ผมได้ตกหลุมรักเธอผู้มองไม่เห็น ในค่ำคืนอันโปร่งใส - ตอนที่ 3.1 รัก
ด้วยความที่เป็นห้องเช่าราคาถูกเพียงเดือนละหนึ่งหมื่นเยนจึงไม่มีเครื่องปรับอากาศติดมาด้วย แม้อยากจะติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ เพิ่มแต่ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากมีการจำกัดกำลังไฟในแต่ละชั้นสามารถใช้ได้ ซึ่งถ้าหากใช้ไฟเกินเพียงเล็กน้อยจะทำให้เบรกเกอร์ตัดในทันที
โดยในหนึ่งชั้นจะมีห้องขนาดสิบเสื่อทาทามิ⁷เรียงกันเป็นแถว หากต้องการหุงข้าวพร้อมกันสองห้องหรือมากกว่านั้น เบรกเกอร์ก็อาจจะตัดได้ ด้วยเหตุนั้นเองผู้อยู่อาศัยมักจะมีการถกถามกันอยู่เสมอว่า “จะหุงข้าวเวลาไหน”
แน่นอนว่าราคาถูกเท่านี้ไม่มีห้องน้ำหรือห้องอาบน้ำในห้องแน่นอน แต่จะมีเป็นห้องน้ำส่วนกลางแทน โดยแยกเป็นสองห้องหลักๆ คือห้องอาบน้ำใหญ่กับห้องอาบน้ำฝักบัว โดยห้องอาบน้ำใหญ่ใช้ได้เฉพาะเวลากลางคืน ส่วนห้องอาบน้ำฝักบัวสามารถใช้ได้ตลอดเวลา ในแต่ละห้องพักจะมีแค่เตียงเดี่ยว โต๊ะทำงาน และตู้เย็นเพียงเท่านั้น
ในส่วนห้องของพวกเรานั้น นารุมิเป็นคนเลือกสีผ้าปูเตียงแทนผมเพราะผมไม่ค่อยมีเซ้นส์เรื่องการตกแต่งภายในสักเท่าไหร่ พรมสีน้ำตาลเข้ม ผ้าปูเตียงสีชาโคล และผ้าม่านสีเทา แลดูเป็นโทนสีที่ดูสงบดี นอกจากนี้ ห้องของพวกเรายังมีการวางพืชประดับและไฟดาวน์ไลท์ไว้ด้วย กล่าวคือแม้รูปลักษณ์ภายนอกของหอจะดูเหมือนซากปรักหักพัง แต่ภายในห้องกลับเป็นดูดีมีสไตล์นั่นเอง
⁷ หนึ่งเสื่อทาทามิมีขนาด 1.62 ตร.ม
เจ็ดโมงเช้า
ทันทีที่นารุมิกดสวิตช์หม้อหุงข้าว ผมก็ลุกขึ้นพร้อมคว้าผ้าขนหนูเพื่อที่จะไปอาบน้ำ แม้ว่าเปิดหน้าต่างทุกบาน แต่เมื่อคืนกลับไม่มีลมก็ไม่ได้อะไรนอกจากความร้อนอบอ้าว ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าจะใครบางคนทำเบรกเกอร์ตัด พัดลมที่เปิดไว้จึงหยุดทำงาน
“เป็นไรไป?”
เสียงแหลมพาผมสะดุ้ง
“…เปล่าไม่มีอะไร”
“ลำบากหน่อยนะ นายเองก็เป็นตัวผู้เหมือนกันนี่เนอะ”
“นี่กวนฉันอยู่เหรอ”
“อาบน้ำก่อนไปหาสาวแล้วยังดูเป็นมือใหม่แบบนี้ น่าอิจฉาจริงๆ เลยน้า”
“กวนกันอยู่ชัดๆ !”
“เปล่าสักหน่อย” นารุมิโบกมือ
“แล้ว ชอบตรงไหน?”
