่ง หันไปมองเธอที่แหงนมองฟ้าพร้อมประกายตาในแววตาของเธอ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมกลืนคำพูดดังกล่าวลงคอไป
“เราซื้อดอกไม้ไฟกันเสร็จแล้วด้วยสิ ทำอะไรกันต่อดี?”
“เอ๊ะ ยังอยากไปเดทกับฉันต่อเหรอคะ?”
“มะ…มันไม่ใช่เดทสักหน่อย…”
“ฟุๆ ล้อเล่นค่ะ แต่ดอกไม้ไฟก็หนักมากแล้วนะคะ ฉันว่าเรากลับกันก่อนดีกว่าเพราะมันคงเป็นภาระมากพอสมควรแล้ว”
เธอคงเดาได้ว่ามือข้างหนึ่งของผมถือถุงดอกไม้ไฟที่ซื้อมาจากหลายๆ ร้านอยู่
“แถมถ้าเดินไปรอบๆ ทั้งอย่างงี้ ตำรวจอาจจะคิดว่าเราพกของอันตรายมาก็ได้ ดีไม่ดีอาจจะถูกเชิญไปสน.ด้วยซ้ำ”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันจะถูกทำให้เป็นคนสมรู้ร่วมคิดด้วยรึเปล่าคะ?”
“ในกรณีนี้ฉันว่าเธอน่าจะเป็นตัวการหลักมากกว่านะ”
“แซวเก่งจังนะคะ”
ฟุยุสึกิหัวเราะเสียงใสราวกับเสียงกระดิ่ง ผมก็เริ่มรู้สึกสนุกขึ้นมาที่ทำให้เธอหัวเราะ
“งั้นเรากลับกันด้วยเรือโดยสารไหมคะ?”
“เรือโดยสารหรอ?”
บ้านเกิดของผมก็มีเหมือนกัน แต่นึกไม่ถึงว่าที่โตเกียวของแบบนี้อยู่ด้วย
เท่าที่ฟังจากปากฟุยุสึกิ ดูเหมือนว่าจะมีบริการเรือโดยสารวิ่งจากอาซากุสะบาชิผ่านแม่น้ำสุมิดะแล้วไปยังโอไดบะ แถมเจ้าตัวยังบอกอีกว่าเคยขึ้นมาแล้ว ถึงจะนานมาแล้วก็เถอนะ แต่นั่นก็หมายความว่าเรากลับไปสึกิชิมะโดยใช้เรือโดยสารนี้ได้
ผมเกือบพลั้งปากออกไปว่า “ขึ้นได้หรอ?” แต่ก็ได้กลืนคำพูดนั้นลงคอ
แม้เธอจะมองไม่เห็น แต่เธอก็ยังขึ้นเรือได้ เธอคงรับรู้ได้จากเสียงน้ำทะเลและการเคลื่อนไหวพร้อมสายลมที่พัดผ่านตัวเรือ
“รอแป๊บนึงนะ เดวฉันขอเช็คดูก่อน”
ผมเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาหาจุดขึ้นเรือ หลังจากลองเช็คดูแล้วผมก็ถึงกับว้าว เพราะมันอยู่ใกล้ๆ นี้เอง
“อ๊ะ เหมือนพอข้ามสะพานคุรามาเอะไป จะมีจุดขึ้นเรืออยู่ตรงเรียวโงกุอยู่นะ แล้วเหมือนวิ่งไปเกือบถึงมหาลัยเลยล่ะ”
ฟุยุสึกิที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจแล้วกล่าว ขอบคุณค่ะ
“ขอบคุณทำไมหรอ?”
