ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 39 : มันฝรั่งไซซี
ตอนที่ 39 : มันฝรั่งไซซี
เนื่องจากเห็นว่าหลินเจียอินสนุกกับการขายผัดมันฝรั่ง เจียงเสี่ยวไป๋จึงให้เธอขายอยู่หน้าร้าน และเขามานั่งม้านั่งข้าง ๆ เพื่อปอกเปลือกมันฝรั่งกับเฝิงเยี่ยนหง
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือ ตั้งแต่หลินเจียอินเข้าไปขายแทนเขา ก็มีลูกค้าเข้ามาเพิ่มมากขึ้น
เดิมทีลูกค้าเหล่านี้ตั้งใจจะมาซื้อแค่คนละชาม แต่หลังจากพูดคุยกับหลินเจียอินเพียงไม่กี่คำ พวกเขาก็ตกลงซื้อ 3 ชามในราคา 1 หยวนแบบไม่ลังเล
ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่ามีลูกค้าจำนวนมากเข้ามานั่งกินในร้านน้ำชาพร้อมทั้งอุดหนุนกิจการของหวังผิงไปด้วย ส่งผลให้โต๊ะในร้านน้ำชาไม่เพียงพอ บางโต๊ะถึงกับมีลูกค้ามาต่อคิวรอนั่ง
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงเสี่ยวไป๋ก็เข้าใจเหตุผลในที่สุด
เหตุผลก็เพราะภรรยาของเขาสวย ทักทายลูกค้าด้วยความกระตือรือร้น พูดจาดี ลูกค้าเหล่านั้นจึงเลือกที่จะซื้อผัดมันฝรั่งหลาย ๆ ชาม เพื่อที่จะได้พูดคุยกับหลินเจียอินมากขึ้น
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกละอายใจอย่างช่วยไม่ได้
นี่คือประโยชน์ของความงาม ไม่ว่าจะเป็นชาติที่แล้วหรือชาตินี้ หรือก่อนยุค 1980 สิ่งนี้ก็ล้วนมีอิทธิพลต่อจิตใจมนุษย์ทั้งสิ้น
”เห็นแบบนี้ในอนาคตคงต้องมีชื่อแบรนด์ว่ามันฝรั่งไซซี”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะออกมาดัง ๆ
ไม่มีปัญหาหากจะให้ภรรยาของเขาขายผัดมันฝรั่ง แต่ต้องไม่ให้เธอขายเต้าหู้เป็นอันขาด
เพราะเต้าหู้ของภรรยาต้องมีแต่เขาเท่านั้นที่ได้กิน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนล่วงเลยมาเป็นช่วงบ่ายในพริบตา
แต่กิจการที่กำลังรุ่งเรืองก็ยังไม่หยุดนิ่ง และยังมีผู้คนจำนวนมากมายืนรอต่อแถวกันอยู่
เจียงเสี่ยวไป๋หยุดปอกมันฝรั่ง เขานับเงินที่ขายได้ตลอดช่วงเช้ามานี้ ซึ่งมันก็ทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง เขาได้เงินมาถึง 418 หยวน 8 เหมา
ยังไม่หมดแค่นั้น ผัดมันฝรั่งยังคงขายได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเงินก็ยังไหลเข้ามาไม่หยุด
หลังจากหยุดความตื่นเต้นลงแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดว่า “เมียจ๋า ขายมันแทนผมไปก่อนนะ ผมขอแวะไปที่โรงพิมพ์แปปหนึ่ง”
”จะไปไหนก็ไปเถอะ”
หลินเจียอินตอบออกมาโดยที่ไม่หันหน้ามามองเขา
สำหรับเจียงเสี่ยวไป๋ การที่เขาเรียกภรรยาไปแบบนั้นในที่สาธารณะ แต่เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ว่าอะไรเขาก็เลยไม่สนใจ
