ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 73 :ความสุขที่ไม่คาดคิด
ตอนที่ 73 :ความสุขที่ไม่คาดคิด
สวีเซี่ยงตงชำเลืองมองเจียงเสี่ยวไป๋แล้วพูดว่า “คุณมีส่วนสำคัญในครั้งนี้ และคุณสมควรได้รับการยอมรับและเงินรางวัล ทำไมคุณถึงปฏิเสธมันล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบว่า “เรื่องพวกนั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือสำนักความมั่นคงสาธารณะของคุณจับอาชญากรได้ พวกคุณช่วยกำจัดเนื้อร้ายในสังคมและรับประกันความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน”
“เอ่อ……”
สวีเซี่ยงตงเป็นผู้บังคับการเมือง มีทักษะในการทำงานเชิงอุดมการณ์ แต่ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ฟู่เต๋อเจิ้งฝืนยิ้มและมองไปที่เจิ้งปิงอี้และสวีเซี่ยงตง แล้วพูดว่า “พวกท่านทั้งสองคนคงยังไม่รู้ เดิมทีผมเคยจะเขียนข่าวของเขา แต่เขาปฏิเสธ”
ทันใดนั้น ฟู่เต๋อเจิ้งก็เล่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เจิ้งปิงอี้และสวีเซี่ยงตงถึงกับส่ายหัวเมื่อได้ยิน
เจิ้งปิงอี้หัวเราะเบา ๆ และพูดกับฟู่เต๋อเจิ้งว่า “ผมไม่คิดว่าสหายเจียงเสี่ยวไป๋จะปฏิเสธการถูกยกย่องน่ะ ดูเหมือนว่านักเขียนอย่างคุณมาที่นี่โดยเปล่าประโยชน์แล้ว”
ฟู่เต๋อเจิ้งโบกมือและพูดว่า “มันไม่เปล่าประโยชน์เสียทีเดียวหรอก คดีสำคัญเช่นนี้จะสร้างกระแสไม่เพียงเฉพาะในเมืองชิงโจวเท่านั้น แต่ข่าวนี้จะแพร่กระจายไปทั่วทั้งมณฑลตอนกลางของจีนทั้งหมดอย่างแน่นอน”
ทั้งเจิ้งปิงอี้และสวีเซี่ยงตงพยักหน้าเห็นด้วย
คดีนี้จะเป็นข่าวใหญ่ในสังคม แต่สำหรับพวกเขาสองคนและเหรินฉางเซี่ยผู้ดูแลคดี นับว่าเป็นการสร้างผลงานชิ้นใหญ่เช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋สมัครใจเลือกที่จะไม่เปิดเผยว่าเขาเป็นคนให้ข้อมูล คดีนี้จึงกลายเป็นการสอบสวนเชิงรุกโดยสำนักงานความมั่นคงสาธารณะเมืองชิงโจว ถือเป็นความสำเร็จที่หาที่เปรียบไม่ได้
ดังนั้นสายตาของเจิ้งปิงอี้และสวีเซี่ยงตงที่มองไปยังเจียงเสี่ยวไป๋ได้เปลี่ยนไป
สวีเซี่ยงตงกล่าวว่า “ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้ เราจะเคารพการตัดสินใจของคุณ”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง เขาก็พูดต่อ “น่าเสียดายที่คุณจะกลายเป็นวีรบุรุษไร้ชื่อเสียง”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและยักไหล่ ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจนัก
แม้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน แต่สำนักความมั่นคงสาธารณะเมืองชิงโจวยังต้องมีการแถลงข่าวนี้อยู่
เจิ้งปิงอี้กล่าวว่า “ผู้กองเหริน พาสหายเจียงเสี่ยวไป๋ไปส่งที ผู้บังคับการสวีและผมจะหารือเกี่ยวกับประเด็นของการแถลงข่าวกับประธานฟู่”
“ครับ อธิบดีเจิ้ง”
เหรินฉางเซี่ยและเจียงเสี่ยวไป๋กล่าวลาเจิ้งปิงอี้ สวีเซี่ยงตงและฟู่เต๋อเจิ้ง ก่อนออกจากห้องประชุมไป
เมื่อออกไปข้างนอก เหรินฉางเซี่ยเชิญเจียงเสี่ยวไป๋ไปที่ห้องทำงานของเขา
“ครั้งนี้เราต้องขอบคุณคุณมากจริง ๆ ”
ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในสำนักงาน เหรินฉางเซี่ยก็แสดงความขอบคุณ
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือและพูดว่า “คุณเป็นคนไขคดีนี้เอง ทำไมต้องขอบคุณผมด้วย”
เหรินฉางเซี่ยกล่าวว่า “ไม่ใช่แค่นั้น ขอบคุณที่เตือนผมถึงเรื่องที่พวกเขามีอาวุธปืน ไม่เช่นนั้นผมอาจพบกับชะตากรรมที่ต่างออกไป”