“ก็แบบว่าใจดีจังนะ ที่อุตส่าห์หาข้อมูลให้น่ะค่ะ”
ฟุยุสึกิพูดเช่นนั้นพร้อมรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มอ่อนโยนเกินกว่าที่ผมจะตบตาเธอได้
“ไม่เห็นต้องขอบคุณกันเลย เป็นเรื่องปกติจะตาย”
“ถ้าบอกว่าเป็นเรื่องปกติ แสดงว่าคาเครุคุงมีใบอนุญาติความใจดีเลเวลสองแล้วนะคะ”
“ใบอนุญาต? อะไรล่ะนั่น”
ขณะที่ผมพาฟุยุสึกิไปยังจุดขึ้นเรือ พวกเราก็พลางพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่นานนักก็ได้มาถึงยังที่หมาย ผมจึงเข้าไปซื้อตั๋วในอาคารของทางท่าเรือ จากนั้น พวกเราก็เดินขึ้นเรือซึ่งอยู่ด้านหลังอาคารนั้น
ซึ่งดูเหมือนว่า เรือโดยสารจะขึ้นทางท้ายเรือ โดยมีทางลาดลงไปในส่วนของตัวเรือซึ่งมีที่นั่งเรียงกันเป็นตับๆ นอกจานี้ยังบันไดขึ้นไปยังดาดฟ้าซึ่งสามารถมองวิวทิวทัศน์แม่น้ำสุมิดะได้ด้วย
“อยากนั่งตรงไหน?” ผมถาม ฟุยุสึกิตอบโดยไม่ลังเลว่า “ดาดฟ้าค่ะ!”
เพื่อที่จะขึ้นบันไดแคบๆ บนเรือ ผมจำเป็นต้องเดินนำแล้วจับมือฟุยุสึกิตามหลัง
“มือคาเครุคุงอุ่นจังเลย”
“ยังไงก็เถอะ ระวังบันไดด้วยนะ ถ้าหกล้มเดวจะเจ็บตัวเอา”
ฟุยุสึกิที่ดูไม่กังวลได้หัวเราะออกมาเบาๆ
ดาดฟ้าไร้ซึ่งที่นั่งที่ถูกล้อมรอบด้วยราวกันตกรูปทรงสี่เหลี่ยม
ดูเหมือนว่าผู้โดยสารคนอื่นๆ จะนั่งอยู่ภายในตัวเรือกันหมด ทำให้ที่นี่ไม่ต่างอะไรกับพื้นที่ส่วนตัวสำหรับพวกเรา
“จับราวกันตกที่อยู่ด้านหน้าประมาณตรงเอวไว้ดีๆ นะ”
เสียงเครื่องยนต์ต่ำๆ ดังขึ้น เรือเริ่มขยับเล็กน้อยไปตามสายน้ำ
ผมพาฟุยุสึกิไปยังหัวเรือ โดยให้เธอจับราวกันตกไว้
“ขอบคุณค่ะ ตื่นเต้นจังเลย”
“ตื่นเต้นจริงๆ สินะ”
“ใช่สิคะ ฉันไม่คิดเลยว่าจะได้มีโอกาสแบบนี้ในชีวิต”
“ถ้าไม่…”
ผมเกือบจะหลุดปากออกมาว่า “ถ้าไม่ติดอะไร ยังมีฉันที่คอยพาไปได้ทุกที่อยู่นะ” แต่ก็ได้หยุดตัวเองไว้
ผมเอียงคอสงสัยตัวเองว่า ทำไมถึงคิดแบบนั้น อยากจะเจอเธอนอกมหาลัย? อยากรู้จักกับเธอมากขึ้น? หรืออะไร
ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น
ทันใดนั้น ผมก็เหลือบไปมองเบื้องหน้า เห็นผิวน้ำของแม่น้ำสุมิดะทอดยาวไปสุดสายตา
กลิ่นน้ำและสายฝนโปรยปรายในหน้าร้อนอวลโชยมา นอกจากนี้ยังกลิ่นน้ำมันหรือเชื้อเพลิงจากเรือแทรกเข้ามาด้วย
แม้จะเป็นกลิ่นที่ไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่ผิวน้ำของแม่น้ำสุมิดะก็ได้สะท้อนท้องฟ้าสีฟ้าออกมา มันดูสวยงามอย่างเรียบง่าย
“สวยไหมคะ?”
ฟุยุสึกิถามขึ้น ทำให้ผมตระหนักว่าผมนิ่งเงียบไป พอคิดว่าเธอไม่สามารถมองเห็นภาพผิวน้ำอันสวยงามนี้ได้ ผมก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา
“คงจะ…มองไม่เห็นใช่ไหม?”
“ถึงจะมองไม่เห็น แต่ฉันก็รู้สึกสนุกนะคะ ตอนที่ฉันยังมองเห็นอยู่ ฉันคิดว่าน่าจะเคยมองวิวจากที่นี่อยู่ครั้งหนึ่ง ฉันกำลังนึกถึงภาพนั้นค่ะ”
“ตอนนั้นมันเป็นยังไงเหรอ?”