เมื่อเตรียมเงินเสร็จ เขาก็หันไปพูดกับเด็กทั้งสองคนว่า
”ซานชาน เสี่ยวกัง ไปกันเถอะ อยากไปซื้อของกันไหม”
เมื่อคิดว่าต้องไปซื้อเหล้าและหมูให้พ่อกับแม่ของเขาหลังจากที่ไปทำธุระที่โรงพิมพ์เสร็จ เจียงเสี่ยวไป๋จึงได้ชวนเจียงชานและหวังกังไปด้วยกัน
”ไปค่ะไป ไปซื้อของกัน”
เด็กน้อยทั้งสองคนเล่นด้วยกันจนเบื่อแล้ว แต่เมื่อได้ยินว่าพวกเขาจะได้ไปเดินเล่นซื้อของ พวกเธอก็รีบวิ่งออกมารอด้วยความตื่นเต้น
เจียงเสี่ยวไป๋ต้องดูแลเด็ก 2 คน เขาจึงไม่ได้ปั่นจักรยานไป แต่เลือกที่จะเดินจูงเด็กทั้งสองคน ตรงไปที่โรงพิมพ์เพื่อจ่ายเงินก่อน
“นี่ลูกคุณหรือ”
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋เดินมากับเด็กทั้งสอง เซี่ยงเฉียนจิ้นถึงทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
”นี่คือลูกสาวของผมครับ เจียงชาน ส่วนนี่คือหวังกัง ลูกชายของลูกพี่ลูกน้องของผม” เจียงเสี่ยวไป๋แนะนำเด็กทั้งสอง
“ลูกสาวของคุณก็ไม่ต่างจากเป็นหลานสาวของฉัน เรียกลุงสิ เดี๋ยวลุงจะให้ขนม เอาไหม” เซี่ยงเฉียนจิ้นเย้าหยอกเจียงชานและหวังกังด้วยรอยยิ้ม
”คุณลุง”
”คุณลุง”
เซี่ยงเฉียนจิ้นเห็นว่าเด็กทั้งสองมีพฤติกรรมที่น่ารัก เขาจึงหยิบทอฟฟี่กระต่ายขาวสองห่อมาให้พวกเธอด้วยความเอ็นดู
ในปี 1983 เป็นยุคที่ลูกอมผลไม้สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาด แต่ลูกอมนมกระต่ายขาวหานั้นไม่อาจหาซื้อได้ง่าย ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋เคยไปหาซื้อมาให้เจียงชานอยู่ครั้งหนึ่ง แต่เขาก็หามาให้เธอไม่ได้
จริง ๆ แล้วขนมสองห่อนี้เซี่ยงเฉียนจิ้นได้มาจากลูกค้าที่มาจากเมืองหลวงในวันนั้น เดิมที เขาจะเอาไปให้ลูกชายของเขากิน แต่หลังจากพบเจียงชานและหวังกัง เขาก็มอบมันให้กับทั้งสองทันที
”ขอบคุณครับ/ค่ะ คุณลุง”
เด็กสองคนนี้ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดีมาก เมื่อรับของก็กล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ
แค่นี้คนที่ให้ก็มีความสุขแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋รู้โดยธรรมชาติว่าลูกอมกระต่ายขาวนั้นไม่ใช่ของถูก ๆ ดังนั้นเขาจึงขอบคุณเซี่ยงเฉียนจิ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะเข้าประเด็น
มีการคำนวณต้นทุนของชามกระดาษที่ทำขึ้นก่อนหน้านี้
กระดาษ 350 มล. หนึ่งตันมีราคาเพียง 20 หยวน ซึ่งเป็นราคาต้นทุนที่ถูกมาก แต่สาเหตุที่ถ้วยกระดาษมีราคาสูงขึ้นมาก็เพราะค่าแรงงาน
”เสี่ยวไป เท่าที่ฉันคำนวนมา ชามกระดาษ 10,000 ใบที่คุณสั่งไป มีต้นทุนอยู่ที่ใบละ 8 หลี” เซี่ยงเฉียนจินกล่าว
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า มันเป็นงบประมาณที่ใกล้เคียงกับที่เขาคาดเอาไว้
