ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 66 :ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลา
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 66 :ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลา
ตอนที่ 66 :ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลา
“ที่นี่อยู่ห่างจากตัวเมืองนับสิบลี้ ดูเหมือนว่าคุณแม่ของคุณจะนั่งจักรยานไม่ไหว ต่อให้ผมจะเข็นจักรยานและคุณพยุงเธอนั่งบนจักรยาน แต่เราก็อาจต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะไปถึงตัวเมือง”
เจียงเสี่ยวไป๋ประเมินสถานการณ์แล้วพูดออกมาตามตรง
นายตำรวจคนนี้ดูกระวนกระวายมาก เขาพูดว่า “แต่ยังดีกว่ารออยู่ที่นี่อย่างไร้ความหวัง โปรดช่วยเราด้วยเถอะ”
เจียงเสี่ยวไป๋จึงเสนอออกมาว่า “ผมขอลองดูรถของคุณก่อนได้ไหมว่าเสียตรงไหน หากผมซ่อมได้ จะช่วยคุณประหยัดเวลาได้มาก แต่ถ้าผมซ่อมไม่ได้ เราค่อยทำตามที่คุณพูด”
“สหาย คุณเป็นช่างเครื่องหรือ ? ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของนายตำรวจก็สดใสขึ้นและรีบถามออกมา
“ผมไม่ใช่ช่างเครื่องมืออาชีพ แต่หากรถเสียเพียงเล็กน้อย ผมก็พอช่วยซ่อมให้ได้”
“งั้นได้ รบกวนคุณด้วย”
นายตำรวจตอบตกลงทันที
จากนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็เข้าไปนั่งที่นั่งคนขับ ก่อนจะลองสตาร์ทเครื่องยนต์อีกรอบ
ไม่มีการตอบสนอง
เขาลงจากรถทันที แล้วเดินไปที่หน้ารถจี๊ปเพื่อเปิดฝากระโปรงดูก็พบว่าเครื่องยนต์ยังคงร้อนอยู่ แสดงว่าเครื่องยนต์พึ่งดับไปได้ไม่นาน
“คุณมีถุงมือไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตรวจสอบ ก่อนจะหันไปถามนายตำรวจคนนั้น
“มี”
นายตำรวจรีบไปที่รถและหยิบถุงมือผ้าเนื้อหยาบสีขาวคู่หนึ่งยื่นให้เจียงเสี่ยวไป๋
ถุงมือเหล่านี้ทำจากผ้าหนาและไม่ระบายอากาศ มักจะสวมใส่ไม่สบาย แต่ตอนนี้เหมาะสมแล้ว เพราะผ้าหนากันความร้อนได้ดีกว่า
เจียงเสี่ยวไป๋สวมถุงมือผ้าหยาบและเริ่มตรวจสอบเครื่องยนต์ที่ร้อนจัด
ในชาติที่แล้ว เขาเคยทำงานร้านซ่อมมาระยะหนึ่ง ทำให้เขาค่อนข้างชำนาญการซ่อมเครื่องยนต์อยู่บ้าง ไม่นานนัก เขาก็สังเกตเห็นการสะสมของคาร์บอนและการปนเปื้อนของน้ำมันในหัวเทียน
เจียงเสี่ยวไป๋ถอดหัวเทียนออก และเคาะเข้ากับตัวรถสองสามครั้ง หลังจากตรวจสอบแล้ว เขาก็บอกให้นายตำรวจนำผ้ามาผืนหนึ่ง เพื่อนำมาทำความสะอาดหัวเทียนทั้งภายในและภายนอก แล้วติดตั้งใหม่
“สหาย คุณลองดูสิ ตอนนี้น่าจะสตาร์ทติดแล้ว”
หลังจากปิดฝากระโปรงหน้าแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ถอดถุงมือออกแล้วพูดขึ้น
นายตำรวจดีใจมาก เข้าเข้าไปในที่นั่งคนขับแล้วบิดกุญแจเพื่อสตาร์ท และเครื่องยนต์ก็ส่งเสียง “ฮึ่ม ฮึ่ม ฮึ่ม” ในที่สุดก็สตาร์ทติดแล้ว
นายตำรวจไม่ได้ลงจากรถ เขาชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าดีใจและพูดว่า “สหาย คุณช่วยผมได้มากจริง ๆ ผมยังไม่ได้ถามชื่อแซ่ของคุณเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือและยิ้ม “เรื่องเล็กน้อย ไม่เป็นไร ผมชื่อเจียงเสี่ยวไป๋”
นายตำรวจพยักหน้า “ผมจะจำไว้ ผมต้องพาแม่ไปโรงพยาบาลก่อน แล้วผมจะไปหาคุณทีหลัง”
จากนั้น เขาก็เหยียบคันเร่ง รถจี๊ปก็พุ่งออกไป ทิ้งร่องรอยฝุ่นไว้เบื้องหลัง
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัว ไม่ได้สนใจคำพูดของนายตำรวจคนนี้มากนัก เขากลับมาขี่จักรยานและเดินทางเข้าเมืองต่อ
เมื่อเขาไปถึงร้าน หวังผิงเห็นว่าเขามาคนเดียวจึงเอ่ยถาม “ทำไมวันนี้เมียกับลูกสาวของนายไม่มาด้วยล่ะ ? ”
“พวกเธอต้องเข้าเมืองทุกวันเลยเหนื่อยล้า ฉันเลยให้พวกเธอพักผ่อนที่บ้านสักสองสามวัน”
