ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 210 :แค่ถามว่าคุณกลัวไหม
ตอนที่ 210 :แค่ถามว่าคุณกลัวไหม
หยางซ่างจงเกลียดเจียงเสี่ยวไป๋จากก้นบึ้งของหัวใจ
หากเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้เสนอให้มีการคัดเลือกคนงานหลังจากเซ็นสัญญาเหมาโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติก ตำแหน่งหัวหน้าทีมย่อยของเขาคงจะยังอยู่ และเขาคงไม่ต้องมาอยู่ในสถานการณ์นี้
แต่เขากลับไม่ฉุกคิดว่าถ้าเจียงเสี่ยวไป๋ไม่เข้ามารับเหมาเซ็นสัญญากับโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติก ตัวเขาเองก็อาจจะไม่ได้รับเงินเดือนก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ
ยิ่งไม่เคยนึกย้อนมองปัญหาของตัวเขาเองเลย ?
ว่าทำไมเขาถึงไม่ได้เป็นหัวหน้าทีมย่อยต่อ ?
เขารู้เพียงว่าตอนนี้เขาไม่ได้เป็นหัวหน้าทีมอีกแล้ว และเขาก็ไม่เต็มใจที่จะทำงานในตำแหน่งพนักงานทั่วไป
นี่คือรากเหง้านิสัยที่ไม่ดีของมนุษย์
คุณควรจะทำดีกับฉัน เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณทำให้ฉันไม่พอใจเล็กน้อย และทำให้ฉันไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม คุณก็คือศัตรูของฉัน
มีคนแบบนี้มากมาย และหยางซ่างจงก็เป็นหนึ่งในนั้น
ยิ่งเมื่อมองดูรถจี๊ปของเจียงเสี่ยวไป๋ หยางซ่างจงก็รู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก
ทุกคนที่ล้อมรอบประตูก็มองไปที่รถจี๊ปที่ขับเข้ามาช้า ๆ ทันใดนั้น คนเหล่านี้ก็มีท่าทีอ่อนลงมาก
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าใครต่างก็รู้ดีว่าในยุคนี้คนที่สามารถขับรถจี๊ปได้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
“เกิดอะไรขึ้น ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ลงจากรถ เขามองไปรอบ ๆ แล้วถามออกมาเสียงดัง
ท่าทีที่แข็งกร้าวทำให้คนเหล่านั้นอ่อนลง จนหลายคนไม่กล้าพูดออกมาเลย
หยางซ่างจงให้กำลังใจตัวเองอย่างลับ ๆ และก้าวไปข้างหน้า
“เรามาขอคำอธิบายจากหวังชิ่งซี แต่พวกเขาไม่ยอมเปิดประตูให้เราเข้าไป”
เจียงเสี่ยวไป๋เหล่มองมาที่เขา ก่อนจะพูดด้วยท่าทีเยาะเย้ย “ดูเหมือนว่าคุณคือหยางซ่างจงใช่ไหม ? ”
หยางซ่างจงผงะ เขาไม่คาดคิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะจำชื่อของเขาได้
แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกมีความสุขในใจ
ทว่าเจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้ตะโกนออกมาว่า “หยางซ่างจง คุณทำงานในโรงงานมา 10 ปีแล้ว แต่คุณกลับระดมคนเกียจคร้านพวกนี้เข้ามาสร้างปัญหาในโรงงานทั้งที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า ! ”
คำพูดนี้เป็นเหมือนเสียงฟ้าร้องที่ดังกึกก้องในยามกลางวัน
ไม่ใช้แค่หยางซ่างจงที่ตกตะลึง ทุกคนรอบ ๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน
เพราะคำดังกล่าวติดบนผนังทั้งสองด้านของประตูโรงงานเป็นตัวสีแดงขนาดใหญ่
หยางซ่างจงโต้เถียงด้วยท่าทีแข็งกร้าว “ฉันเป็นพนักงานในโรงงานนี้มานานมาก ฉันจะเป็นคนเกียจคร้านได้อย่างไร ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ชี้ไปที่คนหลายสิบคนที่อยู่ข้างหลังของเขา “คุณเป็นลูกจ้างในโรงงาน แล้วพวกเขาล่ะ ? ”
ในบรรดาผู้ที่มาก่อความวุ่นวายยกเว้นคนงานในโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกไม่กี่คนแล้ว คนที่เหลือล้วนแต่เป็นเพื่อนและเครือญาติของพวกเขาที่ไม่ได้ทำงานที่นี่ทั้งนั้น
หยางซ่างจงพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง
เจียงเสี่ยวไป๋ได้เปรียบเทียบและพูดเสียงดังออกมาว่า “เกิดอะไรขึ้น คุณต้องการที่จะพาผู้คนมาทุบและปล้นโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกของเรางั้นหรือ ? ”
คำพูดนี้เหมือนเป็นการหักหน้าเขาอย่างแรง
หยางซ่างจงตกตะลึง เขาไม่อยากจะยอมรับคำพูดนี้
การทุบ ปล้น และทำลายโรงงานที่เป็นของรัฐวิสาหกิจถือเป็นการกระทำที่ร้ายแรง !
ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าเรื่องนี้รู้ไปถึงตำรวจ เขาจะต้องได้รับโทษอย่างหนัก ถ้าต้องรับผิดจริง ๆ เขาก็จะต้องติดคุกอย่างไม่มีทางเลือกอื่นเลย
“เจียง…เสี่ยวไป๋ อย่าใส่ร้ายคนอื่นแบบนี้สิ ! ”
“ทุกคนที่นี่ไม่ได้มีใครอยากปล้นโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกหรอกนะ”
“เรามาที่นี่เพื่อขอเจอหวังชิ่งซี…..และขอคำอธิบาย”
หยางซ่างจงพูดด้วยความโกรธ แต่เสียงของเขากลับแผ่วลงไปมาก
เจียงเสี่ยวไป๋เหลือบมองเขาอย่างเฉยเมย คนประเภทนี้ ภายนอกแข็งแกร่งแต่ข้างในอ่อนแอ ไม่คุ้มที่จะเผชิญหน้าด้วยแม้แต่น้อย
เขาตะคอกอย่างเย็นชาและพูดออกมาเสียงดัง “คุณเป็นพนักงานในโรงงาน หากคุณมีความคิดเห็นอะไร คุณสามารถพูดคุยกับรองผู้จัดการเมิ่งได้ แต่หากใครไม่ใช่คนงานในโรงงานก็แยกย้ายกันออกไปซะ ไม่เช่นนั้นผมจะแจ้งตำรวจในข้อหาพยายามปล้นโรงงาน”
หลายคนรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้
พวกเขามาที่นี่เพื่อช่วยเรียกร้องความยุติธรรมก็เท่านั้น แต่ไม่ได้มีใครอยากแบกรับภาระความผิดที่หนักขนาดนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่หยางซ่างจง
หยางซ่างจงดูดิ้นรน โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดนั้นจริงหรือเท็จ
แต่เขาเองก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยงเหมือนกัน
หลังจากดิ้นรนอยู่พักหนึ่ง เขาก็โบกมือแล้วพูดว่า “ทุกคน ขอบใจมาก เราต้องแยกย้ายกันก่อน”
เขาขอให้คนเหล่านั้นแยกย้ายและหยุดประท้วง แต่ยังไม่ยอมให้พวกเขาออกไปไหน ขืนทีมใหญ่จากไป ผู้คนไม่กี่สิบคนที่เหลือก็จะไร้ความสามารถ
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้สนใจมัน เขาตะโกนเข้าไปข้างในว่า “หัวหน้าโหยว เปิดประตูให้ผมหน่อย ! ”
โหยวโหย่วหยูหยิบกุญแจจากยามทันทีและรับเปิดประตูด้วยตัวเอง
การที่หยางซ่างจงและคนอื่นมาสร้างความยุ่งยากเช่นนี้ ทำให้เมิ่งเสี่ยวเป่ยไม่สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ แม้ว่าเธอจะไม่พูดอะไรออกมาก็ตาม แต่เธอก็ได้คิดหาวิธีรับมืออยู่ในใจ
แต่ทันทีที่เจียงเสี่ยวไป๋มาถึง เขากลับจัดการปัญหานี้ได้ภายในไม่กี่คำ
เธอจึงแอบชื่นชมเจียงเสี่ยวไป๋อย่างมาก
เห็นแบบนี้ เมิ่งเสี่ยวเป่ยก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เพราะสิ่งที่เธอกังวลมากที่สุดคือการเกิดการปะทะ
โชคดีที่หยุดมันได้ทัน
เมื่อพบบุคคลประเภทนี้ จำเป็นจะต้องใช้มาตรการที่โหดเหี้ยม อย่างที่เจียงเสี่ยวไป๋ทำนั้นถือว่าถูกต้องแล้ว
ที่เหลือก็แค่ต้องถามพวกเขาแล้วว่าพวกเขากลัวไหม ?
