ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 35 บัญชีรายรับรายจ่าย
ตอนที่ 35 บัญชีรายรับรายจ่าย
”เมียจ๋า คุณเข้าไปในบ้านก่อน เดี๋ยวผมจะอธิบายบัญชีรายรับรายจ่ายให้ฟังนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวกับหลินเจียอินด้วยรอยยิ้ม ขณะถือเนื้อหมูและผักที่เขาซื้อมาเข้าไปในห้องครัว
บัญชี ?
หลินเจียอินรู้สึกสับสนเล็กน้อย
พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่เป็นทางการไปหน่อยหรือที่จะมาพูดถึงบัญชีรายรับรายจ่าย
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็มีความสุขมาก
ทันทีที่ชายคนนี้กลับมา เขาก็ยื่นเงินที่ได้มาให้กับเธอ ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าเขาให้เกียรติเธอแค่ไหน
”ให้”
เจียงเสี่ยวไป๋ หยิบกระเป๋าที่มีเงินออกมาแล้วส่งให้หลินเจียอิน
วันนี้ขายได้เงินจำนวนมาก และส่วนใหญ่ก็เป็นเหรียญ ดังนั้นเฝิงเยี่ยนหงจึงหาถุงพลาสติกมาให้เจียงเสี่ยวไป๋ใส่เงินและแยกเป็นสัดเป็นส่วน
ในกระเป๋าใบนี้ จึงเต็มไปด้วยถุงเงินที่แบ่งเป็นถุง ๆ
หลินเจียอินรู้สึกตะลึงเล็กน้อย
“มันที่ผมขนไปวันนี้ขายหมดแล้ว วันนี้ได้เงินมาทั้งหมด 249 หยวน 2 เหมา”
”ผมเอาซื้อเนื้อหมูและผักไป 23 หยวน 3 เจี่ยว”
”คงเหลือ 270 หยวน 9 เหมา คุณลองนับดูได้”
เจียงเสี่ยวไป๋รายงานบัญชีรายรับรายจ่ายของวันนี้ให้หลินเจียอิน
“คุณขายมันได้มากกว่าสองร้อยหยวนเลยหรือ ? ”
เสียงของหลินเจียอินสั่นเครือด้วยความตื่นเต้น เธอเองก็รู้สึกว่ากระเป๋าในมือเธอหนักจริง ๆ
“ใช่ คุณเอาเงินออกไปเก็บเถอะ แล้วเอากระเป๋ากับเงินทอนไว้ให้ผมด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พรุ่งนี้ผมต้องออกไปหาเงินต่อ”
”เอาล่ะ ! ถ้าอย่างนั้น ไหนฉันลองนับก่อน”
หลินเจียอินกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น จากนั้นเธอก็เดินไปปิดประตู
“คุณจะนับเงิน แล้วทำไมต้องไปปิดประตูด้วยล่ะ” เจียงเสี่ยวไป๋ถามออกมาด้วยสีหน้างงงวยเล็กน้อย
”มันเป็นเงินจำนวนมาก มันไม่ดีถ้าคนอื่นมาเห็นเข้า”
หลินเจียอินกล่าว
”อ้อ ไม่ต้องปิดประตูหรอก ขืนคุณปิดประตูตอนกลางวันแสก ๆ แบบนี้ เดี๋ยวคนอื่นจะคิดว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่ในบ้าน” เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “เข้าไปนับข้างในห้องก็ได้”
”โอ้……”
ใบหน้าของหลินเจียอินแดงก่ำ เจียงเสี่ยวไป๋คนนี้ในหัวคิดแต่เรื่องอะไรอยู่ ถึงพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ออกมา
เธอรีบหันกลับและเดินเข้าไปข้างในทันที
”เมียจ๋า เงินที่ได้มานี้คุณต้องแบ่งเอาซื้อมันฝรั่งจากชาวบ้านด้วยนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตะโกนไล่หลังด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นหลินเจียอินไม่ตอบกลับอะไร เขาจึงฮัมเพลงทำเป็นไม่สนใจ ปล่อยให้เธอเข้าห้องและปิดประตูไป
หลังจากนั้นไม่นาน หลินเจียอินก็เดินออกมาจากข้างในบ้าน ก่อนจะยื่นกระเป๋ารวมถึงเงินทอนให้กับเจียงเสี่ยวไป๋
“คุณต้องการมันฝรั่งอีกกี่กระสอบ”
