ผมได้ตกหลุมรักเธอผู้มองไม่เห็น ในค่ำคืนอันโปร่งใส - ตอนที่ 2.3 ที่นั่งระเบียง
ปลายเดือนพฤษภาคมกล่าวคือหนึ่งเดือนให้หลังนับตั้งแต่ที่ผมได้รู้จักกับฟุยุสึกิ
หลังจากจบคาบบรรยาย เวลาว่างส่วนใหญ่มักจะถูกใช้ไปกับการนั่งเล่นระเบียงกับฟุยุซึกิ ถ้าจะให้พูดถูกก็คือกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว
นับตั้งแต่วันที่ผมบอกว่าเธอส่งข้อความทาง LINE มาได้ ฟุยุสึกิก็มักจะส่งข้อความมาล่วงหน้าวันนึงพร้อมกับข้อความ “ถ้าสะดวกสนใจมานั่งดื่มชาที่ระเบียงกันไหมคะ?” แน่นอนเมื่อได้คำขอจากหญิงสาวเช่นนั้น ก็ยากที่จะปฏิเสธ
ด้วยเหตุนี้ วันนั้นก็เช่นกัน ผมกับฟุยุสึกิกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ระเบียง
ผมกำลังทานราเมนที่ซื้อมาโรงอาหาร ส่วนฟุยุสึกิก็ยังคงดื่มชานมหวานมากเหมือนทุกที
ลองคิดดูแล้ว ผมไม่เคยเห็นฟุยุสึกินข้าวเที่ยงเลย
เมื่อลองถามดูเธอก็ได้ให้คำตอบว่า ตนกินอาหารเช้าที่เเม่ทําให้จนอิ่มเเล้ว
ฟุยุสึกิบอกว่าเธออาศัยอยู่กับแม่บนเเมนชั่นสูงแห่งนั้น เเละไปตรวจเรื่องสายตาที่โรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ ด้วยเหตุนั้นเอง พวกเขาจึงซื้อบ้านหลังที่สองใกล้กับโรงพยาบาล หลังได้ยินเธอบอกว่าเป็น “บ้านหลังที่สอง” ก็ทำเอาผมตกใจมาก ก่อนจะพูดออกมา “ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีเศรษฐีตัวเป็นๆ อยู่ตรงหน้าเลยนะเนี่ย” ฟุยุสึกิที่ได้ยินเช่นนั่นก็เเก้มป่องเเละเเสร้งทําเป็นโกรธ
เมื่อทานราเมนเสร็จ ผมก็มานั่งรับเเดดด้วยอารมณ์เหม่อลอย
สายลมต้นฤดูร้อนพัดมา ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส
“คาเครุคุง?”
“หืม?”
“นึกว่าหายไปไหนซะอีก”
“ฉันซ่อนตัวอยู่ยังไงล่ะ”
“ใจร้าย”
ฟุยุสึกิบอกว่าถ้าผมเงียบไปนานๆ ก็เหมือนกับว่าผมหายไปจริงๆ ดูเหมือนว่าการซ่อนตัวของผมนั้นไม่เหมือนคนอื่นๆ
ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมชอบการเริ่มต้นสนทนาด้วยคำว่า “คาเครุคุง”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฟุยุสึกิถามว่า “เรามาเรียกชื่อจริงกันไหม?”
ผมยืนกรานว่าจะเรียกนามสกุล แต่สุดท้ายเเล้วฟุยุสึกิเรียกผมว่า “คาเครุคุง” อยู่ดี
ว่ากันตามตรง ผมไม่คิดไม่ฝันจะได้พูดคุยสไตล์เพื่อนหยอกล้อกันได้กับฟุยุสึกิเลยสักนิด
ผมไม่รู้ว่าพวกเราเข้ากันได้ดีหรือเปล่า แต่ผมค่อนข้างพอใจกับความสัมพันธ์ที่แบบนี้ นี่อาจนับเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกสนุกกับการได้คุยกับผู้หญิงเลยก็ว่าได้
“จะว่าไป หนังสือที่อ่านอยู่ตลอดชื่ออะไรหรอ?”