“ไม่ได้ชอบสักหน่อย”
“ต๊ายตาย ซึนซะด้วย น่ารักจัง”
“กวนตีนกันอยู่ชัดๆ !”
“ตรงไหน” นารุมิหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“ฟุยุสึกิบอกว่าอยากให้ไปด้วยเฉยๆ”
จากนั้นก็ได้ถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง
“นารุมิจะมาด้วยกันไหม?”
นารุมิขมวดคิ้วและมองมาที่ผม
“ไก่อ่อนจริงๆ นะนายเนี่ย”
“หนวกหูน่า”
“ยอมรับสินะว่าตัวเองไก่ใช่มะ? ใช่สินะ?”
“หนวกหูน่า”
“ไปไม่ได้หรอก วันนี้ฉันต้องไปทำงานพิเศษน่ะ”
“ทำกะกลางคืนไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่ว่านายอยากคบกับฟุยุสึกิหรอกหรอ? ใครได้ยินเรื่องแบบนี้เขาก็คิดงี้กันทั้งนั้น”
“แค่คุยกันเฉยน่าๆ ไม่เคยคิดไปถึงขั้นนั้นเลย”
“จิงป่าว”
“ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะปฏิบัติตัวกับเธอเรื่องที่เธอมองไม่เห็นยังไง แถมฉันยังไม่มั่นใจเลยว่าจะทำได้ดีเท่านายรึเปล่า”
“ปฏิบัติตัวยังไงเนี่ยหมายความว่าไง”
นารุมิพูดด้วยเสียงหงุดหงิด
“โทษที ฉันคงใช้คำผิดไป ที่ฉันจะสื่อคือ ทำตัวตามปกติ น่ะ”
“นายก็ทำตัวตามปกติไปสิ”
“แต่ฉันไม่รู้ว่าว่าปกติคือแบบไหนเนี่ยสิ”
ควรจะคุยกับเธอโดยไม่นึกถึงเรื่องที่เธอมองไม่เห็นไหม? ควรจะเลือกทางเดินสะดวกกับเธอไหม? ควรจะจับมือเธอไหม? หรือควรจะถามทุกอย่างเพื่อยืนยันดี?
ผมถามทุกอย่างที่สงสัยกับนารุมิ และเขาตอบเพียงสั้นๆ ว่า
“ก็ถามเธอไปสิ”
“ฉันไม่อยากให้มันเสียบรรยากาศนี่นา”
นารุมิขยี้หัวด้วยหงุดหงิดก่อนจะตอบว่า
“ฉันเองก็เคยมีประสบการณ์แบบนั้นเหมือนกัน แต่การถูกทำให้รู้สึกว่ามีระยะห่างแบบนั้นมันยิ่งแย่กว่าเยอะเลยล่ะ”
*
หลังออกมาจากหอพัก ผมได้แวะซื้อไก่ทอดจากร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ บางทีอาจเพราะถูกนารุมิเรียกว่า “ไก่” บ่อยจนอยากกินขึ้นมาจริงๆ กระมัง
ระหว่างเดินไปสึกิจิมะก็พลางกินไก่ทอดที่อยู่ในมือไปด้วย วันนี้ท้องฟ้า สีฟ้าสดใส พร้อมกับเมฆลอยไปตามทิศทางลมอย่างช้าๆ
ระหว่างเดินข้ามสะพานไอโออิ ผมก็พลางมองผืนน้ำอันกว้างใหญ่ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนกลายเป็นทะเลอย่าง ปากแม่น้ำสุมิดะ พลันนั้น ก็มีปลากระโดดขึ้นขึ้นมาจากผิวน้ำ พื้นน้ำกระเพื่อมเป็นระลอกและสะท้อนแสงเป็นประกายสีเงิน
