ผมได้ดูแลคูเดอเรลล่าข้างห้องและลงเอยด้วยการให้กุญแจบ้านกับเธอไป(I Spoiled “Quderella” Next Door and I’m Going To Give Her a Key to My House) - ตอนที่ 1.4
ในห้องทำงานหลังโบสถ์ นัตสึโอมิได้นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านตรงข้ามกับวิลเลียสซัง
“คุณคาตากิริเป็นคนสัมภาษณ์งานของที่นี่เหรอคะ?”
“จริงๆพี่ของผมเป็นคนดูแลสถานที่นี้น่ะแต่เธอกำลังขยันขันแข็งกับหน้าที่ของครูอยู่เธอเลยทิ้งหน้าที่นี้ไปแบบดื้อๆเลย”
“อย่างนี้นี่เอง เหนื่อยหน่อยนะคะ”
วิลเลียสซังพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมพูดไป
ผมเองก็รู้สึกสงสารครูประจำชั้นนะที่นักเรียนย้ายมาใหม่ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเธอไปซะแล้ว แต่มันก็ช่วยไม่ได้แหละนะ
“งั้นฉันขอกรอกแบบฟอร์มได้มั้ยคะ?”
ผมยื่นใบสมัครงานให้กับวิลเลียสซังไป
อันที่จริงงานพวกนี้ไม่ใช่งานพาร์ทไทม์ปกติทั่วไป แบบฟอร์มการสมัครก็ใช้แค่ข้อมูลทั่วๆไป เช่น ชื่อ ที่อยู่ ช่องทางติดต่อ และเหตุผลในการสมัคร เพราะนี่ก็คือโครงการพิเศษสำหรับนักเรียนที่อยากทำงานพาร์ทไทม์ พี่ของผมบอกมาแบบนี้น่ะ
“เนื่องจากมันเป็นข้อมูลส่วนตัวถ้าคุณไม่ต้องการให้ผมเห็นแล้วละก็คุณสามารถพับครึ่งก่อนที่จะเอามาส่งให้ผมก็ได้นะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่มีปัญหา”
พอพูดเสร็จวิลเลียสซังก็หยิบถุงใส่ดินสอออกมาจากกระเป๋าจากนั้นเธอก็เริ่มกรอกแบบฟอร์ม
ผมได้เหลือบไปมองถุงใส่ดินสอของเธอที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมสังเกตเห็นว่ามีรูปแมวหน้าตาประหลาดๆที่ติดอยู่ตรงพื้นหลังสีขาว ใช่ไอ้แมวที่ชื่อว่าบุซากาวะอะไรนั่นรึเปล่านะ? มันเป็นภาพของแมวที่ดูขี้เกียจหน่อยๆผมเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
(…..เอ๋~เธอเองก็ใช้ของที่น่ารักเหมือนกันสินะแปลกใจเลยแฮะ)
ผมอดไม่ได้เลยที่จะดูของใช้ส่วนตัวของเธอ ซึ่งดูต่างจากมาดที่เท่และเย็นชาของเธอเป็นอย่างมาก จากนั้นผมก็มองดูเธอกรอกแบบฟอร์มต่อ
วิลเลียสซังเนี่ยเป็นคนที่สวยจริงๆนั่นแหละนะ แม้แต่ท่าทางที่นำผมไปทัดไว้ที่หูในขณะที่ก้มเขียนอยู่มันน่ารักมากจริงๆเหมือนกับในหนังเลย แต่ท่าทางของเธอก็ยังแข็งทื่ออยู่เหมือนเดิมมันทำให้ผมไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ในขณะที่ผมกำลังดูเธอกรอกอย่างรวดเร็ว ผมก็พลางคิดไปด้วยว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เธอห่างเหินจากผู้คน จากนั้นวิลเลียสซังก็หยุดเขียนอย่างกะทันหัน เมื่อผมมองไปที่ปลายทางที่ปากกากำลังชี้อยู่
“ตรงนั้นคือเหตุผลว่าทำไมถึงอยากเข้ามาทำงานนี้น่ะครับ”
“อืม เข้าใจแล้ว ขอบคุณค่ะ”
วิลเลียสซังเอามือที่กำลังจับปากกาแตะไว้ที่ริมฝีปากของเธอพร้อมกับทำท่าทางครุ่นคิด
จากนั้นเธอก็ พยักหน้าเล็กน้อย พร้อมกับเริ่มเขียนลงไปว่า “ผู้อำนวยการแนะนำให้หนูทำงานนี้เพราะงานพาร์ทไทม์ที่อื่นเป็นสิ่งที่ห้ามทำของโรงเรียนโทเซ”พอเขียนเสร็จเธอก็หันมามองทางผม
“ไม่ใช่แบบนั้น เขาไม่ได้ถามว่าทำไมถึงเข้ามาทำงานที่โบสถ์ผมคิดว่าสิ่งที่เขาหมายถึงคือทำไมถึงอยากมีรายได้”
“แล้วทำไมถึงต้องอยากมีรายได้ล่ะ?”