“เล่มนี้น่ะหรอ?” ฟุยุสึกิหยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋า
“ใช่ๆ เล่มนี้เเหละ”
“ก็มีชื่อเขียนอยู่นะ?”
“ฉันอ่านอักษรเบรลล์ไม่ได้น่ะ”
” ‘บันทึกลับของ แอนน์ แฟร้งค์’ น่ะ”
“อ๋อ เล่มนี้นี่เอง”
“เอ๊ะ! เคยอ่านหรอ?”
“ไม่เคยสักครั้ง”
“เอ๋~! เเล้วไหงทำปฏิกิริยาแบบนั้นล่ะ!”
ผมถามฟุยุสึกิที่กำลังหัวเราะอยู่ว่า “สนุกไหม?”
“มันเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของเข้มแข็งแล้วไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ พออ่านเเล้วมันชวนนึกคิดว่า เราเองก็ต้องพยายามบ้างเเล้ว อะไรประมาณนี้ แถมยังมีท่อนคำที่ชอบอยู่ด้วย ก็เลยหยิบขึ้นมาอ่านอยู่บ่อยๆ น่ะค่ะ”
ถึงผมจะไม่เคยอ่าน แต่การที่ได้เห็นฟุยุสึกิถูหนังสืออย่างทะนุถนอม ทำให้ผมพอจะเข้าใจได้ว่าเป็นหนังสือที่สำคัญมากสำหรับเธอ
ผมจ้องมองหนังสือสีขาวนั้น
“อ่านอักษรเบรลล์เนี่ยยากไหม?”
“มันเป็นเรื่องของการฝึกฝนค่ะ แต่ก็ใช้เวลาพอสมควร แต่เดี๋ยวนี้มีหนังสือเสียงเยอะแยะไป บางทีฉันก็ฟังหนังสือเเบบนั้นบ้าง แต่ว่าการสัมผัสเนื้อกระดาษด้วยตัวเองก็เป็นสิ่งที่ดีเหมือนกันค่ะ”
“เห..”
“คาเครุคุงอยากลองอ่านอักษรเบรลล์ไหมคะ?”
ฟุยุสึกิยื่นหนังสือสีขาวให้ ผมจึงรับมาเเละถูเบาๆ
“เห..”
“ไม่ใช่แค่ ‘เห..’ สิคะ”
“ไว้ลองคิดดูเเล้วกัน”
“อ๊ะ นั่นแปลว่า ‘ไม่สน’ ใช่ไหม”
ฟุยุสึกิหัวเราะอีกครั้ง
“ว่าแต่ นี่คืออะไร?”
ผมหยิบที่คั่นหนังสือสีเหลืองที่อยู่ในหนังสือขึ้นมา มันคือที่คั่นหนังสือในวันนั้น
“อันไหนเหรอคะ?”
ฟุยุสึกิยื่นมือมาสัมผัส ผมก็ส่งให้เธอ จากนั้นเธอก็พูดว่า “อ้อ”
“อันนี้เป็นที่คั่นหนังสือที่ฉันทำขึ้นมาเองค่ะ”
ที่คั่นหนังสือนั้นมีอักษรเบรลล์อยู่
“มันเขียนว่าอะไรเหรอ?”
“คาเครุคุงลองอ่านดูสิคะ”
“ไว้ถ้าฉันรู้สึกอยากอ่าน จะลองถอดดูนะ”
“อีกแล้ว แปลว่า ‘ไม่สน’ ใช่ไหม”
“คาเครุคุงนี่น่าสนใจจริงๆ” ฟุยุสึกิพูดพลางหัวเราะ ก่อนพูดต่อ
“ว่าแต่ คาเครุคุงชอบดอกไม้ไฟไหมคะ?”
“ทำไมถามเรื่องนี้ล่ะ?”