“งั้นผมจ่ายให้คุณใบละ 1 เฟิน 2 หลี ตามนี้นะครับ” เจียงเสี่ยวไป๋เสนอราคาออกมา
”ไม่ ไม่ คุณจ่ายให้ผมแค่ใบละ 1 เฟินพอ แค่นี้เราก็ได้กำไรมากมายแล้ว ” เซี่ยงเฉียนจิ้นรีบพูดขึ้นมา
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่สามารถปฏิเสธได้ ดังนั้นเขาจึงต้องตกลง แต่กล่าวว่า “หลังจากนี้ ถ้าคุณจะตั้งราคา อย่างน้อยก็ขอให้ขายใบละ 1 เฟิน 5 หลี ต่อให้เป็นราคานี้ โรงงานของคุณก็ขายชามกระดาษราคาถูกกว่าที่อื่นอยู่ดี”
หากขายใบละ 1 เฟิน 5 หลี ก็เท่ากับได้กำไรครึ่งต่อครึ่งเลยไม่ใช่หรือ
เดิม เซี่ยงเฉียนจิ้นวางแผนที่จะขายในราคา 1 เฟิน กับอีก 2-3 หลี แต่เขาไม่คาดคิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะแนะนำให้ตั้งราคาสูงขนาดนี้
แต่ถึงอย่างไร สิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดมา ก็มีเหตุผล
นี่เป็นโอกาสที่เขาจะทำเงิน ?
โดยไม่ได้ตั้งใจ เจียงเสี่ยวไป๋ทำให้ความคิดในการตั้งราคาชามกระดาษของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
ชามกระดาษที่ใช้แล้วทิ้ง 10,000 ใบ เขาขายให้เจียงเสี่ยวไป๋ในราคาใบละ 1 เฟิน รวมทั้งหมดก็เป็นเงิน 100 หยวน
หลังจากจ่ายเงินแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดว่า “ผู้จัดการเซี่ยง งั้นผมขอสั่งเพิ่มอีก 20,000 ใบเลยละกัน แล้วพิมพ์คำว่า ‘มันฝรั่งไซซี’ ลงไปให้ด้วยนะครับ ผมจะใช้เป็นชื่อแบรนด์”
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์การขายในวันนี้ ชามกระดาษ 10,000 ใบอาจจะอยู่ได้ไม่ถึงสองสามวันด้วยซ้ำ ดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋จึงสั่งเพิ่มอีก 20,000 ใบ
สำหรับเซี่ยงเฉียนจิ้นแล้ว เขาก็ต้องดีใจที่จะได้เงินเพิ่ม
เพิ่งได้เงินก้อนแรกมา เงินก้อนที่สองก็จะตามมาอีกแล้ว
ดูเหมือนว่าธุรกิจขายผัดมันฝรั่งของชายคนนี้จะขายดีมาก
คิดได้แบบนั้น เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “คุณขายวันละกี่ชามกัน 10,000 ใบที่เพิ่งเอาไปนั้นยังไม่พออีกหรือ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากผมขายได้ 1,000 ชามต่อวัน ใช่เวลาเพียงไม่กี่วันชาม 10,000 ใบก็คงหมด”
เซี่ยงเฉียนจิ้นตกใจจนอ้าปากค้าง
เดิมทีเขาคิดว่า ไม่ว่าธุรกิจของเจียงเสี่ยวไป๋จะขายดีขนาดไหน ก็คงขายได้มากสุด 200-300 ชามต่อวัน แต่เขาไม่คาดคิดว่ายอดขายผัดมันฝรั่งจะทะลุเกิน 1,000 ชามต่อวันแบบนี้
แต่เมื่อเขานึกถึงรสชาติของผัดมันฝรั่งที่เขาเคยกินก่อนหน้านี้ เขาก็พอเข้าใจ
ทั้งสองพูดคุยกันและหัวเราะอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นเจียงเสี่ยวไป๋ก็พาเจียงชานและหวังกังออกไปซื้อของต่อ