“เอาเถอะยังไงเธอก็ไม่ถูกปฏิเสธหรอก เธอจะเขียนไปว่า อยากได้ประสบการณ์ทางสังคม หรือว่า อยากทำงานให้กับโบสถ์ หรือจะเป็นเพราะชอบ อะไรแบบนี้ก็ได้”
“ เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะ ”
วิลเลียสซังได้ก้มศีรษะลงแล้วก็วางยางลบเอาไว้ที่โต๊ะโดยที่ลำตัวของเธอยังตั้งตรง
ในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดว่าจะแปลชื่อของเธอมาเป็นภาษาญี่ปุ่นยังไงดีผมก็เหลือบไปเห็นชื่อกลางของเธอ
“นี่วิลเลียสซัง ชื่อกลางของคุณที่เขียนว่า “เอลียาห์” ใช่ชื่อที่ได้รับมาจากพิธีบัพติศมารึเปล่าครับ?”
“ใช่แล้วค่ะ”
เธอตอบคำถามของผมพร้อมกับพยักหน้าให้เล็กน้อย
ชื่อแบบนี้จะเป็นชื่อที่ชาวคริสเตียนได้รับหลังจากการเข้าร่วมพิธีบัพติศมาเพื่อเป็นข้อพิสูจน์ถึงความศรัทธาในตัวพระเจ้า มีหลายคนเลยที่นับถือศาสนานี้และได้เข้าร่วมพิธีจากนั้นพวกเขาก็ได้รับชื่อมา
ในฐานะโรงเรียนที่มีการสอนศาสนาอย่างโรงเรียนโทเซ ได้มีโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนกับโรงเรียนในเครือที่อยู่ต่างประเทศ ก็ไม่แปลกหรอกที่วิลเลียสซังจะเคร่งศาสนาและได้รับชื่อมาจากพิธีบัพติศมา
มันก็สมเหตุสมผลอยู่นะที่ผู้อำนวยการจะแนะนำงานนี้ให้กับเธอ
ในขณะที่นัตสึโอมิกำลังครุ่นคิดและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมด วิลเลียสซังก็ได้ยื่นใบสมัครที่เพิ่งกรอกเสร็จให้กับเขา
นัตสึโอมิก็ได้มองไปที่หัวข้อเหตุผลการเข้าทำงานที่เพิ่งได้รับการแก้ไข
จากนั้นนัตสึโอมิก็ได้อึ้งกับเหตุผลที่วิลเลียสซังเขียนเอาไว้
“ ค่าครองชีพงั้นเหรอ นี่คุณหมายถึง….พวกอาหารและของใช้ในชีวิตประจำวันใช่เปล่า?”
“อื้ม…ตามนั้นเลยค่ะ”
“นี่วิลเลียสซังจ่ายค่าครองชีพด้วยตัวคนเดียวทั้งหมดเลยงั้นเหรอ”
“…แปลกเหรอคะ?”
