ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 85 :ฝีปากสาวชนบท
ตอนที่ 85 :ฝีปากสาวชนบท
หลังจากที่ทำเมนูเสริมเสร็จ ก็ปาเข้าไปห้าโมงกว่าแล้ว
เสร็จธุระแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงได้พาหลินเจียอินและเจียงชานกลับบ้าน
ขณะที่พวกเขาขี่มาถึงถนนลูกรัง เจียงเสี่ยวไป๋ก็ต้องจอดรถ เพราะเขาได้ยินผู้หญิงสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่ตรงร่องน้ำ
“เธอมันก็แค่ลูกขี้ข้า คนอื่นไม่กล้าด่าเธอ แต่ฉันไม่กลัวเธอหรอก”
”ก็แน่นะสิ เพราะเธอก็ดีแต่วิจารณ์คนอื่น พวกปากเจาะกะลา [1]”
“แล้วจะทำไม ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันคงเบื่อตัวเองจนตายไปแล้วล่ะ อยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ เกิดมาเป็นผู้หญิงทั้งที แต่เสียชาติเกิด”
“ยังมีหน้ามาบอกว่าฉันไร้ประโยชน์อีก ทำไมไม่หันไปมองตัวเองล่ะ อย่างน้อยคนอย่างฉันก็ให้กำเนิดลูกชายถึงสองคน แล้วเธอล่ะ เธอก็เป็นแค่แม่ไก่ที่ไม่ออกไข่”
“มีลูกสองคนแล้วจะมีประโยชน์อะไร ? เกิดได้แต่สอนไม่ได้”
“ก็ดีกว่าเป็นแม่ไก่ไม่ออกไข่แบบเธอก็แล้วกัน”
“นางสารเลว ทำไมวันนั้นเจียงเสี่ยวไป๋ไม่แขวนคอเธอให้ตาย ๆ ไปบนต้นพลับ จะได้ไม่ต้องมีชีวิตมาเถียงฉันอยู่แบบนี้”
“คนที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นอย่างเธอก็ไม่ต่างจากคนไร้ยางอาย อย่าคิดนะว่าไม่มีใครรู้เรื่องที่เธอและต้วนเหมาแอบพากันเข้าไปในป่า เรื่องอื้อฉาวที่เธอและต้วนเหมาทำได้สร้างความเสื่อมเสียให้แก่บรรพบุรุษของตระกูล ทำให้บรรพบุรุษสิบแปดชั่วอายุคนต้องอับอาย”
“ถ้าเอาชนะด้วยฝีมือไม่ได้ ก็ปล่อยข่าวลือไปสิ เธอยังจะไปทะเลาะกับลูกพี่ลูกน้องของเธอทำไม และห้ามไม่ให้เขาพูดเรื่องแต่งงานตลอดหลายปีมานี้”
“……”
หลังจากที่หลินเจียอินอุ้มเจียงชานออกจากรถ เธอก็เดินไปอยู่ข้าง ๆ เจียงเสี่ยวไป๋และยืนฟังอยู่พักหนึ่ง ใบหน้าที่สวยงามของเธอแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย คำพูดพวกนั้นดูไม่น่าฟังจริง ๆ
ไม่เพียงดุด่ากันเท่านั้น แต่ยังด่าลามไปถึงบรรพบุรุษสิบแปดชั่วอายุคนด้วย
“ทำไมจูเยี่ยนผิงและเลี่ยวจวี๋จือถึงมาด่ากันแบบนี้ล่ะ ? ”
หลินเจียอินได้ยินเสียงของทั้งสองคน จึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย
เจียงเสี่ยวไป๋เองก็ได้แต่ส่ายหัว ในชนบทนั้น เวลาที่ผู้หญิงในชนบททะเลาะกันมันดุเดือดมาก พวกเธอสามารถด่าทอฟ้าดิน ด่าทอลามไปยันบรรพบุรุษได้โดยไม่อายปาก
การปะทะฝีปากกันแบบนี้มันรุนแรงกว่าการทะเลาะวิวาทกันระหว่างมนุษย์ป้าในเมืองของคนรุ่นหลังเสียอีก
เพียงแต่เขารู้สึกว่ามันไร้สาระ
เวลาคนอื่นทะเลาะกัน ทำไมเราจะต้องไปอยากรู้ด้วย ?