“ฉันชอบค่ะ”
“เธอเคยบอกฉันไปแล้วนะ”
“เคยบอกแล้วเหรอคะ”
คืนที่ผมเจอกับฟุยุสึกิครั้งแรก เธอบอกว่าอยากไปจุดดอกไม้ไฟกับเพื่อนๆ สักครั้ง
ทั้งๆที่มองไม่เห็นแท้ๆ? ผมพลางคิดเช่นนั้นในขณะนั้น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
“บ้านเกิดฉันอยู่ที่ชิโมโนเซกิ ถึงจะย้ายบ้านบ่อยๆ แต่บ้านหลังล่าสุดก็ยังอยู่ที่ชิโมโนเซกิอ่ะนะ”
ภาพความทรงจำช่องแคบคัมมงพุดขึ้นมาในหัวของผม
“ที่นั่นมีงานดอกไม้ไฟที่ชื่อ ‘งานดอกไม้ไฟคัมมง’ อยู่ โดยเป็นการยิงดอกไม้ไฟจากสองฝั่งช่องแคบคัมมง ฝั่งชิโมโนเซกิกับฝั่งฟุกุโอกะน่ะ”
ผมนึกย้อนกลับไปสมัยเดินงานดอกไม้ไฟกับพ่อแม่ตอนเด็ก
และーพูดสิ่งที่คิดในตอนนั้นออกมา
“คนเยอะมากเลย”
ผมบรรยายความรู้สึกตรงๆ ฟุยุสึกิหัวเราะจนตบโต๊ะ
“อุตส่าห์รอฟังเรื่องราวดีๆ ไหงกลายเป็นแบบนั้นไปล่ะคะ”
“เเต่คนเยอะจริงๆ นะ เป็นงานที่มีคนเข้าร่วมมากเป็นอันดับสองของญี่ปุ่นเลย”
แต่ก็สมเป็นคาเครุคุงดีนะ ฟุยุสึกิพลางหัวเราะออกมาก่อนพูดต่อ
“อยากไปจัง คงจะยิ่งใหญ่น่าดูเลยนะคะ ยิงดอกไม้ไฟข้ามเเม่น้ำเนี่ย”
“แต่คนเยอะนะ”
หลังจากที่ผมพูดอย่างนั้น ฟุยุสึกิกลับพูดสิ่งที่ไม่คาดคิดออกมา
“คนเยอะก็ดีไม่ใช่เหรอคะ?”
“หะ?”
ผมอดไม่ได้ที่จะถามกลับ
ฟุยุสึกิยกมือทั้งสองข้างทำท่าเกินจริง
“ทุกคนมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยเสียงหัวเราะเเละความตื่นเต้น ลองคิดดูสิคะ ว่าดอกไม้ไฟนั้นต้องยิ่งใหญ่ขนาดไหนถึงดึงดูดสายตาผู้คนได้มากขนาดนั้น”
ผมพูดไม่ออก
ผมไม่เคยมีความคิดแบบนั้นมาก่อน จึงได้เพียงเเต่ยืนตัวเเข็งทื่อ
ฟุยุซึกินี่สุดยอดจริงๆ
โลกที่เธอมองเห็นจะเป็นแบบไหนกันนะ
แน่นอนว่าคงต่างจากโลกที่ผมมองเห็นแน่ๆ
ผมรู้สึกต่ำต้อยและได้เเต่ก้มหน้าลง
แม้จะก้มหน้าลง เธอก็มองไม่เห็นอยู่ดี กล่าวคือก้มได้เท่าที่ใจอยาก แต่มันจะดูแปลกถ้าบทสนทนาหยุดชะงักลงไปแบบนี้ ผมจึงพูดต่อ
“สรุปอันนี้ทำขึ้นได้ยังไงหรอ?”