ทะเลที่บ้านเกิดผมอย่างชิโมโนเซกิมีช่องแคบคัมมงซึ่งมีคลื่นแรงซัดเข้าอยู่ตลอด มันให้ความรู้สึกราวกับกำลังพัดพาทุกสิ่งไม่ว่าจะดีหรือชั่วให้หายไป ด้วยเหตุนั้นมันจึงให้ความรู้สึกปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก แต่ในทางกลับกัน ทะเลในโตเกียวนั้นนิ่งสงบ มันให้ความรู้สึกราวกับสถานที่แห่งนี้กักเก็บทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ผมจึงพลางคิดลึกๆในใจอย่างไร้เหตุไร้ผลว่า อ้อ นี่สินะที่ทำให้ผู้คนมารวมตัวกันที่โตเกียว
เวลานัดคือเก้าโมงเช้า ผมตั้งใจไปถึงก่อนเวลาประมาณห้านาที
พอผมบอกฟุยุสึกิว่าจะไปรับที่หน้าแมนชั่น เธอก็ได้ทักขึ้นว่า “แบบนั้นมันจะดูไม่เหมือนเดทกันนะคะ” ผมจึงตอบกลับไปว่า “แค่ไปเดินซื้อของด้วยกันเอง” เธอหัวเราะให้แล้วบอกว่า “นั่นแหละที่เรียกว่าออกเดทค่ะ” ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ไม่ฟังแล้วบอกว่าจะรอที่ตีนสะพานไอโออิซึ่งเป็นจุดนัดหมาย
ข้ามสะพานพลางมองดูทะเลสะท้อนแสงเป็นประกายสีเงิน แสงสะท้อนแรงจนทำตาผมพร่ามัว พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็พบกับฟุยุสึกิที่กำลังยืนรออยู่ที่ตีนสะพานเสียแล้ว
บริเวณตีนสะพานมีการปลูกต้นไม้สร้างร่มเงาไว้อยู่ แสงแดดส่องผ่านช่องว่างของใบไม้และสาดส่องลงมายังฟุยุสึกิที่ยืนอยู่ในชุดเสื้อสีขาวกับกระโปรงโปร่งแสงเล็กน้อยพร้อมกับกระเป๋าสะพายหนังที่ไหล่ เธอซึ่งยืนเงียบๆ ดูโปร่งแสงอย่างไร้ที่ติ เมื่อมารวมกับการมองเห็นอันพร่ามัวของตัวผม มันชวนให้คิดว่าเธอเป็นคนที่สวยอะไรขนาดนี้จนอยากจะกลั้นหายใจไว้เลย
“ฟุยุสึกิ นี่โซราโนะเอง ขอโทษนะที่มาช้าไปหน่อย รอนานรึเปล่า?”
เป็นคำพูดทั่วไปที่มักใช้ตอนออกเดทระหว่างชายหญิง
“นานแล้วค่ะ ตั้งสองชั่วโมงแหน่ะ”
“ไม่ใช่ว่านั่นเป็นความผิดของเธอหรอ?”
“ไม่ค่ะ เป็นความผิดของคาเครุคุงต่างหากค่ะ”
“ล้อเล่นค่ะ” ฟุยุสึกิหัวเราะพร้อมกับพูดว่า “ไปกันเถอะค่ะ” ในเวลาต่อมา
“เข้าใจแล้ว สถานีสึกิจิมะอยู่ทางนี้”
“ทางนี้คือทางไหนคะ?”
“โทษที ทางขวาน่ะ”
ปกติชี้นิ้วไปทางไหนอีกฝ่ายก็เข้าใจได้ทันที แต่มันใช้ไม่ใช่สำหรับฟุยุสึกิ
อย่างเช่น การเดินอยู่แล้วจ้องหน้าฟุยุสึกิระหว่างเดิน เธอก็ไม่รู้สึกตัว
「ไม่ใช่ว่านายอยากคบกับฟุยุสึกิหรอกหรอ?」
คำพูดของนารุมิย้อนกลับมาในหัว
คบกับคนมองไม่เห็น
เพียงแค่ใช้สัญชาตญาณก็รู้สึกถึงความยากลำบาก
ดังนั้นผมจึงไม่เคยมองเธอเป็นคนรักเลย
ผมรู้ดีว่าการคิดแบบนั้นมันเสียมารยาทขนาดไหน
แต่ความรู้สึกที่ผมมีให้ก็คงไม่มีค่าอะไรสำหรับเธอหรอก
เพียงแค่คิดแบบนี้ก็รู้สึกปวดใจ
“รู้ทางใช่ไหมคะ?”