เมื่อพูดแบบนี้ เขาก็ดึงเจียงเสี่ยวไป๋ไปที่เก้าอี้ตัวเดียวในห้องและพูดต่อว่า “เมื่อพูดถึงเรื่องนั้น คุณช่วยชีวิตแม่ของผมเมื่อไม่กี่วันก่อน และตอนนี้คุณช่วยชีวิตผม ผมไม่รู้จะขอบคุณยังไงจริง ๆ ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้ เขาตบที่วางแขนของเก้าอี้และพูดติดตลกว่า “นี่คือเก้าอี้ผู้กองของคุณ ผมเป็นแค่พลเมืองธรรมดา ไม่กล้านั่งหรอกครับ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็ยืนขึ้นและแสดงท่าทางบอกให้เหรินฉางเซี่ยนั่งลง
ท้ายที่สุด มันเป็นเก้าอี้ทำงานของเหรินฉางเซี่ย และเขาก็ได้รับบาดเจ็บอยู่ เจียงเสี่ยวไป๋จึงไม่สะดวกใจที่จะนั่ง
พวกเขาคุยกันอีกสองสามคำ และเหรินฉางเซี่ยบอกว่าเขาจะส่งเจียงเสี่ยวไป๋กลับบ้าน
“ผู้กองเหรินมีแขกหรือ ! ”
ขณะที่พวกเขากำลังจะจากไป เจ้าหน้าที่ตำรวจในวัยสามสิบกว่าๆ ก็เดินเข้ามาทักทายพวกเขา
“ใช่ เพื่อนของผมเอง” เหรินฉางเซี่ยพูดแล้วถามว่า “เหล่าเฉิน มีอะไรหรือเปล่า ? ”
เฉินเจิ้งหมิงกล่าวว่า “มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างคันเก่าของหน่วยมักจะพังระหว่างทำภารกิจ คันใหม่ที่กรมจัดสรรให้เรามาถึงแล้ว เราจะทำอย่างไรกับคันเก่าดี ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
ก่อนที่เหรินฉางเซี่ยจะทันได้ตอบโต้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดอย่างรวดเร็วว่า “ผู้กองเหริน ผมขอซื้อรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างคันเก่าที่คุณเลิกใช้ได้ไหม ? ”
เหรินฉางเซี่ยตกตะลึงและถามว่า “รถคันนั้นเกือบจะเป็นเศษเหล็กแล้ว ทำไมคุณถึงอยากซื้อมันล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ “ผมอยากซื้อมอเตอร์ไซค์มาสักพักแล้ว แต่ผมยังไม่เจอโอกาสที่เหมาะสม มันจะดีมากถ้าคุณขายมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างเก่าที่คุณเลิกใช้ให้ผม”
เหรินฉางเซี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปถามเฉินเจิ้งหมิงว่า “เหล่าเฉิน คุณคิดว่าไง”
เฉินเจิ้งหมิงกล่าวว่า “รถตำรวจเก่าที่เลิกใช้แล้วมักจะไปอยู่ที่โรงเก็บขยะ หากเพื่อนของคุณต้องการ เราก็ให้เขาได้ ผมจะไปดำเนินการเรื่องเอกสารให้”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องให้ผม ผมจะซื้อจากคุณ แค่ช่วยผมเรื่องเอกสารก็พอแล้ว”
เหรินฉางเซี่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และพูดว่า “เอาล่ะ งั้นคุณจ่ายให้สำนักความมั่นคงสาธารณะ 100 หยวน แล้วผมจะจัดการเอกสารให้คุณเอง”
เจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขมากและตอบตกลงทันที
จากนั้น เหรินฉางเซี่ยช่วยเขาจัดการเอกสาร ส่วนเฉินเจิ้งหมิงถอดอุปกรณ์ตำรวจออกจากรถ นอกจากนี้ยังเติมน้ำมันให้เต็มถังอีกด้วย
“เรื่องสี ผมไม่ยุ่งแล้วนะ คุณคงจัดการเองได้นะ”
ขณะที่เขาพูด เฉินเจิ้งหมิงก็ส่งชุดกุญแจให้เจียงเสี่ยวไป๋
“ขอบคุณครับผู้กองเฉิน”
เจียงเสี่ยวไป๋รับกุญแจอย่างมีความสุข พร้อมเอ่ยขอบคุณ
ในที่สุดเขาก็มีรถมอเตอร์ไซค์เป็นของตัวเอง
แม้ว่ามันจะเป็นรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างมือสองที่เกือบจะเป็นเศษเหล็ก แต่เจียงเสี่ยวไป๋ก็พอใจมาก
ที่สำคัญก็คือเขามีเอกสารกรรมสิทธิ์ที่ถูกต้อง
เขาสามารถใช้ความรู้ของเขาเกี่ยวกับเทคนิคการดัดแปลงสมัยใหม่ได้อย่างเต็มที่เพื่อเปลี่ยนมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างคันนี้ให้กลายเป็นขุมทรัพย์ในไม่ช้า
เมื่อเขามีมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง เขาจึงไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเหรินฉางเซี่ยอีกต่อไป เจียงเสี่ยวไป๋ขับมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างออกจากสำนักความมั่นคงสาธารณะพร้อมเสียง ‘บื้น บื้น’