“อืม~ น่าจะเป็นตอนที่มีเมฆปกคลุมนะคะ”
“วันนี้ท้องฟ้าสดใส แล้วก็ท้องน้ำถูกสะท้อนด้วยสีฟ้าของท้องฟ้า มันสวยมากเลยล่ะ”
ทันทีที่ผมพูดเช่นนั้น ฟุยุสึกิก็หันหน้ามาทางผม
“แม้ว่าฉันจะมองไม่เห็น แต่คุณก็ยังเล่าให้ฟังว่ามันสวยแค่ไหน ใจดีจังนะคะ”
“ก็เพราะวันนี้ฉันเพิ่งได้รับใบอนุญาตความใจดีเลเวลสองมายังไงล่ะ”
เมื่อผมพูดแบบนั้น ฟุยุสึกิก็หัวเราะเบาๆ
จากนั้น เสียงประกาศเรือเตรียมเคลื่อตัวก็ดังขึ้นจากในตัวเรือ
“จับราวไว้ให้แน่นนะ”
“ไว้ใจได้เลยค่ะ”
ฟุยุสึกิปล่อยมือจากราวข้างหนึ่งแล้วกำหมัดขึ้น ผมจึงบอกให้เธอจับราวให้ดีๆ อีกครั้ง เธอก็หัวเราะขึ้นอีกครั้ง
เรือโดยสารวิ่งบนแม่น้ำสุมิดะด้วยความเร็ว เร็วกว่าที่ผมคิดไว้ ลมแรงพัดเข้าหน้า เสียงเครื่องยนต์ดังสนั่น เรือแกว่งไปมาตามคลื่น และละอองน้ำเล็กๆ กระเซ็นเข้ามาโดนแก้ม ชวนรู้สึกดี
“ลมเย็นสบายดีเนอะ”
“นั่นสินะคะ ขอบคุณที่พาขึ้นเรือนะคะ”
เรือโดยสารแล่นไปตามแม่น้ำสุมิดะอันกว้างใหญ่ ข้างสองฝั่งแม่น้ำเต็มไปด้วยอาคารสูงใหญ่ มีสวนสาธารณะพร้อมต้นไม้สีเขียวปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ ในยามท้องฟ้าแจ่มใส เรือแล่นผ่านใต้สะพานและลอดใต้ทางด่วน
ผมถ่ายทอดวิวทิวทัศน์ที่เห็นให้ฟุยุสึกิฟังทุกอย่าง ผมบอกเธอถึงสิ่งที่ผมเห็นและรู้สึก
“อ๊ะ!”
“มีอะไรเหรอคะ?”
“สะพานข้างหน้าเขียนว่า ‘สะพานเอไต’ แต่ที่สำคัญมันเตี้ยกว่าสะพานอื่นๆ ถ้าหัวชนคงเจ็บแน่คงต้องก้มตัวลงหน่อยนะ!”
ฟุยุสึกิปรับท่าเป็นนั่งย่องๆ โดยยังคงจับราวไว้ ผมเองก็ทำแบบนั้นเช่นกัน และแล้วเราก็ผ่านสะพานเอไตไปได้อย่างปลอดภัย
“โทษทีนะ ที่จริงมันก็ไม่ได้เตี้ยถึงขั้นหัวชนหรอก มันหลอกตาน่ะ”
ฟุยุสึกิที่นั่งย่องๆ อยู่ได้มองขึ้นมาแล้วยิ้มให้ผม กลายเป็นว่าหน้าของพวกเราใกล้กันมากกว่าที่คิด
“อะไรล่ะคะนั่น”
ฟุยุสึกิยิ้มอย่างสดใสจนผมรู้สึกอยากพาเธอไปเที่ยวอีกครั้ง
อ๋อ อย่างงี้นี่เอง ในที่สุดผมก็ตระหนักได้
บางทีอาจจะเพราะเธอมีอารมณ์ขัน คงเป็นที่สนใจของผู้คน
สุดยอดไปเลยนะ ที่หัวเราะออกได้แม้จะมองไม่เห็นเนี่ย ผมคิดเช่นนั้น