“ อ่า…เออ..ก็ไม่ได้แปลกอะไรขนาดนั้นหรอก”
วิลเลียสซังได้ตอบคำถามโง่ๆที่ผมเพิ่งถามไปด้วยสีหน้าปกติของเธอ
เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์จากอังกฤษที่ทำงานนอกเวลาเพื่อหาเลี้ยงชีพงั้นเรอะ นี่มันโครตแตกต่างจากที่เราคิดเอาไว้เลยนี่หว่า
ไอ้ที่เดาเอาไว้ว่าเธออยู่ตัวคนเดียวในตอนที่กำลังพูดอยู่กับเคย์อันนี้น่าจะถูกแต่ว่าเกี่ยวกับเรื่องภาพลักษณ์ของเธอที่เป็นเจ้าหญิงที่อยู่แบบสุขสบายนี่มันผิดแบบสิ้นเชิงเลย
อ่า พอเข้าใจแล้วล่ะ ที่เธอไปของานจากผู้อำนวยการผมคิดว่าเธออาจจะมีเหตุผลส่วนตัวก็ได้
เอาเถอะ การที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่นมากไปมันก็ไม่ดีด้วย ถ้าเธอไม่อยากจะบอกด้วยตัวเองผมก็ไม่ควรที่จะเข้าไปซักไซ้แหละนะ
ขณะที่ผมกำลังไตร่ตรองกับความจริงที่ว่า ตัวเองนั้นคิดเองเออเองเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของวิลเลียสซัง
จากนั้นนัตสึโอมิก็นึกขึ้นได้และเตือนวิลเลียสซังไปว่า
“งานนี้ได้เงินไม่ค่อยดีนะ ผมคิดว่าถ้าอยากได้ค่าครองชีพจริงๆแล้วละก็ไปหางานอื่นทำจะดีกว่านี้นะ”
ถึงแม้ว่าผมจะทำตามข้อตกลงของพ่อแม่ได้สำเร็จและได้ออกมาอยู่คนเดียวตามที่ต้องการแต่เงินที่ได้จากงานนี้ก็พอเป็นแค่ค่าขนมแหละนะ
ถ้าผมต้องการหาเงินเพิ่มจริงๆแล้วละก็ ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ว่าถ้าเกิดปัญหาขึ้นนิดๆหน่อยๆก็อาจจะสูญเสียสิทธิในการเป็นนักเรียนทุนได้ เพราะแบบนั้นผมเลยจึงต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดน่ะ
เอาเถอะยังไงก็ตามงานนี้ก็อยู่ในระดับที่ “โรงเรียนอนุโลมให้แหละนะ” แต่ว่าปริมาณงานที่ต้องทำมันไม่แน่นอนอะดิ ถึงจะมาทำงานในช่วงวันหยุดด้วยก็เถอะแต่ก็ยังได้เงินน้อยอยู่ดี
ขอพูดตรงๆเลยนะถ้าอยากได้งานที่จะใช้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องแล้วละก็ งานนี้ไม่เหมาะเป็นอย่างมากเลยละ
“….ไม่ค่ะ ฉันก็แค่อยากจะลองหารายได้ถึงมันจะเล็กน้อยก็ตามแต่ฉันก็จะทำเท่าที่ทำได้ค่ะ”
วิลเลียสซังละสายตาจากนัตสึโอมิแล้วมองไปที่โต๊ะ นัยน์ตาสีฟ้าครามของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกที่จริงจัง
ดูต่างจากเดิมลิบลับเลยแฮะ เสียงของเธอตอนนี้ดูเงียบสงบแต่แทรกไปด้วยความรู้สึกโกรธ
(….เธอเองก็แสดงอารมณ์ความรู้สึกทางสีหน้าได้นี่นา)
ผมรู้สึกตกใจนิดหน่อยที่ได้เห็นความตั้งใจอันหนักแน่นในน้ำเสียงของเธอเป็นครั้งแรก และในขณะเดียวกันภาพลักษณ์ของเธอที่อยู่ในหัวนัตสึโอมิก็เริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เธอคงจะมีเหตุผลเป็นของตัวเองแหละนะที่ย้ายมาเรียนที่นี่ งั้นผมก็จะไม่ขุดคุ้ยไปมากกว่านี้ละกัน
“ขอโทษครับ ที่ถามอะไรเกินเหตุ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ”
ในขณะที่ก้มขอโทษเธอ เธอก็ก้มขอบคุณผมพร้อมกับผมยาวดำที่ห้อยลงมา
“ งั้นผมจะเอาใบสมัครนี่ไปให้ผู้จัดการของที่นี่นะ ถึงผมจะคิดว่าคุณจะไม่ถูกปฏิเสธก็เถอะ แต่ก็รอฟังผลในสัปดาห์หน้านะครับ”
งานพาร์ทไทม์นี่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในหมู่พวกนักเรียนมากนักนั่นก็เพราะจำนวนเงินที่ได้ไม่ค่อยคุ้มค่ากับงานที่ต้องทำซักเท่าไหร่ เพราะแบบนั้นผมเลยเป็นคนเดียวที่ทำงานนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องทุนละก็ กุเองก็ไม่ทำหรอกโว้ย ถึงแม้ว่าที่นี่จะขาดคนไปแต่ทางโรงเรียนก็คงจะขอความช่วยเหลือขากคริสตจักรในการหาคนมาทำงานให้ชั่วคราวได้เองแหละ
ถ้าผู้อำนวยการเป็นคนแนะนำเธอเองแล้วละก็ ยังไงเธอก็ไม่ถูกปฏิเสธแน่นอน เอาเหอะแต่ก็ขอถามให้แน่ใจก่อนละกัน
“มีอะไรอยากจะถามเพิ่มเติมอีกไหมครับ?”