เขาตรงไปที่เขียงขายหมูเพื่อซื้อหมู ก่อนที่ของจะหมดไปเสียก่อน เพราะว่าตอนนี้ก็สายมากแล้ว
แต่ครั้งนี้เจียงเสี่ยวไป๋มีตั๋วมาด้วย จึงได้ในราคาที่ถูกกว่าปกติถึงจินละ 10 เหมา เนื้อติดมันราคาเพียงจินละ 1หยวน 20 เหมา และเนื้อแดงราคาจินละ 1 หยวน
เจียงเสี่ยวไป๋จึงได้ซื้อเนื้อติดมัน 10 จิน และเนื้อแดงอีก 2 จิน
เนื้อหมูติดมันนั้น เขาซื้อไปให้พ่อแม่ ซึ่งแค่นี้ก็เพียงพอต่อคนในบ้านใหญ่ ซึ่งพวกเขาจะนำไปทำเป็นอาหารในวันพรุ่งนี้
ส่วนเนื้อแดง เขาจะนำมาทำอาหารให้กับภรรยาและลูก เพราะเนื้อหมูที่ไม่ติดมัน ดีต่อสุขภาพมากกว่า
เมื่อออกจากตลาด เจียงเสี่ยวไป๋ก็พาเด็กทั้งสองไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า
บรรจุภัณฑ์อันแพรวพราวของสินค้า ที่อยู่ภายในห้างสรรพสินค้า ดึงดูดสายตาของเด็กน้อยสองคนเป็นอย่างมาก พวกเขามองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เจียงเสี่ยวไป๋พาทั้งสองคนเดินไปยังโซนขายเสื้อผ้าก่อน
เสื้อผ้าของผู้ใหญ่และเด็กสมัยนี้ ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าที่สั่งตัดจากร้านตัดเย็บเสื้อผ้า ตามขนาดที่พวกเขาสั่งทำ
เพราะว่ามันจะมีราคาที่ถูก และใส่พอดีตัวกว่า แต่สไตล์จะเชยกว่า
สำหรับเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ขายตามห้าง จะมีราคาที่สูง แต่ก็มีแบบไม่มาก
เจียงเสี่ยวไป๋ซื้อเสื้อให้กับหวังกังสองตัว กางเกงสองตัว และรองเท้าสองคู่ ตามความต้องการของเด็กน้อย
เพราะเมื่อคืน หวังผิงได้เอานมสองกระป๋อง ซึ่งมีราคามากกว่าสิบหยวนต่อกระป๋องไปฝากเขา และที่ผ่านมา หวังปิงและภรรยาของเขา ก็เคยช่วยเหลือเขาตอนที่เขาลำบากมาก่อน ดังนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ย่อมไม่ลังเลที่จะตอบแทนพวกเขาโดยการซื้อของให้กับเสี่ยวกัง
เสื้อผ้าใหม่ 2 ชุดและรองเท้าใหม่ 2 คู่ ได้ทำให้หวังกังมีความสุขมากจนตะโกนโอ้อวดกับทุกคนที่ผ่านไปมาว่าอาเจียงที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพ่อเขาเป็นคนซื้อให้
สิ่งนี้ทำให้พนักงานขายเสื้อผ้าอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ
พระเจ้า ชายคนนี้ใช้เงินมากกว่า 40 หยวนเพื่อซื้อเสื้อผ้าให้เด็กผู้ชายคนนี้ ทั้งที่ไม่ได้เป็นลูกของตัวเอง
ต้องรวยขนาดไหนกัน !
ยอมใจจริง ๆ !
พูดไปแล้วชายคนนี้ก็ทั้งสูงทั้งหล่อ คงยังไม่ได้แต่งงานใช่ไหม ?
หากว่าลองเข้าหาสักครั้ง ก็คงจะไม่เสียหายอะไร ?
การได้เป็นลูกสะใภ้เศรษฐี อนาคตก็คงจะได้ใส่เสื้อผ้าสวย ๆ แพง ๆ พวกนี้ใช่หรือเปล่า ?
พนักงานหญิงในโซนขายเสื้อผ้ามองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ต่างจากเดิมทันที