“อืม รู้”
“ตื่นเต้นจัง”
ทันใดที่พูดจบ ฟุยุสึกิก็เดินกระโดดเบาๆ
ผมพูดไม่ผิด เธอเดินกระโดดเหยงๆ อยู่
“เอ๊ะ”
“คะ?”
ฟุยุสึกิหันมาทางผม
“กระโดดเหยงได้ด้วยหรอ?”
“คาเครุคุงเองก็ทำได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ?”
ฟุยุสึกิดูสนุกน่าประหลาดจนทำผมเผลอหัวเราะออกมา
“ทำไมถึงหัวเราะล่ะคะ?”
ฟุยุสึกิขมวดคิ้ว ผมจึงบอกว่า “โทษที ไม่มีอะไร” ก่อนเราก้าวขาเดินทางกันต่อ
『เราไปจุดดอกไม้ไฟกันเถอะ』
เป็นคำขอแปลกเกินไปสำหรับการลงโทษ
ตอนนี้พวกเรากำลังนั่งรถไฟใต้ดินโทเอ-โอเอโดะ มุ่งหน้าไปยังร้านขายพลุที่อาซากุสะบาชิ
โดยแผนการเดินทางคือนั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานีไดมง เพื่อเปลี่ยนสายไปนั่งโทเอ-อาซากุสะและไปยังอาซากุสะบาชิที่เลือกเส้นทางนี้ก็เพราะมันสะดวกที่สุดสำหรับฟุยุสึกิ แม้มันจะไม่ใช่เส้นทางที่สั้นที่สุดก็ตาม
การนั่งรถไฟในวันนี้ทำให้ผมได้รู้ว่ายังมีบางคนไม่ยอมสละที่นั่งให้กับคนใช้ไม้เท้าอยู่
ขณะที่ผมนึกถึงความเห็นแก่ตัวของมนุษย์อยู่นั่นเอง คุณยายคนหนึ่งก็ได้ลุกขึ้นแล้วบอก ‘มานั่งสิจ๊ะ’ แก่ฟุยุสึกิ
ฟุยุสึกิยิ้มให้แล้วตอบด้วยเสียงนุ่มนวลว่า ‘ไม่เป็นไรค่ะ คุณยายนั่งไปเถอะค่ะ ปกติหนูก็ยืนอยู่แล้วค่ะ’
ด้วยเหตุนั้นเอง ผมจึงพาเธอไปยืนระหว่างรอยต่อขบวนรถไฟและหันหน้าเข้าหากัน
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยเหลืออะไรหลายๆ อย่าง”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก”
ฟุยุสึกิมองตรงมาหาผมด้วยความนิ่งเงียบ
“มีอะไรเหรอ?”
“คิดว่าคาเครุคุงเป็นสุภาพบุรุษดี น่ะค่ะ”
“ตรงไหน?”
“พาฉันไปจุดที่คนไม่พลุกพล่านไงคะ”
“ไม่ใช่!”