ผมถามถึงที่คั่นหนังสือที่อยู่ตรงหน้า
“ถ้ามีปริ้นเตอร์เฉพาะก็ทำได้ง่ายๆ ค่ะ”
แน่นอนว่าผมอ่านอักษรเบรลล์ไม่ออก แม้จะลองลูบดูแล้วก็มองไม่ออกว่าตรงไหนนูน ตรงไหนบุบ และนั่นทำให้ผมรู้สึกทึ่งกับความสามารถของเธอ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมตระหนักได้อีกครั้งว่าเธอมองไม่เห็นจริงๆ
“ที่คั่นหนังสือที่มีอักษรเบรลล์ทำได้ด้วยสินะ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“อันนี้ฉันทำขึ้นหลังสอบติดมหาลัยค่ะ เคยทำไหมคะ? ‘สิ่งที่อยากทำก่อนตาย'”
ผมพลางนึกถึงสิ่งที่อยากทำก่อนตาย บางทีอาจจะเป็นการถูกหวยแล้วใช้ชีวิตเก็บตัวอยู่ที่บ้านอ่านหนังสือไปวันๆ ละมั้ง แต่สุดท้ายเเล้วนั่นก็เป็นเพียงแค่ความปรารถนา
“ไม่มีใครรู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่จริงไหมล่ะคะ?”
ฟุยุซึกิยิ้มให้
ผมที่ไม่เข้าใจรอยยิ้มนั้นถึงกับ เอ๊ะ เเล้วนิ่งเงียบไป แลดูตลกร้ายไปหน่อยนะ
ฟุยุซึกิคงรู้ว่าผมรู้สึกยังไง เธอจึงรีบแก้ว่า “ล้อเล่นเฉยๆค่ะ ขอโทษนะคะ”
“ให้ตายสิ”
ขณะผมวางที่คั่นหนังสือไว้บนหนังสือเพื่อเช็ดเหงื่อที่มือ
สายลมฤดูร้อนก็ได้พัดเข้ามา
เก้าอี้บางตัวที่ระเบียงล้มลง
หนังสือบนโต๊ะพลิกหน้ากระดาษ และーที่คั่นหนังสือก็ได้โบยบินไปตามสายลม
ผมพยายามเอื้อมมือไปคว้ามัน แต่ก็ลื่นหลุดออกจากมือ
“ฮึบ ฮึบ!”
ที่คั่นหนังสือลอยขึ้นไปตามกระแสอากาศ
ผมพยายามวิ่งไปคว้ามันไว้ แต่มันก็ได้ปลิวข้ามหลังคาหอประชุมสหกรณ์และละจากสายตาไปในที่สุด
“อ๊ะ”
ผมทำอะไรไม่ถูก
“กะ…เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
ฟุยุซึกิตกใจตามที่ผมตกใจ
ผมจึงอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เธอฟัง
“ขอโทษนะ เป็นของสำคัญอะไรรึเปล่า?”
ผมขอโทษเธอซ้ำเเล้วซ้ำเล่า
“…งั้นหรอคะ”
ฟุยุสึกิเงียบไปชั่วครู่ และไหล่ของเธอตกลงอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจำได้อยู่ว่าเขียนอะไรไปบนนั้น”
แม้ว่าเธอจะเเสดงท่าทีเข้มเเข็ง แต่ความรู้สึกผิดในใจผมก็ยังไม่จางหายไป
บางทีคงเพราะแบบนั้น
“รู้ไหมคะ”
เมื่อได้ยินคำพูดต่อจากนั้น ผมก็ไม่อาจปฏิเสธคำเชิญของเธอได้
*
“ฉันได้ยินมาว่ามหาลัยมีชมรมวิจัยดอกไม้ไฟอยู่ด้วยค่ะ”
บางทีอาจเพราะมหาลัยมีหลักสูตรฝึกอบรมนักเดินเรือ จึงทำให้มีท่าเรือที่เรียกกันว่า “พอนด์” อยู่ แน่นอนว่ามีเรือลำเล็กๆ จอดอยู่จริง