“ช่างมันเถอะ ไม่ใช่เรื่องของเรา กลับบ้านกันก่อนดีกว่า”
พูดจบ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไปสตาร์ทมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างของเขากลับไปก่อน ส่วนหลินเจียอินและเจียงชานก็เดินตามหลังไปช้า ๆ
ในขณะนี้ เนื่องจากจูเยี่ยนผิงและเลี่ยวจวี๋จือทะเลาะกันเสียงดัง ผู้คนเกือบทุกครัวเรือนจึงยืดคอชะเง้อออกมาดูกันอย่างสนุก
เรื่องแบบนี้ในชนบทนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
“บึ้น บึ้นบื้น……”
เสียงเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างที่เจียงเสี่ยวไป๋กำลังสตาร์ทนั้นดังขึ้นมากลบเสียงทะเลาะของทั้งสองคน จนทำให้จูเยี่ยนผิงและเลี่ยวจวี๋จือต้องหยุดเถียงกันไปชั่วขณะ
สายตาของผู้ที่เฝ้ามองการทะเลาะกันของทั้งสองคนนั้นถูกดึงดูดทันที
เมื่อเทียบกับเสียงด่าทอทะเลาะกันที่น่าเบื่อและยาวนาน แน่นอนว่าการขับมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างที่สุดเท่ห์ของเจียงเสี่ยวไป๋นั้นน่าตื่นเต้นและน่าดึงดูดยิ่งกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
หลายคนเริ่มพูดคุยกันเสียงดัง
“เจียงเสี่ยวไป๋ นายกล้าหาญและเท่มาก ระวังด้วยนะ”
“ล้อด้านข้างลอยขึ้นแล้ว”
“ข้างหน้ามีทางเลี้ยวหักศอก ระวังด้วย”
“ไอ้ลูกชายตัวดีของฉันหมดหวังกับชีวิตของเขาแล้วหรือ ถึงได้ทำแบบนี้”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เขาขี่คล่องจะตายไป จริงไหม ? ”
“พระเจ้า เขาทักษะดีมาก ฉันหลงคิดว่าเขาเป็นคนโง่อยู่ตั้งนาน”
“นายเลิกเพ้อเถอะ ขนาดจักรยานยังขี่ไม่คล่อง นับประสาอะไรกับมอเตอร์ไซค์”
“……”
แม้ว่าบางคนจะเคยเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ขี่รถแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ก็มีหลายคนที่เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ
แม้แต่จูเยี่ยนผิงและเลี่ยวจวี๋จือก็หยุดดูจนลืมทะเลาะกันไปเลย
“ไอ้หยา มีรถเป็นของตัวเองมันดีแบบนี้นี่เอง ! ”
จูเยี่ยนผิงอารมณ์ไม่ดี เมื่อเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋กลายเป็นที่สนใจของผู้คน เธอก็ยิ่งโกรธมากขึ้น จึงสบถสาปแช่งออกมาว่า “ขี่รถแบบนี้ระวังตกหน้าผาตายเอานะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เลี่ยวจวี๋จือก็ตอบโต้ทันที “เธอนั่นแหละระวังตกเขาตาย เขาไม่เป็นไรหรอก”
“ฉันพูดลอย ๆ ใครจะรับก็รับไป”
“กล้าว่าให้เขาขนาดนี้ เธอก็ไปบอกเขาต่อหน้าเขาเลย ดูสิว่าเธอจะโดนเขาจับแขวนใต้ต้นพลับหรือเปล่า”
“……”
ทั้งสองเริ่มตะโกนด่ากันอีกครั้ง
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋ขับรถขึ้นไปถึงฝายน้ำก็เห็นเจียงไห่หยาง หวังซิ่วจวี๋ และคนอื่น ๆ กำลังดูจูเยี่ยนผิงและเลี่ยวจวี๋จือทะเลาะกันอยู่ที่ร่องน้ำ
“ทำไมไม่ขับมันดี ๆ ถ้ามันพลาดขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น ห๊ะ ! ”
เจียงไห่หยางอดไม่ได้ที่จะดุลูกชาย เพราะทุกครั้งที่เจียงเสี่ยวไป๋ขี่รถมักจะทำให้เขาเป็นกังวลอยู่เสมอ
“ใช่ จอดรถไว้ข้างล่างแล้วเดินขึ้นมาก็ได้”
คราวนี้ ไม่เพียงแต่เจียงไห่หยางเท่านั้นที่ตำหนิเขา แม้แต่หวังซิ่วจวี๋ก็เตือนเขาเช่นกัน
เจียงเสี่ยวไป๋ดับเครื่อง เขาไม่คิดที่จะแก้ตัวแต่อย่างใด และถามออกมาว่า “พ่อ แม่ ทำไมจูเยี่ยนผิงและเลี่ยวจวี๋จือถึงทะเลาะกันแบบนี้ล่ะ ? ”
หวังซิ่วจวี๋กล่าวว่า “เมื่อเช้านี้จูเยี่ยนผิงได้ต้อนควายเขาหักตัวนี้ไปกินหญ้า แต่เพราะเธอดูแลควายไม่ดี ควายจึงเกิดสะดุดและตกลงจากไหล่เขา ทำให้ขาข้างหนึ่งของมันหัก”