“งั้นฉันขอถามเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับงานได้มั้ยคะ?”
“หืม..ได้สิถ้าเป็นเรื่องที่ผมตอบได้ล่ะนะ”
“อืมม..เออ”
วิลเลียสซังมองไปที่โต๊ะครู่นึงราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นแล้วถาม
“คาตากิริซัง พักอาศัยห้องข้างๆฉันใช่รึเปล่าคะ?”
“…..เอ๊ะ?”
ผมซะงักกับคำถามของเธอไปครู่นึง
“คุณจำผมได้ด้วยงั้นเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ ในตอนที่ฉันเข้าห้องเรียนแล้วสังเกตเห็นคุณฉันก็นึกออกค่ะ”
“งั้นเองเหรอ?”
“ค่ะ”
“……”
“……”
…..แล้วกุควรจะพูดอะไรดีฟระเนี่ย!!
ตอนแรกผมก็นึกว่าเธอจะจำผมไม่ได้ซะอีกแต่เธอดันจำได้ซะงั้นและผมก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดีจู่ๆก็ถามมาแบบนี้เนี่ยคิดไม่ทันโว้ยย
นัตสึโอมิเคยพูดเอาไว้ว่าพอเจอครั้งต่อไปจะขอโทษเป็นอย่างแรก แต่ตอนนี้เขารู้สึกสับสนมากสมองเลยตามไม่ทันเขาเลยไม่รู้ว่าควรทำอะไรเป็นอย่างแรกดี
ตอนนี้วิลเลียสซังก็ยังจ้องเขม็งมายังผมอย่างไม่ละสายตาและผมเองก็ไม่รู้ด้วยว่าต่อจากนี้เธอจะพูดอะไรออกมา
คิดไปก็ไม่มีประโยชน์แล้วว้อยย เอาเถอะพอเงยหน้าขึ้น ก็ขอโทษเป็นอย่างแรกเลยละกัน
“เออ..คือว่า”
“ผมผิดไปแล้วครับ” “ฉันขอโทษนะคะคาตากิริซัง”
“ห๊ะ?…”
“เอ๊ะ?..”
พวกเขาทั้งสองก้มหัวขอโทษพร้อมกันแล้วเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ทำไมคาตากิริซังต้องขอโทษด้วยล่ะคะ?”
“เอ๊ะ…ไม่สิ…..ก็เรื่องที่ผมแอบมองคุณในตอนนั้นไง แต่คุณนั่นแหละทำไมถึงต้องขอโทษผมล่ะ?”
“ก็เวลาที่มีคนน่าสงสัยมาร้องเพลงที่หน้าระเบียงข้างห้องแบบนั้นน่ะคุณคงจะอึดอัดใจสินะ”
…….คนน่าสงสัย….ร้องเพลง?