เท่าที่ฟังมาจากฟุยุสึกิ เธอบอกว่ามีห้องพรีแฟบ ⁶ ข้างกับโรงเก็บเรือแรกของพอนด์โดยมีใบปลิวดอกไม้ไฟแปะไว้อยู่ ซึ่งห้องพรีแฟบนั้น ดูเหมือนจะเป็นที่อยู่ของชมรมวิจัยดอกไม้ไฟ โดยที่ตัวเธอบอกว่าได้ยินมาจากฮายาเสะอีกที
“เพราะงั้นถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ช่วยพาฉันไปดูหน่อยได้ไหมคะ? ฉันรู้สึกเกรงใจยูโกะจังที่คอยช่วยอยู่ตลอดน่ะค่ะ”
“ฮายาเสะทำงานพิเศษช่วงเช้านี่เนอะ”
“ใช่ค่ะ ตอนนี้คงกำลังทำงานพิเศษที่คาเฟ่อยู่”
“งานพิเศษเหรอ…”
เราเองลองทำดูบ้างดีไหมนะ? ผมพลางคิดเช่นนั้น
เพราะอยู่หอถูก แค่ทุนการศึกษาก็พอประคองชีวิตได้แล้ว แต่มีเงินไว้ก็ใช่เสีย ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกไม่อยากทำงานอยู่ดี
“ตอนยูโกะจังมีกลิ่นกาแฟติดตัวยิ่งดูดีเข้าไปใหญ่ค่ะ”
“ฟังดูน่าหลงใหลจังนะ”
“อยากลองทำงานพิเศษดูจังเลย”
เมื่อได้เช่นนั้นผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ บางที…เธออาจไม่ได้แค่อยากลองทำดูเล่นๆ แต่อยากลองทำเป็นอาชีพจริงๆ ผมคิดว่าการที่เธอคิดบวกเเบบนี้เป็นเรื่องที่ดีมากเลย
พวกเราลุกขึ้นจากที่นั่งระเบียงและเดินไปตามทางลาดสู่ทะเล ไม่นานนักก็มาถึงยังพอนด์ และสังเกตเห็นคนสามคนกำลังนั่งตกปลากันอยู่เเม้ว่าป้ายบริเวณทางเข้าจะเขียนว่า ‘ห้ามตกปลา’ ก็ตาม
ผิวทะเลส่องแสงเป็นประกายพร้อมกับมีเมฆขาวลอยไปอย่างช้าๆ
“ที่นี่สินะ”
“เป็นยังไงบ้างคะ?”
ผมอธิบายสิ่งที่เห็นตรงหน้าอย่างห้องพรีแฟบให้ฟุยุสึกิผู้มองไม่เห็นฟัง
“เอ่อ…จะว่ายังไงดี แลดูเป็นสถานที่ที่สุดยอดไปเลยนะคะ”
“กำกวมจังนะ”
ฟุยุสึกิหัวเราะ
สิ่งก่อสร้างที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนโรงเก็บของที่ถูกทิ้งร้างมากกว่าห้องพรีแฟบ
เถาวัลย์เขียวปกคลุมรอบห้อง หน้าต่างบานใหญ่ซึ่งถูกปิดไว้ด้วยม่านจึงไม่สามารถมองทะลุเข้าไปด้านในได้ ส่วนที่ประตูมีคำว่า “ชมรมวิจัยดอกไม้ไฟ” เขียนด้วยสีเปรอะๆ พร้อมกับโปสเตอร์งานดอกไม้ไฟที่แม่น้ำซูมิดะซึ่งสีค่อนข้างจางไปพอสมควรแล้วติดอยู่ นอกจากนี้ยังมีท่อเหล็กหลากหลายขนาดตั้งแต่ยี่สิบเซนติเมตรจนไปถึงยาวระดับหัวเข่าวางกองรอบๆ ห้อง
เมื่ออธิบายสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเสร็จ ฟุยุสึกิก็ได้เปิดปากพูดขึ้นมาโดยทันที
“นี่เป็นคำล้อเล่นของคาเครุคุงหรอคะ?”
“ฉันจะล้อเล่นไปทำไมกันเล่า เท่าที่ฉันมองดูแล้วมันไม่ต่างอะไรจากรังโจรเลยล่ะ จะเอายังไงต่อ? ลองเคาะประตูดูไหม?”