เจียงเสี่ยวไป๋อ้างเหตุผลนี้ขึ้นมาโดยไม่พูดเหตุผลที่แท้จริง เพื่อไม่ให้หวังผิงและคนอื่นต้องกังวล
“ออกแต่เช้าตรู่แล้วกลับเย็นทุกวัน ระยะทางรวมแล้วหลายสิบลี้ มันค่อนจะหนักจริงนั่นล่ะ”
หวังผิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ และพูดว่า “ทำไมนายไม่ซื้อบ้านในเมืองสักหลังล่ะ จะได้ไม่ต้องเดินทางไปมาแบบนี้ทุกวัน”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบว่า “เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลังตอนฉันมีเงินพอ”
ตอนนี้บ้านในเมืองชิงโจวไม่ได้มีราคาแพง บ้านที่ถูกที่สุดราคาแค่ไม่กี่ร้อยหยวน บ้านที่ดีกว่าเล็กน้อยอยู่ที่ประมาณหนึ่งหรือสองพันหยวน ส่วนที่ดีกว่านั้นก็แค่ไม่กี่พันหยวนเท่านั้น ซึ่งเงินที่หลินเจียอินเก็บออมไว้นั้นมากเกินพอที่จะซื้อบ้านแล้ว
แต่ในตอนนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีความคิดที่จะซื้อบ้านในเมืองชิงโจว ดังนั้นเขาจึงตอบออกไปแบบนั้น
หลังจากทั้งสองคุยกันสักพัก พวกเขาก็เริ่มทำงาน
เวลาผ่านไปช่วงสิบโมง หวังผิงจึงพูดอย่างมีความสุขว่า “เสี่ยวไป๋ นายสังเกตไหมว่าวันนี้ไม่มีร้านขายผัดมันฝรั่งตรงสถานีขนส่งผู้โดยสารแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ เขาเพียงพยักหน้ารับก็เท่านั้น
หวังผิงยังคงตื่นเต้น “นายพูดถูก ธุรกิจผัดมันฝรั่งของพวกเขาไปไม่รอดจริงด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ และพูดคุยกับหวังผิงอีกเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า “นายตั้งใจดูแลร้านไปก่อนนะ ฉันจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”
ในช่วงสองสามวันมานี้ เจียงเสี่ยวไป๋มักจะออกไปเตรียมของเพื่อจะขายพะโล้ ดังนั้นหวังผิงจึงไม่คิดมากและพูดว่า “ได้สิ นายไปเถอะ”
จากนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ปั่นจักรยานออกไป และมุ่งหน้าไปทางใต้
ทางตอนใต้ของเมืองแบ่งออกเป็นสามเขต ได้แก่ เขตปาเจียวถิง เขตสะพานชีกง และเขตชิงหนาน
โรงงานส่วนใหญ่ของชิงโจว เช่น โรงพิมพ์ โรงงานเครื่องดื่ม โรงงานเครื่องจักร และโรงงานเคมี ตั้งอยู่ในสามเขตนี้ ส่งผลให้ค่าครองชีพในภาคใต้ของเมืองค่อนข้างสูง
หลังจากมาถึงเขตปาเจียวถิงแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็นำจักรยานของเขาไปจอด จากนั้นจึงเริ่มเดินเตร็ดเตร่ไปรอบ ๆ
เมื่อคืนเขานึกถึงความทรงจำจากชาติที่แล้วอย่างระมัดระวัง ข้อมูลที่สื่อเปิดเผยหลังจากคดีของหม่าตงหลาย โดยเปิดเผยว่าเขาได้ฝึกกองกำลังในเขตอำนาจของตนเอง โดยเขาควบคุมอยู่เบื้องหลัง และให้ลูกน้องเป็นคนลงมือ
เนื่องจากเวลาผ่านไปนาน เจียงเสี่ยวไป๋จึงจำสถานที่ที่แน่นอนไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงลองมาเสี่ยงโชคดูว่าจะพบหลักฐานอะไรหรือเปล่า
หลังจากเดินไปมาสองชั่วโมงกว่า ก็พบว่าจะใกล้เที่ยงแล้ว แต่เขายังไม่พบหลักฐานอะไรเลย
แต่เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รีบร้อน เมื่อเขาไปถึงบริเวณถนนจิ้งถิงใกล้กับโรงงานเครื่องดื่มเถิงต้า เขาสังเกตเห็นร้านขายน้ำของโรงงานเครื่องดื่มก็รู้สึกกระหายน้ำ จึงเข้าไปซื้อน้ำอัดลมหนึ่งขวด
ในยุคนี้ น้ำอัดลมหนึ่งขวดมีราคา 2 เหมา และต้องคืนขวดหลังจากที่ดื่มหมดแล้ว
มิเช่นนั้นคุณจะต้องจ่ายเพิ่มอีก 1 เหมาหากต้องการนำขวดติดตัวไปด้วย
หลังจากดื่มน้ำอัดลมเสร็จ เจียงเสี่ยวไป๋กำลังจะจ่ายเงินและจากไป ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นชายหัวโล้นรูปร่างกำยำคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ขอน้ำอัดลมเย็น ๆ หนึ่งขวด”
ชายคนนั้นยื่นเงิน 2 เหมาให้คนขายอย่างลวก ๆ
หวงฟู่ไห่ !