ไม่รู้ทำไม แต่สำหรับผมแล้วเธอดูเป็นคนที่สดใสมากคนหนึ่งเลย
ใบหน้าเปื้อนยิ้มของเธออยู่ในระยะ ใกล้จนแทบได้ยินเสียงลมหายใจกันและกัน เสียงน้ำดังซ่าหลังเรือขับผ่านผิวน้ำดังขึ้นอีกครั้ง หัวใจผมแรงไปพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ แสงตะวันสาดส่องมากระทบผิวน้ำด้านหลังของเธอ ส่องแสงเป็นประกายสวยงามระยิบระยับ
ผมเขินจนถึงขั้นเบือนหน้าหนีแล้วลุกขึ้นยืน
“คงถึงปากอ่าวโตเกียวแล้วสินะ”
ผิวน้ำกว้างใหญ่แผ่ขยายออกไป กลิ่นอายของทะเลเริ่มโชยมา
“แสดงว่าใกล้ถึงแล้วสินะคะ”
“เหมือนจะยังนะ เพราะเท่าที่ดูๆ ยังไม่เห็นมหาลัยเลย”
เรือค่อยๆ หันซ้าย คงจะใกล้ถึงท่าเรือเอจูจิมะแล้ว
ทันใดนั้นเอง
เรือโดยสารก็ได้กระแทกเข้ากับคลื่นจนเรือโคลงเคลงเล็กน้อย ฟุยุสึกิเกือบเสียการทรงตัว ผมจึงรีบใช้มือข้างหนึ่งจับไหล่เธอไว้ ไหล่ของเธอนั้นนุ่มราวกับกำลังจับผ้าฝ้าย
“ว้าย!”
“อ๊ะ ขะ…ขอโทษนะ”
ผมรีบขอโทษโดยทันที
“ไม่เป็นไรค่ะ” ฟุยุสึกิตอบกลับพร้อมส่งรอยยิ้มให้
“วันนี้สนุกมากๆ เลยล่ะค่ะ”
ผมมองฟุยุสึกิที่ยิ้มอยู่ในอ้อมแขนของผม และนั่นก็ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงอย่างไม่ทันตั้งตัว
.
“กลับมาแล้วค่า~”
ฉันกลับมาถึงห้องของตัวเองที่อยู่ชั้นสี่สิบหกของแมนชั่นแห่งหนึ่งย่านสึกิจิมะ พร้อมกับพูดลอยๆว่า “วันนี้สนุกจัง~” ออกมา จากนั้นก็เริ่มนับบานประตูจากราวจับตั้งแต่ทางเข้ามายังห้องของตัวเอง ซึ่งประตูที่สองก็คือห้องของฉัน
หลังจากออกจากคาเฟ่ เรากับคาเครุคุงก็เดินเที่ยวตามร้านขายดอกไม้ไฟหลายร้านในย่านอาซากุสะบาชิ อุตส่าห์เดินเหนื่อยจนขาลากเพื่อเรา แล้วยังไปขึ้นเรือโดยสารด้วยกันอีก วันนี้ทั้งวันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
ฉันใช้มือคลำหาสวิตช์ไฟตามผนัง แล้วเปิดไฟขึ้น แม้จะเปิดไฟแล้ว แต่ฉันก็มองไม่เห็นแสงไฟอยู่ดี นี่เป็นเพียงแค่ความเคยชิน เพราะการที่คิดว่าไฟเปิดแล้วทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านจริงๆ
“กลับมาแล้วเหรอ? ลูกยังไม่ได้กินอะไรมาใช่ไหม” แม่ของฉันทักขึ้น
“กลับมาแล้ว~ วันนี้จะทำอะไรหรอ?”