แทนที่จะเรียกว่าคนน่าสงสัย กลับกันเรียกว่านางฟ้าจะดีกว่าไหม นั่นน่ะมันทำให้ผมตกหลุมรักเลยนะ และหลังจากนั้นนัตสึโอมิก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ขอโทษเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำลงไป
“ฉันจะจำให้ขึ้นใจเลยค่ะ ดังนั้นครั้งนี้ช่วยยกโทษให้ฉันด้วยนะคะ”
“เออ ไม่เป-….อื้ม ฉันเองก็จะระวังให้มากขึ้นเหมือนกัน งั้นพวกเราก็ผิดกันทั้งคู่แหละนะ”
“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
จากนั้นวิลเลียสซังก็ก้มศีรษะด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์เหมือนเดิม ผมเองก็ก้มลงไปพร้อมกับเธอด้วย
(……ถึงจะไม่รู้ก็เถอะว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ดีแล้วล่ะที่วิลเลียสซังไม่ได้โกรธผม)
ตอนแรกผมกะจะปล่อยเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ว่าก็มีอยู่หนึ่งสิ่งที่กวนใจผมในตอนนี้ ผมจึงเริ่มเอ่ยปากถามอีกครั้ง
“ผมขอถามอะไรอีกอย่างได้ไหมครับ?”
“ค่ะ มีอะไรเหรอคะ?”
วิลเลียสซังจดจ่อกับสิ่งที่นัตสึโอมิกำลังจะพูดต่อไปนี้
“เพลงที่คุณร้องเมื่อตอนเช้าน่ะมันไม่ได้ทำให้ผมอึดอัดเลย ผมไม่ได้เกลียดมันจริงๆนะ”
ดวงตาของวิลเลียสซัง สั่นไหวไปมาสองสามครั้งในขณะที่เธอกำลังฟัง จากนั้นเธอก็เอียงศีรษะด้วยความสงสัย
“คุณหมายความว่ายังไงกันคะ?”
เมื่อวิลเลียสซังถามผมด้วยสีหน้าเขินอายเล็กน้อยจากใบหน้าที่เคยไร้อารมณ์ นั่นมันทำให้ผมอายเล็กน้อยกับสิ่งที่พูดไปแต่ผมก็ไม่ได้หลบหน้าเธอและตอบไปว่า
“เสียงร้องเพลงของคุณน่ะมันไพเราะมากเลยครับ ผมเคยฟังเพลงจากหลายๆคนมาแล้วเพราะผมเป็นคนที่เล่นออร์แกน แต่ว่าเสียงของคุณน่ะมันทำให้ผมทึ่งไปเลย เพราะแบบนั้นเสียงคุณน่ะไม่ได้อึดอัดใจเลยครับ”
“คาตากิริซัง…”
วิลเลียสซังเบิกตาขึ้นพร้อมทำสีหน้าประหลาดใจ
ผมเคยเล่นเปียโนกับแม่อยู่บ่อยๆ เพราะแบบนั้นผมเลยมีโอกาสได้ร่วมร้องเพลงกับแม่อยู่บ่อยๆ
นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงรู้ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่การฮัมเพลง แต่ผมก็สามารถรู้ได้เลยว่าระดับเสียงของวิลเลียสซังนั้น ไม่ได้ฝึกมาแค่ชั่วข้ามคืนแน่
เพราะแบบนั้นผมต้องทำให้แน่ใจว่าผมได้พูดในสิ่งที่ควรจะพูดไปแล้ว ผมรู้ว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมควรจะยุ่ง แต่อย่างน้อยผมก็อยากจะแสดงความเคารพต่อเธอบ้าง
“….ข…ขอบคุณ….มากเลยค่ะ”
เมื่อวิลเลียสซังที่กำลังเอียงศีรษะอยู่นั้น เข้าใจในสิ่งที่ผมอยากจะสื่อ แก้มของวิลเลียสซังก็แดงขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับก้มขอบคุณ
(…ไม่ใช่แค่ไร้เดียงสาอย่างเดียวแต่ยังโครตน่ารักอีกด้วย)
แก้มของนัตสึโอมิได้คลายลงด้วยความโล่งใจเมื่อเห็นวิลเลียสซังที่กำลังอายอยู่และไหล่ที่ดูบอบบางของเธอก็สั่นเล็กน้อย
ตอนนี้เธอดูหน้ารักหน้าเอ็นดูสุุดๆไปเลยละ ผมที่เคยเห็นใบหน้าที่ดูเย็นชาและไร้อารมณ์ของเธอมาก่อนพอได้มาเห็นใบหน้าในตอนนี้ของเธอแล้วมันทำให้ผมคิดว่าเธอน่ะ น่ารักแบบสุดๆๆๆเลยละ
จากนั้นนัตสึโอมิก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
“….ยิ้มอะไรกันคะ”
“…..เปล่าาา”