ถึงจะไม่ใช่แต่ก็ไม่อยากให้เข้าใจผิด ผมจึงรีบปฏิเสธในทันที
ทันทีที่พูดออกไป ฟุยุสึกิก็หัวเราะคิกคัก ทำให้ผมเสียโอกาสที่จะปฏิเสธ
การหันหน้าเข้าหาเธอทำผมรู้สึกเขินขึ้นมา
บางทีอาจเป็นเพราะเธอสวย หรืออาจเพราะผมเคารพในนิสัยที่ผมไม่มี แต่เมื่อมองเธอ หัวใจผมก็เต้นเร็วขึ้น
เสียงรถไฟวิ่งดังก้อง แสงไฟจากสถานีรถไฟใต้ดินผ่านมาทางหน้าต่างทำให้เห็นใบหน้าของฟุยุสึกิเป็นระยะๆ ผมต้องพูดเสียงดังแข่งกับเสียงรถไฟ
“คือฉันสงสัยตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมเธอถึงอยากจุดดอกไม้ไฟหรอ?”
“ฉันชอบมาตั้งแต่เด็กแล้วน่ะค่ะ” ฟุยุสึกิยิ้มให้หลังพูดจบ
“แต่ตอนนี้มองไม่เห็นแล้วน่ะ ฉันเลยสงสัยขึ้นมา”
“ดอกไม้ไฟไม่ได้มีไว้ให้ดูด้วยตาอย่างเดียวนะคะ”
“ก็ใช่อยู่หรอก แต่…”
“มีเสียงจุดดอกไม้ไฟ กลิ่นดินปืน และเสียงคนที่ร้องว้าว คราวหน้าลองหลับตาแล้วเพลิดเพลินกับดอกไม้ไฟดูสิคะ จะได้รับรู้ได้ทุกส่วนเลย”
“วิธีเพลิดเพลินแบบนั้นฉันขอผ่านดีกว่า แค่นั่งจ้องไฟเย็นก็เกินพอแล้วล่ะ”
“อ๊ะ ไฟเย็นก็ดีเหมือนกัน ถ้ามีเราซื้อติดมากันเถอะค่ะ”
“ชอบจริงๆ สินะ”
หลังจากผมชม ฟุยุสึกิก็หรี่ตาลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ตอนเด็กๆ ฉันไปดูดอกไม้ไฟกับครอบครัวอยู่บ่อยๆ ค่ะ”
“ดูจุดดอกไม้ไฟขึ้นฟ้าน่ะหรอ?”
“ใช่ค่ะ ตอนนั้นฉันยังมองเห็นนะคะ ไปกับคุณพ่อกับคุณแม่”
“เลยเป็นเหตุผลที่เธออยากจุดดอกไม้ไฟสินะ”
เมื่อผมพยักหน้า ฟุยุสึกิก็พูดว่า “ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”
“ฉันเริ่มมีความคิดอยากจุดดอกไม้ไฟ หลังจากมองไม่เห็นแล้วค่ะ”
“หมายความว่ายังไง?”
“ก็…ประมาณ ความปรารถนา อยากทำดูอะไรประมาณนั้นน่ะค่ะ”
“อะไรล่ะนั่น?”
ขณะที่ผมกำลังงุนงงอยู่นั่น รถไฟก็ได้หยุดที่สถานีชิโอโดเมะ คนขึ้นมาเยอะขึ้นจนหลังถูกดันและーทำให้ผมกับฟุยุสึกิยืนอยู่ใกล้ชินกันมากขึ้น
“คนเยอะเหรอคะ?”
ฟุยุสึกิถาม ผมจึงถามกลับว่า “ทำไมถึงรู้ล่ะ?” ทั้งที่มองไม่เห็น
“เสียงของคาเครุคุงใกล้เข้ามาน่ะค่ะ”
ใบหน้าของฟุยุสึกิอยู่ใกล้จนผมเห็นตาของเธอกระพริบด้วยความตกใจ
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก”
“ขอบคุณที่ปกป้องนะคะ”
ฟุยุสึกิยิ้มให้ผมในระยะใกล้จนขนาดที่ลมหายใจแทบจะกระทบกัน
ผมพยายามกลั้นหายใจไม่ให้ลมหายใจไปกระทบจนกว่าจะถึงสถานีปลายทาง…
ติดตามได้ที่ FB : Mxgic