“แม่ว่าจะทำเทมปุระน่ะ”
“โอเคค่า”
วันนี้ตัวฉันเดินทั้งวันจนหิวโซ
ถึงฉันจะหิวเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็ยังรู้สึกไม่บายใจที่จะกินข้าวต่อหน้าคนอื่น เว้นแต่ตอนอยู่ห้อง ที่ฉันสามารถกินได้เองโดยไม่ต้องพึ่งใคร แม่จะบอกฉันเสมอว่าของแต่ละอย่างวางอยู่ตรงไหน แล้วฉันก็จะค่อยๆ ลองคลำหาจานและนำอาหารเข้าปากดู ถึงจะชินแล้ว แต่ฉันก็อดกังวลไม่ได้ว่าจะมีอะไรเลอะที่ปากหรือเปล่า
โดยเฉพาะต่อหน้าคาเครุคุง ฉันยิ่งรู้สึกกังวลเข้าไปใหญ่
“เดตสำเร็จแล้วล่ะสิ”
“แม่รู้ได้ยังไงว่าหนูไปเดต”
“ก็ดูจากการแต่งหน้าที่ดูตั้งใจเป็นพิเศษ แถมลูกยังลองชุดตั้งหลายตัวแหน่ะ”
ฉันแต่งหน้าเองได้โดยอาศัยความจำและการสัมผัสใบหน้า ส่วนเสื้อผ้าใช้ความรู้สึกจากการสัมผัสเนื้อผ้าเอา ส่วนเรื่องสีก็ไหว้วานแม่มาช่วย ถึงสุดท้ายจะให้แม่ช่วย แต่ฉันก็สามารถแต่งตัวเองได้
วันนี้ฉันตั้งใจแต่งเป็นพิเศษ เพราะอยากให้คาเครุคุงมองฉันดีๆ ฉันตื่นเช้ากว่าปกติ จะบอกว่าตื่นเองเลยก็ไม่ผิด ฉันอาบน้ำและเตรียมตัวด้วยความตั้งใจ ถึงจะใช้เวลาไปเยอะ แต่ก็ไม่รู้สึกว่าลำบากอะไร กลับกันซะอีก ฉันคิดอย่างเดียวว่าอยากให้เขามองฉันดีๆ เพียงแค่นั้นก็ทำให้รู้สึกสนุกจนลืมความลำบากไปหมดแล้ว
แค่เตรียมตัวก็สนุกขนาดนี้ พอได้เจอคาเครุคุงจริงๆ มันจะขนาดไหนกันนะ ตอนนั้นฉันคิดพลางๆ
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะ” เสียงหัวเราะของแม่ดังขึ้น
ดูเหมือนตอนที่คิดถึงตอนเดตกับคาเครุคุง ฉันจะเผลอยิ้มออกมา ฉันเขินจนรีบแก้ตัวว่า “หนูไม่ได้ยิ้มสักหน่อย~”
คาเครุคุงพาฉันไปดูดอกไม้ไฟที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเยอะแยะ แถมยังบอกให้ฟังอย่างละเอียดอีกว่าแต่ละดอกมีลักษณะอะไรยังไง รวมไปถึงมีคำแนะนำอะไรบ้าง เขาพูดเยอะมากจนเสียงแหบไปเลย
นั่นเลยเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันคิดว่าเขาเป็นคนที่อ่อนโยนมาก
แม้จะเป็นเดตสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำ แต่ฉันดีใจที่เขาแบ่งเวลามาให้ฉัน และเวลาที่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนั้น มันทำให้หัวใจฉันเต้นแรง
คาเครุคุงก็ใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนมากในบางครั้ง เป็นเสียงที่ดูเหมือนเขากำลังพยายามจะไม่ทำร้ายฉัน พยายามที่จะไม่ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บ
『ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไรนะ』
อย่างตอนที่เขาพูดแบบนั้น ฉันรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนนั้น
“มองไม่เห็น ลำบากน่าดูเลยนะ” “ออกไปข้างนอกได้เหรอ”
บนโลกใบนี้มีคนพูดแบบนั้นอยู่
ถึงจะน่าเสียดายไปหน่อย แต่นั่นคือความจริง
ใครๆก็คงคิดว่าเรื่องแบบนี้มันแปลก
คนอื่นจึงคิดว่าฉันไม่ชินกับการที่ตัวฉันเป็นแบบนี้
ฉันอยากจะบอกทุกคนว่า “มันก็เป็นเรื่องปกตินะ”
แน่นอนว่า ตอนที่รู้ว่าตัวเองจะมองไม่เห็นมันก็ตกใจอยู่บ้าง
แต่พอวันเวลาผ่านไป เราจะปรับตัวและยอมรับมันได้เอง
อย่างตัวฉันเองในตอนนี้ ฉันกินข้าวเองได้ อาบน้ำเองได้
ใช้โทรศัพท์ได้ อ่านหนังสือด้วยหนังสือเสียงได้