เจียงเสี่ยวไป๋เกือบจะโพล่งออกมาแล้ว
โชคดีที่เขาผ่านชีวิตมาสองชาติแล้ว สภาพจิตใจของเขาจึงแข็งแกร่งและเขาสามารถสงบสติอารมณ์ลงได้อย่างรวดเร็ว
ตามความทรงจำของเขา หวงฟู่ไห่เป็นลูกน้องมือหนึ่งของหม่าตงหลาย ซึ่งหม่าตงหลายเชื่อใจเขาอย่างมาก ยิ่งกว่าเชื่อใจนักเลงเฉินเสียอีก หม่าตงหลายยกให้หวงฟู่ไห่ดูแลกิจการหลายแห่งของเขา
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับหวงฟู่ไห่ที่นี่ ช่างเหมือนดังสำนวนที่ว่า ‘ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลา’ เพราะเขาได้พบกับตัวแปรสำคัญโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก จากนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นกระหายน้ำและซื้อน้ำอัดลมอีกขวด
หวงฟู่ไห่ดื่มน้ำอัดลมจนหมดอย่างรวดเร็วแล้วจากไป
หลังจากรอให้หวงฟู่ไห่เดินออกไปประมาณ 10 กว่าเมตร เจียงเสี่ยวไป๋ก็รีบจ่ายเงินและเดินตามหลังเขาไปอย่างระมัดระวัง
ทั้งสองคน คนหนึ่งเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ระแวดระวัง ส่วนคนหนึ่งเดินตามด้านหลังโดยทิ้งระยะห่างไว้
หวงฟู่ไห่เดินเข้าไปในถนนซีเว่ยที่อยู่ถัดจากโรงงานเครื่องดื่มเถิงต้า
คาดว่าหวงฟู่ไห่คงไม่คิดว่าจะมีคนสะกดรอยตามเขา ระหว่างทางจึงไม่หันกลับมามองด้านหลัง หลังจากเข้าไปในถนนซีเว่ยได้ไม่นาน เขาก็หยุดอยู่หน้าอาคารเก่าหลังหนึ่งและเคาะประตู
“พี่ไห่ พี่มาแล้วหรือ”
ไม่ช้าประตูก็เปิดออก และชายหนุ่มคนหนึ่งได้โผล่หัวออกมา เขาพยักหน้าทักทายและเชิญหวงฟูไห่เข้าไปด้านใน
“นี่คงเป็นบ่อนที่หวงฟู่ไห่คุมอยู่สินะ”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกตื่นเต้น เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ และพบจุดซ่อนตัวที่เป็นจุดเฝ้าสังเกตสถานการณ์ที่ดี
ในที่สุด ความพยายามของเขาก็เกิดผล เขาไม่ต้องรอนาน ผู้คนเริ่มเข้าไปในอาคารเก่าหลังนั้นทีละคน พวกเขาแต่งตัวแตกต่างกันออกไป มีทั้งพวกอันธพาลตามท้องถนน คนงานและคนที่สวมชุดคล้ายเจ้าหน้าที่ของทางการ
เจียงเสี่ยวไป๋นับจำนวนคนอย่างเงียบ ๆ ในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง มีคนเข้าออกที่นั่นมากถึง 46 คน
ประมาณสี่โมงเย็น หวงฟู่ไห่ก็ออกมาจากภายในอาคารเก่าหลังนั้น
สีหน้าของเขาดูเฉยชา เขาคาบบุหรี่ไว้ในปากและมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเดินออกจากถนนซีเว่ยไป
เจียงเสี่ยวไป๋จึงสะกดรอยตามเขาไปทันที
เพราะเขารู้ว่าหวงฟู่ไห่ดูแลกิจการมากกว่าหนึ่งแห่ง