เมื่อประตูเหล็กเปิดออก ผู้คนที่ส่งเสียงโห่ร้องในตอนแรกว่าต้องการจะเข้าไปในโรงงานกลับไม่มีใครกล้าเข้ามาแม้แต่คนเดียว
เจียงเสี่ยวไป๋พูดกับหยางซ่างจง หยางชื่อหู่ เถียนเจียเลี่ย เฉาเจิ้งฉง และคนอื่น ๆ ว่า “พวกคุณกำลังทำอะไรอยู่ ? เข้ามาสิ ! ”
พูดจบ เขาก็ขับรถเข้าไปในโรงงาน
หยางซ่างจงและหยางชื่อหู่มองหน้ากัน ก่อนจะเดินตามเข้าไปในโรงงาน
หลังจากมีคนเข้ามาครบแล้ว โหยวโหย่วหยูก็ปิดประตูเหล็กทันที
ไม่ให้โอกาสคนนอกเข้ามาแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่กระจัดกระจายอยู่นอกประตูโรงงานจะสร้างปัญหาได้อย่างไร หากไม่มีหยางซ่างจงและพรรคพวกของเขา
พวกเขามาที่นี่ก็เพราะหยางซ่างจง หยางชื่อหู่ เถียนเจียเลี่ย เฉาเจิ้งฉง คนอื่นส่วนใหญ่ไม่รู้จักกัน ดังนั้นพวกเขาจึงแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม และได้แต่พูดคุยกันเงียบ ๆ ในหมู่คนรู้จัก
“คนที่ขับรถมาเมื่อกี้ไม่ใช่คนที่ควรไปมีปัญหาด้วย ! ”
“ชายคนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนเด็ดขาดมาก”
“ว่ากันว่าชายคนนี้คือคนที่มาต่อสัญญาให้กับโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกงั้นหรือ ? ”
“คนที่ทำสัญญากับโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกเป็นผู้หญิง ไม่ใช่เขา”
“เขาชื่อเจียงเสี่ยวไป๋ และภรรยาของเขาคือคนที่ทำสัญญากับโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติก”
“ฉันยังได้ยินมาว่าเหตุผลที่หยางซ่างจงไม่ได้เป็นหัวหน้าทีมต่อก็เพราะเขาเข้าร่วมการคัดเลือกแล้วไม่ผ่าน”
“เหล่าอันก็ถูกเลิกจ้าง ฉันได้ยินมาว่าผู้หญิงแซ่เมิ่งเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้ เหล่าอันเลยต้องตกงาน”
“ไม่มีอะไรดีสักอย่าง ! ”
“อนิจจา… ฉันเกรงว่าเจิ้งฉงและคนอื่น ๆ จะไม่สามารถเอาชนะชายแช่เจียงคนนี้ได้ ! ”
“……”
ในห้องประชุมของโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติก เมิ่งเสี่ยวเป่ยและโหยวโหย่วหยูได้ให้หยางซ่างจง และคนอื่น ๆ มาพูดคุยกันที่ห้องนี้
เจียงเสี่ยวไป๋ก็อยู่ที่นี่ด้วย แต่เขานั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งซึ่งห่างออกไปจากโต๊ะประชุม
เนื่องจากเขาได้มอบหน้าที่ในการจัดการโรงงานทั้งหมดให้กับเมิ่งเสี่ยวเป่ย ดังนั้นเมิ่งเสี่ยวเป่ยจึงต้องแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเธอเอง
แต่ถ้าเมิ่งเสี่ยวเป่ยไม่สามารถจัดการได้จริง ๆ เขาก็จะเริ่มเคลื่อนไหว
“หยางซ่างจงและหยางชื่อหู่ ในฐานะที่พวกคุณเป็นพนักงานเก่าของโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติก พวกคุณได้นำคนเหล่านั้นมาสร้างปัญหาให้กับโรงงานของเรา หากผู้ช่วยเจียงไม่หยุดได้ทัน คุณคงจะพาคนของคุณบุกรุกเข้ามาสร้างความเสียหายให้กับโรงงาน ทั้งที่คุณเป็นพนักงานของที่นี่มาหลายปี คุณอบรมมานับครั้งไม่ถ้วน คุณจำกฎของเราไม่ได้หรือ ? ”
เมิ่งเสี่ยวเป่ยพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม
หยางซ่างจงถูกเจียงเสี่ยวไป๋หักหน้าจึงรู้สึกกลัวว่าเกรงกลัวเขาเล็กน้อย แต่เมิ่งเสี่ยวเป่ยนั้นต่างออกไป เขาและเธอต่างก็เคยเป็นหัวหน้าทีมในไลน์ผลิตมาก่อน แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเมิ่งเสี่ยวเป่ยในตอนนี้มีตำแหน่งที่สูงกว่าเขา แต่เขาก็ไม่กลัวเธอ
ได้ยินแบบนั้น เขาก็หัวเราะเบา ๆ “รองผู้จัดการโรงงานเมิ่งพูดได้ดีมาก ว่าให้ฉันเอาแต่ประท้วงและก่อปัญหา ? แล้วฉันก่อปัญหาจริง ๆ หรือเปล่า ? ”
เมิ่งเสี่ยวเป่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเคร่งขรึมว่า “คุณนำคนพวกนั้นมาประท้วงอยู่ที่หน้าประตูโรงงานจนรถไม่สามารถเข้าออกได้ แบบนี้คุณยังบอกว่าไม่ได้สร้างปัญหาอีกหรือ ? ”
เธอลองพูดตามคำพูดของเจียงเสี่ยวไป๋ เพื่อดูว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
ตราบใดที่พวกเขาไม่ใช่พนักงานในโรงงาน คนเหล่านั้นก็ถูกมองว่าเป็นคนนอกที่จะเข้ามาขโมยของและก่อความวุ่นวายอยู่ดี
หยางซ่างจงได้ยินแบบนั้นจึงพูดออกมาด้วยความโกรธ “คนเหล่านั้นเป็นญาติและเพื่อนของเรา ไม่ใช่คนไม่ดีในสังคม”
เมิ่งเสี่ยวเป่ยยิ้มในใจ เมื่อหยางซ่างจงตอบเช่นนี้ เธอก็สามารถควบคุมจังหวะของการสนทนาได้แล้ว
เธอจึงโบกมืออย่างแรง “เอาล่ะ เหตุการณ์นั้นไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นแล้ว แต่ฉันจะถามคุณว่าทำไมคุณถึงพาคนมาประท้วงแบบนี้ ? ”
หยางซ่างจงก็พูดไปตามจังหวะของเธอ เขาชี้ไปที่หยางชื่อหู่และคนอื่น แล้วพูดว่า “เรามาที่นี่เพื่อขอคำอธิบาย ว่าทำไมโรงงานถึงไม่อนุญาตให้เรามาทำงาน ? ”
เมิ่งเสี่ยวเป่ยจึงพูดด้วยท่าทีจริงจังไปว่า “หยางซ่างจง โรงงานไม่ใช่ว่าไม่อนุญาตให้คุณมาทำงาน แต่คุณต่างหากที่ไม่มาทำงานเอง”