แต่งหน้าและแต่งตัวสวยๆ ได้เหมือนกัน ใส่กระโปรงก็ได้
ถึงจะเดินบนทางเดินผู้พิการข้างที่ถนนยากไปหน่อย ทำให้ใส่รองเท้าส้นเตี้ยไม่ได้
แต่ก็ยังใส่บู๊ทหรือรองเท้าแตะแทนได้
สรุปแล้ว ฉันยังใช้ชีวิตได้ปกตินั่นเอง
แม้ว่าจะมีข้อจำกัดหลายอย่างที่ทำเองไม่ได้ แต่ก็ยังใช้ชีวิตได้
ในเมื่อทำไม่ได้ ฉันจึงได้แต่ยอมรับมันและขอความช่วยเหลือจากคนอื่นแทน
ด้วยการนั้น มันทำให้ฉันได้รู้จักกับผู้คนมากมาย
เพราะงั้น ฉันอยากให้คนอื่นไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันเป็นอยู่
ถึงฉันจะมองไม่เห็น แต่ชีวิตฉันก็เต็มไปด้วยสิ่งที่อยากทำ
แต่น่าเสียดาย ที่คนมักจะมองว่าฉัน “ลำบาก”
เพราะพวกเขามองว่าลำบาก จึงเว้นระยะห่างจากฉัน
นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันเศร้าใจที่สุด
พอคิดแบบนั้น ฉันก็พบว่าคาเครุคุงต่างออกไป
“เอ่อ…มองไม่เห็นนี่มันเป็นยังไงเหรอ? เหมือนอยู่ในที่มืดอะไรแบบนี้รึเปล่า?”
เขาพยายามที่จะเข้าใจ
“อืม…” ขณะที่ฉันกำลังจะตอบกลับ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเขาลังเล “ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรนะ” จนฉันหลุดขำออกมา
“หลายคนคิดว่ามืดสนิท แต่ในกรณีของฉันตรงกันข้ามเลยล่ะ”
“ตรงข้าม?”
“เหมือนกับอยู่ในหมอกใสๆ คล้ายสีขาวมัวๆ “
“เห”
เขาตอบว่า “เห” อีกแล้ว น่าจะเป็นนิสัยของเขา แต่มันก็น่ารักดีเหมือนกัน
“เห” แบบที่เขาตั้งใจฟังจริงๆ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันชอบเขา
“ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรนะ แต่…”
“ไม่เป็นไร ถามมาสิ”
“เธอมองไม่เห็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่หรอ?”
ตอนอยู่ป.6 ฉันตรวจพบว่ามีมะเร็ง
พวกเขาบอกว่ามีก้อนเนื้องอกขนาดเท่าปลายเล็บนิ้วก้อยอยู่ในสมอง
การผ่าตัดครั้งแรกผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนฉันแทบไม่อยากจะเชื่อว่า เอ๊ะ เสร็จแล้วหรอ?
แต่ทว่า…
ตอนอยู่ม.3 ก็ได้ตรวจพบว่ามะเร็งได้ลุกลามไปที่อื่น
มันลามไปที่จอประสาทตาทั้งสองข้าง
จนทำให้ฉันต้องตัดสินใจระหว่าง
จะเอาลูกตาออกทั้งสองข้าง หรือเก็บลูกตาไว้แล้วรักษาด้วยการผ่าตัดและคีโม
โดยสรุปแล้ว ฉันก็ได้เลือกตัวเลือกที่สอง
นั่นทำให้ ฉันต้องนอนโรงพยาบาลอยู่พักหนึ่ง แล้วก็พลาดงานจบการศึกษาไป
“ทำคีโมมันทรมานสุดๆ เลยล่ะ ทั้งผมร่วง ทั้งเหม่อลอย แถมความจำฟุ้งซ่านไปหมด”
ไม่รู้ทำไม แต่ฉันรู้สึกว่าอยากให้คาเครุคุงได้ฟังทุกอย่าง
เพราะงั้น ฉันจึงเลือกที่จะบอกเล่าเรื่องราวทุกสิ่งออกมา
“หลังจากนั้น ฉันก็มองไม่เห็น ฉันเลยเริ่มเรียนวิธีอ่านอักษรเบรลล์ ศึกษาอยู่สี่ปีเต็มจนได้รับวุฒิเทียบเท่ามัธยมปลาย จริงๆ แล้วฉันอายุมากกว่าคาเครุคุงปีนึงนะ เคารพกันด้วยล่ะ”
ฉันเล่าทุกอย่างออกไป แล้วปิดท้ายด้วยพูดหยอกล้อ เพราะฉันเองก็รู้สึกหนักใจที่จะพูดเรื่องนี้ต่อไปเหมือนกัน
การเปิดเผยเรื่องนี้ต้องใช้ความกล้ามาก พอพูดเสร็จฉันก็เริ่มคิดว่า ไม่น่าบอกไปเรื่องที่ตัวเองอายุมากกว่าไปเลย
แต่ทว่า คาเครุคุงกลับตอบกลับด้วยเสียงเฉยๆ ว่า “เห” แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“เธอเกิดวันที่เท่าไหนนะ?”