เจียงเสี่ยวไป๋หยิบกระเป๋าเงินกลับไปพับเก็บใส่กระเป๋าเป้ของเขาและพูดว่า “ขอรวบรวมให้ได้ประมาณ 3,000 จินก่อน ลองไปถามซื้อจากชาวบ้านคนอื่น ๆ ด้วย ถ้าพวกเขาขาย ให้พวกเขาชั่งเป็นกระสอบแล้วเอาไปรวมไว้ที่ข้างถนน หวังผิงกับพี่เขยของเขาจะเป็นคนมาขนเข้าเมืองเอง”
”ได้เลย เดี๋ยวฉันจัดการให้”
หลินเจียอินรับปากและเดินออกไป
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มตามหลัง ปล่อยให้หน้าที่รับซื้อมันฝรั่งในหมู่บ้านเป็นหน้าที่ของเธอไป เพราะเธอนั้นน่าเชื่อถือกว่าเขา
ถ้าหากเขาเป็นคนไปซื้อล่ะก็ ชาวบ้านอาจจะไม่ให้เข้าบ้านด้วยซ้ำ
แต่ไม่เป็นไร เขายังสามารถทำอย่างอื่นได้ในช่วงนี้
”ชานชาน เข้าบ้านกันเถอะ พ่อจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้กิน”
เจียงเสี่ยวไป๋ชวนเจียงชานไปทำอาหารด้วยกัน เขาวางแผนที่จะมาทำกิจกรรมพ่อแม่ลูกเพื่อกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว
”ได้ค่ะ”
เจ้าตัวเล็กเห็นด้วยอย่างมีความสุข และพูดเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อย “ปะป๊าทำอาหารอร่อยทุกอย่างเลย ฉะนั้นหนูต้องเรียนรู้มันตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อจะได้ทำอาหารให้ปะป๊าทานในอนาคต”
”งั้นก็เป็นเกียรติอย่างมากที่เจ้าหญิงตัวน้อยของพ่อ จะทำอาหารให้พ่อกิน”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกขบขันกับท่าทีของเจ้าตัวเล็ก เขาเอามือถูจมูกและพูดอย่างมีความสุข
ในตอนนี้สองพ่อลูกก็เข้าครัวด้วยกัน
ก่อนอื่นเลยคือต้องลวกกระดูก ซี่โครงหมู หัวหมู และตีนหมูก่อน จากนั้นก็เอากระดูกใหญ่ไปตุ๋นเพื่อทำเป็นน้ำซุป ระหว่างนี้ก็ตั้งน้ำมันและผัดเครื่องเทศ จากนั้นก็เติมเหล้าขาวลงไปเพื่อดึงกลิ่นหอมของเครื่องเทศออกมา
ผัดช้า ๆ โดยใช้ไฟอ่อน หลังจากส่งกลิ่นหอมก็เติมน้ำซุปกระดูกลงไป
ในระหว่างกระบวนการทั้งหมด เจียงเสี่ยวไป๋ได้พยายามสอนเจียงชานตัวน้อยให้รู้จักเครื่องเทศพื้นฐานพวกนี้ไปด้วย บอกเธอถึงการนำมาใช้และสรรพคุณของเครื่องเทศแต่ละตัว
เจียงชานอายุเพียงห้าขวบ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถจดจำหรือเข้าใจได้ในทันที
เจ้าตัวเล็กที่เริ่มเบื่อ แล้วก็รู้สึกท้อแท้เล็กน้อย
การทำอาหารนั้น มันยากขนาดนี้เชียวหรือ
ทว่าในตอนนั้นเจียงเสี่ยวไป๋ที่เห็นเธอเริ่มเบื่อก็กล่าวว่า ไม่เป็นไร เรียนรู้ไปก่อน ค่อย ๆ เก็บเกี่ยวไปทีละเล็กละน้อย เมื่อโตไปในอนาคต หนูจะได้มีพื้นฐานในการทำอาหารและเข้าใจเร็วกว่าคนอื่น
เจ้าตัวเล็กดูเหมือนจะเข้าใจ เธอดูมีความสุขและจริงจังกับคำพูดที่พ่อของเธอสอนอย่างมาก
ห้องครัวได้กลายเป็นห้องเรียนแห่งความสุขสำหรับสองพ่อลูกไปแล้วตอนนี้
หลังหกโมงเย็น เจียงเสี่ยวไป๋ก็ทำอาหารเสร็จ และเห็นว่าหลินเจียอินก็กลับมาพอดี เขาจึงหันไปบอกกับเจียงชานว่า “ชานชาน ไปเรียกคุณปู่ คุณย่า และคนอื่น ๆ มาทานอาหารเย็นกัน”
”ได้เลยค่ะ”
เจ้าตัวเล็กรีบวิ่งแจ้นไปบ้านปู่ของเธอทันที
”วันนี้ฉันซื้อมันที่บ้านของลุง, บ้านพี่ชางหมิง, พี่เสี่ยวหยุน, ลุงไห่เฉิง, ลุงไห่ซาน, หลิวเฉียงฮั๋ว, บ้านตระกูลหู บ้านตระกูลหยาง รวม ๆ กันแล้วก็ได้ประมาณ 3,000 จิน”