“เอาสิค่ะ”
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วเคาะประตูรังโจร
แต่ก็ยังคงไม่มีการตอบรับ ด้วยเหตุนั้นจึงเคาะอีกครั้ง
“ดูเหมือนจะไม่มีคนอยู่นะ”
“งั้นหรอคะ”
ทันที่พวกเขาหันหลังーชายผอมหนวดรกรุงรังซึ่งถือเบ็ดตกปลาอยู่ก็ได้ยืนอยู่ตรงหน้า
“มีธุระอะไรรึเปล่า?” ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะกลั้นเสียง แต่เเล้วーเสียงของพวกเขาก็ได้หลุดรอดออกมา
ต่างฝ่ายต่างพากันจับแขนเสื้อด้วยความหวาดกลัว ฟุยุสึกิเม้มปากพร้อมทำท่าทางแข็งทื่อ
“ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้” ชายตรงหน้าพูดต่อ
“คุณเป็นคนของชมรมวิจัยดอกไม้ไฟหรอครับ?”
“ใช่แล้ว โคโตมูงิ ยูอิจิ เป็นตัวแทน…ถึงจะอยู่คนเดียวก็เถอะนะ”
พูดเช่นนั้นจบ เขาก็เปิดประตูพรีแฟบและยัดเบ็ดตกปลาเข้าไปข้างใน
“แล้ววันนี้มีธุระอะไรหรอ?”
“แค่มาดูเฉยๆ ครับ”
“แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นล่ะ? มองไม่เห็นเหรอ?”
โคโตมูงิถามขึ้นพลางมองไปที่ไม้เท้าของฟุยุสึกิ
“ชะ ใช่ค่ะ” ฟุยุสึกิตอบ
“คนมองไม่เห็นก็สนใจดอกไม้ไฟเป็นเหมือนกันสินะ ไม่สิ ไม่เกี่ยวกับมองเห็นหรือมองไม่เห็น แค่ได้ฟังเสียงดอกไม้ไฟก็เป็นความสนุกอย่างหนึ่งแล้วนี่เนอะ”
รุ่นพี่พูดพลางพยักหน้าไปหลายหน
จากนั้นฟุยุสึกิก็ถามคำถามอันไม่คาดคิดออกมา
“สามารถจุดดอกไม้ไฟที่นี่ได้หรือเปล่าคะ?”
แน่นอน ว่ารุ่นพี่ทำหน้าสงสัย
“ทำไมล่ะ?”
“พอดีคราวก่อนเห็นดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้นที่มหาลัย เลยสงสัยว่าใช่ที่นี่รึเปล่าน่ะค่ะ”
ผมพลางนึกย้อนกลับไปตอนงานต้อนรับที่เราสองคนได้พบกัน ถ้าจำไม่ผิดวันนั้นรู้สึกว่าจะมีดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้นบริเวณพอนด์
“ฉันอยากลองจุดดอกไม้ไฟดูค่ะ”
“แค่มองดูจากที่ไกลๆ กับทุกคนไม่ได้เหรอ?”
“ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากลองจุดใกล้ๆ ค่ะ”
“เข้มจังน้า~ มันอันตรายนะ ดอกไม้ไฟน่ะ โดยเฉพาะคนมองไม่เห็นเนี่ย”
ระหว่างนั้นเอง รุ่นพี่ก็ได้ถลกแขนเสื้อให้ดู มีรอยแผลเป็นจากไฟไหม้เป็นจุดๆ ซึ่งน่าจะมาจากดอกไม้ไฟ เขาคงอยากจะสื่อว่า ‘เห็นไหมว่ามันอันตรายแค่ไหน’ แน่นอนคนที่มองเห็นคงจะอ๋อกันทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม ฟุยุสึกิกลับยืนนิ่งเฉย
รุ่นพี่สังเกตุปฏิกิริยาของฟุยุสึกิ จากนั้นก็ร้อง ‘อ๋อ’ ออกมาและดึงแขนเสื้อลงเข้าที่เดิม
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?” ฟุยุสึกิถาม
“ไม่มีอะไรๆ” รุ่นพี่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
“ช่วยบอกหน่อยสิคะ”
ฟุยุสึกิยังคงยืนกราน แต่โคโตมูงิหันหลังให้
แม้ฟุยุสึกิดูเหมือนจะอยากพูดอะไร แต่สุดท้ายเราก็เดินกลับไปยังระเบียง
“เมื้อกี้ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าคะ?”