“28 มีนาคม ทำไมเหรอ?”
“ของฉัน 2 เมษายน แทบไม่ต่างกันเลยนะ”
เขาบอกว่าห่างกันแค่ 5 วันเอง จะนับว่าเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันก็ได้
ฉันไม่ได้ต้องการให้ใครพูดว่า “ลำบากมากน่าดูเลยนะ” หรือ “สู้มาตลอดเลยสินะ”
กล่าวคือ ฉันไม่ได้อยากให้ใครมาเห็นใจหรือสงสารฉัน
ฉันแค่อยากให้ฟังเป็นกลางก็พอ
คาเครุคุงเป็นคนที่เข้าใจสิ่งนั้นอย่างแท้จริง
ใช่แล้ว นี่แหละ
ความอ่อนโยนแบบนี้ ที่ทำให้จิตใจของฉันสั่นไหว
“คาเครุคุง”
“หืม?”
“ใจดีจังเลยนะ”
เมื่อฉันพูดอย่างนั้น คาเครุคุงก็รีบปฏิเสธด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นจนเสียงแปร่ง
น้ำเสียงเขาตอนรีบปฏิเสธ ฉันว่ามันน่ารักดี
นี่แหละ สิ่งที่ฉันชอบในตัวเขา
ฉันชอบที่เขาเอาใจใส่ฉันอย่างเงียบๆ โดยไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่
ฉันชอบมืออันอบอุ่นของเขา
ฉันชอบเสียงสูงของเขา
ฉันชอบที่เขาทำให้ฉันมีอารมณ์ขัน
ฉันชอบความอ่อนโยน ความใจดีของเขา
ฉันเคยคิดว่า ถ้ามองเห็นหน้าคาเครุคุงได้ก็คงจะดี
แต่ต่อให้ฉันมองเห็นหน้าคาเครุคุงได้ ฉันก็คงจะชอบเขาอยู่ดี
ฉันชอบคาเครุคุง
แต่ฉันก็อดคิดไม่ได้
ว่าถ้าฉันบอกเขาว่าฉันชอบเขา เขาจะกลัวที่ฉันเป็นคนพิการไหม?
คาเครุคุงไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก
แต่ถึงจะคิดแบบนั้น ฉันก็ยังไม่มั่นใจและกลัวอยู่ดี
แต่ถ้าเกิดฉันมองเห็นขึ้นมาล่ะ?
ถ้าฉันเป็นคนปกติสุขขึ้นมาล่ะ?
ถึงอย่างนั้น ฉันก็คิดว่าตัวฉันคงจะกลัวอยู่ดี
อา…อย่างนี้นี่เอง
การสารภาพรักเนี่ยมันน่ากลัวขนาดนี้เลยสินะ
ความคิดนี้ทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมา ฉันรู้สึกดีที่ได้เรียนรู้สิ่งๆ นี้
ฉันดีใจที่แม้ว่าฉันจะเป็นแบบนี้ แต่ก็ยังได้รู้จักกับความรัก
คาเครุคุงจะรู้สึกยังไงกับฉันนะ? เขาจะเป็นฝ่ายสารภาพไหม?
หรือว่าฉันควรจะเปิดก่อนดีนะ? ถ้าเกิดโดนปฏิเสธจะทำยังไงดี?
ถึงเราจะแอดไลน์กันแล้ว แต่คาเครุคุงก็ไม่เคยเป็นฝ่ายติดต่อมาก่อนเลย
นั่นทำให้ฉันหลุดหัวเราะออกมา
มันทั้งสนุก ทั้งสุข และเจ็บปวด ราวกับหัวใจกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ฉันมีความสุขจนทนไม่ไหว มันทั้งสุขและทุกข์ไปพร้อมกัน
“…คาเครุคุง”
ฉันโอบกอดความรู้สึกที่สับสนปนเปนั้น แล้วร้องไห้ออกมา