หลินเจียอินบอกรายชื่อของพ่อค้ามันที่เธอไปรับซื้อมา “และยังมีอีกหลายคน เข้ามาถามฉันว่ายังรับซื้ออยู่ไหม”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “แน่นอน ฉันก็รับซื้อเรื่อย ๆ แหละ แต่ไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้ ฉันขอถามพี่ชายของเฝิงเยี่ยนหงก่อนว่าเขาสามารถช่วยเราขนมันเข้าเมืองได้กี่ครั้ง”
”อืม”
หลินเจียอินพยักหน้าเล็กน้อย
หลังจากพูดคุยกันเข้าใจแล้ว มันที่ซื้อมาก็ถูกนำไปวางไว้ข้างถนน หากเอาใส่รถไปไม่หมดก็ค่อยขนกลับไปไว้ที่บ้านก่อน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้ย้ายโต๊ะกินข้าวออกมาที่ลานบ้านอีกครั้ง แล้วเริ่มยกอาหารที่ทำออกมาวางบนโต๊ะ
หลินเจียอินเห็นแบบนั้นก็เข้าไปช่วยอย่างเงียบ ๆ ทั้งสองช่วยเหลือกันโดยไม่ต้องพูดอะไร
กับข้าวเมื่อวานนี้มีเกี๊ยวและผัดมันฝรั่งเป็นอาหารหลัก ดังนั้นวันนี้เจียงเสี่ยวไป๋จึงได้หุงข้าวแทน
ซี่โครงพะโล้ในหม้อใบใหญ่ ซี่โครงเผ็ดหม้อไฟ รวมทั้งหัวหมูตุ๋น ตีนหมูตุ๋น โต๊ะอาหารขนาดใหญ่ในตอนนี้เต็มไปด้วยอาหารจานใหญ่หลายจาน
“ลูกยังเล็ก แต่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายแบบนี้ แม้ว่าจะมีเงินทองกองเท่าภูเขา ก็คงไม่อาจจะรักษาไว้ได้”
เจียงไห่หยางบ่นถึงความสุรุ่ยสุร่ายของเจียงเสี่ยวไป๋ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
เพระอาหารบนโต๊ะนั้นกลิ่นหอมเย้ายวนจริง ๆ
“พ่อคะ ทุกวันนี้เขาหาเงินได้เยอะมาก กินแค่นี้ไม่ต้องกลัวเงินหมดหรอกค่ะ ”
หลินเจียอินส่งชามข้าวที่ตักมาให้เจียงไห่หยางและพูดปกป้องสามี
“รีบ ๆ กินไปซะ จะได้หุบปากเสียที”
หวังซิ่วจวี๋ก็พูดแทรกขึ้นมา
เจียงไห่หยางทำหน้ามุ่ยหยุดพูดทันทีและรีบกิน
มันคือข้าวใช่ไหม ที่ผ่านมาเขากินมันเทศและมันฝรั่งแทนข้าวทุกวัน บ้างก็ต้มแป้งข้าวโพดหรือไม่ก็กินบะหมี่ จนจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เขากินข้าวคือตอนไหน ?
เจียงเสี่ยวเหลยและเจียงเสี่ยวหยูก็รู้สึกตื่นเต้นพอ ๆ กัน ทั้งสองแทบรอไม่ไหวที่จะไปที่โต๊ะ
“พี่ถิงถิง พี่ต้องมากินข้าวเย็นที่บ้านของฉันทุกวันนะ จากนี้ไป ปะป๊าจะสอนฉันทำอาหารแล้ว”
เจียงชานนั่งถัดจากเจียงถิง เธอส่งตะเกียบให้น้องสาวของเธอและพูดขึ้นมา
อาหารวันนี้ เธอกับปะป๊าเป็นคนทำเอง
เธอจึงรู้สึกภูมิใจเป็นพิเศษ
“ชานชานมีความสามารถจริง ๆ ! ”
หลัวเจาตี้ชื่นชมหลานสาว
”ขอบคุณค่ะคุณน้า”
เจ้าตัวเล็กได้รับคำชม ใบหน้าของเธอก็ยิ้มแย้มราวกับดอกไม้ผลิบาน เธอชี้ไปที่หัวหมูตุ๋นแล้วพูดว่า “นี่คือหมูตุ๋น มันอร่อยมากค่ะ ลองทานดู”
”รสชาติของมันจะดีขึ้นไปอีกถ้าจุ่มลงในน้ำซอสที่พ่อทำ”
ก่อนหน้านี้เธอได้ลองชิมอาหารทุกเมนูที่ปะป๊าทำในครัวมาหมดแล้ว และเธอชอบรสชาติของหัวหมูตุ๋นมาก ดังนั้นเธอจึงแนะนำเมนูนี้
”ชานชานบอกว่ามันอร่อย ดังนั้นมันจะต้องอร่อย ไหนน้าขอลองชิมสักชิ้นสิ”
หลัวเจาตี้น้ำลายไหลมานานแล้วเมื่อเห็นเมนูตุ๋นเหล่านี้ แต่ก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อยที่จะหยิบมันมากินโดยไม่สนใจคนอื่น ดังนั้นเมื่อชานชานเสนอเมนูนี้ให้เธอลอง เธอจึงใช้คำพูดของชานชานมาเป็นข้ออ้าง
เสน่ห์ของเมนูตุ๋นนั้น น้อยคนนักที่จะต้านทานมันได้
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ก็ยังเป็นช่วงต้นทศวรรษ 1980 ?
หลังจากคีบเข้าปากด้วยตะเกียบคำแรกแล้ว เธอก็หยุดกินมันไม่ได้เลย