เจียงไห่หยางกล่าวเสริมว่า “ควายเขาหักตัวนี้มีเลี่ยวจวี๋จือมาร่วมหุ้นด้วย ด้วยความที่จูเยี่ยนผิงดูแลควายไม่ดี จึงเป็นธรรมดาที่ทั้งสองจะถกเถียงกันอย่างที่เห็น”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า ไม่น่าแปลกใจที่พวกเธอสองคนจะทะเลาะกันใหญ่โตขนาดนี้
ในชนบทนั้น วัวควายเป็นกำลังสำคัญในการทำการเกษตรทำไรไถนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
และควายนั้นก็มีราคาค่อนข้างแพง กว่าจะเลี้ยงจนโตป่านนี้ได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร กว่าจะซื้อควายมาได้ 1 ตัว ชาวบ้านหลายครัวเรือนต้องรวมเงินกันซื้อ และผู้ที่ออกเงินก็จะมีสิทธิ์ใช้งานควายตัวนั้น
แม้จะไม่ได้เป็นเจ้าของควาย แต่ก็สามารถใช้งานควายตัวนี้ได้ โดยทั่วไปแล้วควายหนึ่งตัวนั้นมีหลายครัวเรือนที่เป็นเจ้าของ
ครอบครัวของหลิวซือกั๋ว ครอบครัวของเลี่ยวจวี๋จือ ครอบครัวของเฉินหยวนชาง ครอบครัวของเฉินหยวนเซิ่ง ครอบครัวของหยางจ่างฮุย และครอบครัวของหยางซื่อหยุน ทั้งหกครัวเรือนได้ร่วมออกเงินซื้อควายที่เขาหักตัวนี้มา พวกเขาผลัดกันเลี้ยงครอบครัวละสองเดือน และตอนนี้ก็เป็นตาของครอบครัวหลิวซือกั๋ว
โดยไม่คาดคิด วันนี้จูเยี่ยนผิงขึ้นไปบนภูเขาเพื่อต้อนควายไปกินหญ้าในตอนเช้า แต่ควายเขาหักได้ตกลงมาจากไหล่เขาและขาหัก
ถ้าควายขาหักจะไม่สามารถไถนาได้อีกต่อไป
และอาจจะต้องฆ่าทิ้ง เพราะมันใช้งานไม่ได้แล้ว
ซึ่งก็เท่ากับว่าหลังจากนี้ ครอบครัวของหลิวซือกั๋วและอีกห้าครัวเรือนจะต้องสูญเสียแรงงานในการทำไรไถนาไป
หากว่าพวกเขาต้องการไถนาในภายหลัง พวกเขาก็ทำได้เพียงไปยืมควายของครอบครัวอื่นมาใช้
ทว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะไปยืมควายจากครอบครัวอื่นมาใช้งาน
หนึ่งคือ ควายทุกตัวในหมู่บ้านล้วนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน นั่นคือพวกมันไม่ได้มีเจ้าของแค่คนเดียว ซึ่งพวกมันก็ต้องผลัดกันทำงานให้แต่ละครอบครัวเวียนกันไป
หากต้องการยืมควายของครอบครัวอื่นมาไถนา ทุกครัวเรือนที่เป็นเจ้าของต้องยินยอมพร้อมใจกันด้วย
สิ่งนี้ไม่เพียงต้องขอความช่วยเหลือเท่านั้น แต่ยังต้องรอให้ผู้อื่นไถนาให้เสร็จก่อนถึงจะยืมได้
ลองคิดดู แม้ว่าบางครอบครัวจะใช้งานแค่ 2 วัน แต่กว่าจะใช้งานครบทุกครัวเรือนก็คงจะใช้เวลาประมาณ 10 วันหลังจากนั้น
มันคือความล่าช้าในการไถในฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อรู้ว่าขาของควายหัก อีกห้าครอบครัวก็รู้สึกโกรธ จูเยี่ยนผิงและเลี่ยวจวี๋จือถึงได้ทะเลาะกัน
เมื่อรู้เหตุผลแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดว่า “ควายขาหัก เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่เก็บมันไว้ แล้วแบบนี้พวกเขาจะทำอย่างไร ? ”
เจียงไห่หยางกล่าวว่า “เฉินหยวนชางเสนอให้ขายมัน ทั้งเฉินหยวนชางและหยางซื่อหยุนไม่ได้คัดค้านใด ๆ แต่เลี่ยวจวี๋จือและหยางจ่างฮุยไม่เห็นด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋จึงถามออกมาด้วยความสงสัย “ทำไมพวกเขาถึงไม่เห็นด้วย ? ”
ควายตัวนี้ก็ไม่สามารถไถนาได้อีกต่อไป และหากจะเลี้ยงต่อ ไม่เพียงแต่สิ้นเปลืองอาหารเท่านั้น แต่ยังทำให้งานต้อนฝูงควายล่าช้าไปอีก เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมเลี่ยวจวี๋จือและหยางจ่างฮุยถึงไม่เห็นด้วย
เจียงไห่หยางถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ “ถ้าควายไถนาได้ ราคาก็คงพอได้ แต่ตอนนี้ควายขาหักแล้ว ถ้าจะขายมันคงต้องฆ่ามันเท่านั้น”
“เถ้าแก่จาง คนขายเนื้อยังเสนอราคาให้พวกเขาต่ำมาก”
[1] เจาะกะลา แปลว่า พูดคุยซุบซิบนินทาคนอื่น แต่ส่วนใหญ่หมายถึงการพูดจาใหญ่โตโอ้อวด คำพูดที่ออกจากปากคน ๆ หนึ่ง เกินความเป็นจริง