นัตสึโอมิยักไหล่ในขณะตอบวิลเลียสซังที่กำลังทำหน้าบึ้งอยู่
ถึงผมอยากจะดูเธอในตอนที่น่ารักต่ออยู่ก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้อยากถูกเธอเกลียดเหมือนกัน ผมเลยเลือกที่จะยืนขึ้นเพื่อที่จะจบบทสนทนา
“ถ้างั้นคุณก็กลับมาที่นี่ในช่วงสุดสัปดาห์หลังเลิกเรียนนะ ผมจะอธิบายเกี่ยวกับงานที่คุณต้องทำให้ฟังเอง”
“ค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
จากนั้นผมก็เดินไปส่งวิลเลียสซังที่กับมาเป็นปกติแล้ว ไปยังประตูทางออกทางด้านหลัง เธอได้ก้มศีรษะให้กับผมก่อนที่จะเดินออกไป
ในขณะที่ผมมองไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า วิลเลียสซังก็ได้หยุดเดินแล้วหันมาทางผม
“คาตากิริซัง ในตอนที่คุณเล่นออร์แกนน่ะมันสุดยอดมากเลยค่ะฉันดีใจที่ได้ฟังนะคะ”
รอยยิ้มเล็กๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของวิลเลียสซังท่ามกลางแสงแดดของยามเย็น
นี่เป็นครั้งแรกเลยล่ะที่ได้เห็นเธอยิ้ม นัตสึโอมิไม่ได้ตอบกลับเธอไปเพราะกำลังอึ้งกับสิ่งที่เห็นอยู่
(…..บ้าเอ้ยย เธอก็ยิ้มได้นี่หวา)
ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความอ้างว้างเหมือนในตอนเช้าและใบหน้าที่ไร้อารมณ์ตอนอยู่ในห้อง ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของผมในตอนนี้ก็แค่ ผู้หญิงคนนึง ที่ทั้งสวยและน่ารักพร้อมกับนัยน์ตาสีฟ้าที่ดูอ่อนโยนยืนอยู่ตรงนั้น
“แล้วเจอกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะแล้วก็ขอโทษสำหรับเรื่องในวันนี้ด้วยค่ะ”
วิลเลียสซังโค้งคำนับให้นัตสึโอมิพร้อมกับผมที่ยาวสลวยที่ปลิวไปตามสายลม
รอบนี้ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นรอจนกว่าเธอจะเดินลับไปพอมั่นใจแล้วผมก็ได้ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า
(….เจ้าหญิงคนนี้นี่มัน เข้าใจยากจริงๆ)
ใบหน้าที่ดูอ้างว้างในตอนเช้า ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ในห้องเรียน ใบหน้าที่เขินอายก่อนหน้านี้ และรอยยิ้มนั่นทั้งหมดนี้มันได้ทำให้ผมตกหลุมรักเธอเข้าแล้วไง
มีเจ้าหญิงที่ย้ายมาจากอังกฤษได้มาเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งอยู่ข้างๆผมและยังเป็นเพื่อนร่วมงานพาร์ทไทม์ที่ไม่มีใครอยากทำ แถมเธอยังอยู่ห้องข้างๆผมในอพาร์ทเม้นท์ที่เดียวกันอีก
ผมได้หัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงสิ่งที่เคยเล่าให้เคย์ฟัง ถึงเขาจะไม่เชื่อก็เถอะ
แน่นอนว่า ผมกับวิลเลียสซังนั้นไม่มีความสัมพันธ์ที่มากไปกว่านี้แน่นอน และผมก็ไม่ได้คิดเกินเลยไปมากกว่านี้ด้วยถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเราจะเกิดจากความบังเอิญ
ถึงแบบนั้นผมจะดีใจมากถ้าเธอยอมเปิดใจให้ผมถึงจุดที่รู้สึกสบายใจเวลาอยู่ใกล้ผม
“เอาล่ะ งั้นเราก็ไปฝึกต่ออีกนิดละกัน”
ขณะที่ผมยิ้มให้กับเพื่อนบ้านที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปจากเดิม ผมได้ปิดประตูหลังของโบสถ์แล้วกับไปฝึกออร์แกนด้วยความรู้สึกที่โล่งอกเล็กน้อย
จบตอนที่ 1
☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆
ติดตามผลงานเพิ่มเติมที่ แปลมังงะ By.Kiruya