อารมณ์ของเขาดีมาก
เพราะเขาทั้งไม่ต้องกังวลว่านักเลงเฉินจะสร้างปัญหาให้เขาอีก และเขายังได้รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างมาโดยไม่คาดคิดอีกด้วย
กลับมาที่ร้าน
เมื่อหวังผิงเห็นเจียงเสี่ยวไป๋กลับมาพร้อมรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างที่มีคำว่า ‘ความมั่นคงสาธารณะ’ อยู่บนนั้น เขาก็ประหลาดใจอย่างมาก
“นายเอารถของสำนักความมั่นคงสาธารณะมาทำไม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กลอกตาไปที่เขาและพูดว่า “มันเป็นรถที่ปลดระวางจากสำนักความมั่นคงสาธารณะ และตอนนี้มันเป็นรถของฉันแล้ว”
“รถของนาย…? ”
หวังผิงส่ายหัวเหมือนคลื่นน้ำ “นายโม้หรือเปล่า! แถมยังโม้จนเอาสำนักความมั่นคงสาธารณะมาเกี่ยวข้องด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่สนใจที่จะอธิบายเพิ่มเติม และโยนกุญแจล็อครถจักรยานให้หวังผิง
“ฉันใช้รถของนายมานานมากแล้ว ขอบคุณมาก”
หวังผิงเห็นเจียงเสี่ยวไป๋คืนกุญแจล็อคจักรยานให้เขาก็เริ่มเชื่อว่ารถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างคันนั้นเป็นของเจียงเสี่ยวไป๋จริง ๆ เขาเกาหัวไม่เข้าใจว่ามอเตอร์ไซค์พ่วงข้างของตำรวจจะกลายเป็นของเจียงเสี่ยวไป๋ได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม เขามีนิสัยที่จะไม่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ
คนอย่างเขามีชีวิตที่ไม่ซับซ้อน
ต่างจากพวกที่ชอบหมกมุ่นกับเรื่องต่าง ๆ ชอบค้นหาคำตอบอยู่เสมอ
ในความเป็นจริง คุณไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ไปเสียทุกเรื่องไม่ใช่หรือไง ?
บางที การรู้ผลลัพธ์ก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร ?
บ่อยครั้งที่มันนำไปสู่ปัญหาที่ไม่จำเป็นเท่านั้น
หลังจากวนรอบรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างและพึมพำด้วยความชื่นชม หวังผิงจึงถามขึ้นว่า “ตอนนี้นายมีรถแล้ว นายมีตั๋วเติมน้ำมันหรือยัง ? ”
ในปี 1983 มันไม่เหมือนกับในยุคต่อมาที่คุณสามารถขับรถไปที่ปั๊มน้ำมันและเติมน้ำมันได้ตราบเท่าที่คุณมีเงิน
ในยุคนี้ ต้องมีตั๋วน้ำมันเพื่อเติมน้ำมัน
หากไม่มีตั๋วก็ไม่สามารถเติมได้ และไม่สามารถต่อรองใดๆ ได้เช่นกัน
และตั๋วน้ำมันถูกจัดสรรให้กับองค์กรเป็นหลัก น้อยมากที่ผู้คนจะได้รับการจัดสรรเป็นการส่วนตัว
นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนที่มีรถยนต์ส่วนตัวมีจำนวนน้อยมาก
“จากนี้ไป ฉันให้นายจัดการเรื่องหาตั๋วเติมน้ำมันแล้วกัน”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างหมดหนทาง “ถ้านายหาตั๋วเติมน้ำมันให้ฉันได้ ฉันจะสอนนายรถขับมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง”
หวังผิงยิ้มอย่างเหยียดหยาม “ฉันเคยอยู่ในกองทัพ ฉันเคยขับรถบรรทุกของทหาร นายคิดว่าฉันขับมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างไม่เป็นงั้นหรือ ? ”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง เขาก็พูดต่อว่า “ถ้านายต้องการให้ฉันหาตั๋วน้ำมันให้ นายกำลังมองหาผิดคนแล้ว ฉันไม่ได้เปิดปั๊มน้ำมันเสียหน่อย”
“เสี่ยวไป๋ ถ้าพี่สอนฉันขับรถ ฉันจะเอาตั๋วน้ำมันมาให้”
ทันใดนั้น เฝิงเยี่ยนหงก็พูดขึ้น
หวังผิงถามอย่างสงสัย “อย่ารับปากส่ง ๆ คุณจะเอาตั๋วเติมน้ำมันมาจากที่ไหน ? ”
เฝิงเยี่ยนหงหัวเราะและพูดว่า “แม้ว่าฉันจะไม่ได้ทำงานที่ปั๊มน้ำมัน แต่พี่ชายของฉันทำงานที่ปั๊มน้ำมันรถแทรกเตอร์”
หวังผิงตกตะลึง เขาจะพูดอะไรได้อีก ?
เจียงเสี่ยวไป๋ระเบิดเสียงหัวเราะและชี้ไปที่หวังผิง พลางพูดว่า “ดูนายสิ สมองของภรรยานายยังทำงานเร็วกว่าของนายเสียอีก”