“หมายถึงอะไรเหรอ?”
“พอดีเห็นเงียบไปก็เลยคิดว่ารุ่นพี่ทำอะไรให้ดูรึเปล่าน่ะค่ะ”
ผมจึงเล่าเรื่องรอยแผลเป็นที่รุ่นพี่โชว์ตรงหน้าให้กับเธอฟัง จากนั้นฟุยุสึกิก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเเผ่วเบาว่า “เป็นอย่างนั้นเองหรอคะ”
“การถูกทิ้งให้เข้าใจเอง มันเศร้ามากเลยค่ะ”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงราวกับเคยมีประสบการณ์แบบนี้บ่อยครั้ง
มองไม่เห็นーจำได้ว่ามนุษย์เราได้รับข้อมูลผ่านทางการมองเห็นมากถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ บางครั้งคนเราก็ใช้ข้อมูลนั้นในการสื่อสาร อย่างเช่นการการสบตาหรือการทำท่าทาง พอไม่สามารถทำแบบนั้นไม่ได้ คนอื่นก็อาจมองว่าเราคงทำไม่ได้ แล้วก็ล้มเลิกไป ซึ่งนั่นก็กลายเป็นเรื่องเจ็บใจสำหรับพวกเขาในที่สุด
“ฉันไม่อยากยอมแพ้ค่ะ”
ฟุยุสึกิที่พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเช่นนั้นดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงพูดเสียงดังขึ้น
“จริงสิ!”
เธอหันมายิ้มกว้างให้ผม ซึ่งทำผมประหลาดใจมาก เพราะเมื่อครู่เธอยังมองต่ำอยู่เลย
แสงแดดลอดผ่านใบไม้มากระทบใบหน้าของฟุยุซึกิอย่างพอดิบพอดี ทำเอาผมเผลอคิดว่ารอยยิ้มของเธอช่างน่ารักจริงๆ
แต่แล้ว คำพูดต่อมาก็ได้เรียกสติของผมกลับมา
“เรามาจุดดอกไม้ไฟกันเถอะค่ะ!”
“ไม่เอาเด็ดขาด!”
แค่ฟังก็รู้สึกเป็นเรื่องยุ่งยากแล้ว จึงปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด
อ๊ะ…ดูเหมือนเธอจะหยุดและคิดอะไรบางอย่าง
“ไม่เจ็บใจบ้างหรอคะ”
ผมไม่รู้สึกแบบนั้นเลย อย่างไรก็ตามฟุยุสึกิกลับคิดต่าง
“จริงสิ! เคยได้ยินมาว่ามีร้านขายดอกไม้ไฟอยู่ที่อาซากุสะบาชิค่ะ”
“ไม่ได้!”
“งั้นขออีกคำค่ะ”
“อีกคำอะไรล่ะ”
“คาเครุคุงเนี่ยเป็นคนดีจริงๆ นะคะ”
“เดี๋ยวนะ ตกลงฉันต้องไปด้วยเหรอ?”
ฟุยุสึกิหัวเราะพักหนึ่ง แล้วยิ้มและพูดว่า
“ไม่ใช่ว่าทำที่คั่นหนังสือของฉันหายหรอคะ?”
อ๊ะ…ลืมไปสนิท ผมหยุดชะงัก บางทีอาจจะปฏิเสธไม่ได้ซะแล้ว
“ถ้าอย่างงั้น ขอรบกวนหน่อยนะคะ”
ฟุยุสึกิยิ้มให้อีกครั้ง
สุดท้ายผมก็ยอมจำนนแก่เธอ และถามว่า “งั้นไปเมื่อไหร่ดี” ในเวลาถัดมา
⁶ ห้อง/บ้าน ฟรีแฟบ หรือ Prefabricated Building คือ วิธีการสร้างบ้านที่มีการผลิตและตระเตรียมชิ้นส่วนต่างๆไว้ก่อน แล้วค่อยนำมาประกอบที่หน้างาน