ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 159 :พร้อมย้ายเข้าบ้านใหม่
ตอนที่ 159 :พร้อมย้ายเข้าบ้านใหม่
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋กลับมาที่ร้าน ก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องเลิกงานแล้ว
หลังจากคิดดูแล้ว เขายังคงตัดสินใจที่จะไม่ไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมจูเยี่ยนผิง เขาพาหลินเจียอินและเจียงชานกลับไปที่เจียงวานก่อน
เรื่องของจูเยี่ยนผิงกลายเป็นข่าวร้อนแรงในเจียงวาน ดูเหมือนว่าผู้คนจะพูดถึงเรื่องนี้ได้ตลอดเวลา
“จะว่าไปจูเยี่ยนผิงสมควรโดนแล้ว ! ”
“เฉินหยวนเซิ่งต้องมาพลอยซวยเพราะเธอด้วย เขาต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปกว่า 200 หยวนเชียวนะ”
“ถ้าให้ฉันพูดนะ เขาไม่ควรต้องมาจ่ายค่ารักษาให้เธอด้วยซ้ำ ! ”
“เฮ้อ ถึงอย่างไรก็มีคนเจ็บ ผู้ใหญ่บ้านจึงต้องเข้ามาจัดการเรื่องนี้”
“ฉันได้ยินมาว่าหลิวซือหมิงเอาเงินทั้งหมดที่เขาขายกุ้งได้ให้กับหลิวซือกั๋วเพื่อไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยนะ”
“แม้ว่าหลิวซือหมิงจะสมองช้า แต่เขาเป็นคนดีใช้ได้เลย”
“ถูกต้อง ไม่เหมือนพี่ชายกับพี่สะใภ้ของเขา ทั้งที่ไม่มีปัญหาทางสมอง แต่กลับมีปัญหาที่คุณธรรม”
“……”
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินคำพูดพวกนี้ตลอดทางกลับบ้าน เขาเองก็รู้แล้วว่าทั้งสองฝ่ายถูกตัดสินว่ามีความผิดทั้งคู่ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรับผิดชอบจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้จูเยี่ยนผิงร่วมกัน หลิวซือกั๋วและเฉินหยวนเซิ่งออกเงินจ่ายคนละครึ่ง โดยพวกเขาจ่ายไปคนละ 200 หยวน
แม้ว่าเฉินหยวนเซิ่งจะรู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรม แต่เขาก็ยังกัดฟันยอมเอาเงินเก็บจากการขายกุ้งในช่วงนี้ออกมาจ่าย ส่วนหลิวซือกั๋วได้เอาเงินที่หลิวซือหมิงขายกุ้งได้รวมเข้ากับเงินส่วนแบ่งที่ขายวัวไปก่อนหน้านี้ ดังนั้นเขาจึงสามารถรวบรวมเงินได้ครบ 200 หยวน
อย่างไรก็ตามหลิวซือกั๋วนั้นเจ้าเล่ห์มาก
แม้ว่าเขาจะมีเงินเพียงพอแล้ว แต่เขาก็ยังเที่ยวไปยืมเงินจากชาวบ้านมาบ้านละ 10 หยวนบ้าง 5 หยวนบ้าง
ช่วงนี้ชาวบ้านในเจียงวานมีรายได้จากการจับกุ้งขาย ทุกครอบครัวมีเงินหลายร้อยหยวนอยู่ในมือ อีกทั้งจูเยี่ยนผิงก็เจ็บตัวนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจริง และเงินที่หลิวซือกั๋วยืมมันไม่ได้มากนัก ชาวบ้านจึงให้เขายืมเงิน
ด้วยวิธีนี้ หลิวซือกั๋วสามารถยืมเงินจากชาวบ้านไปได้ทั้งหมด 85 หยวนด้วยกัน
ต้องบอกเลยว่าเขาหน้าไม่อายจนถึงขั้นนี้แล้ว
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋กลับบ้าน เจียงเสี่ยวเฟิงก็รีบวิ่งเข้ามาหาเขาทันที
“พี่รอง อุบัติเหตุเมื่อเช้าเป็นเพราะฉันจัดการมันได้ไม่ดี”
เจียงเสี่ยวเฟิงพูดอย่างละอายใจ เขาก้มหน้าเหมือนเด็กที่น้อมรับความผิด
ซึ่งเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ชอบจุดนี้ของน้องชายเขาจริง ๆ
“เสี่ยวเฟิง เงยหน้าขึ้น” เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไม่สำคัญว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนเช้าจะถูกหรือผิด นายต้องจำไว้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นายควรยืดอกเผชิญหน้ากับมัน มัวทำตัวเหมือนคนขี้ขลาดไปได้”
“อ้อ……”
เจียงเสี่ยวเฟิงขานรับ แต่สุดท้ายเขาก็ยังก้มหน้าลง
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างจนใจว่า “นายบอกว่าตัวเองเป็นชายชาตรี ไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่ทำไมนายถึงชอบก้มหัวเวลาที่รู้สึกว่าตัวเองทำผิดล่ะ ? ”
จากนั้น เจียงเสี่ยวเฟิงก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เรื่องเมื่อเช้านี้ ฉันรู้ว่านายกำลังช่วยเอาคืนแทนฉันโดยไม่รับซื้อกุ้งเครย์ฟิชที่หลิวซือกั๋วจับได้”
เขาตบไหล่เจียงเสี่ยวเฟิง แล้วพูดต่อ “แต่ช่างมันเถอะ ต่อไปนี้อย่าไปถือสาพวกเขานักเลย”
เจียงเสี่ยวเฟิงเงยหน้าขึ้นและมองเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความประหลาดใจ เขารู้ดีว่านิสัยเดิมของพี่รองเขาคือมีแค้นต้องชำระ แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าพี่รองของเขาจะให้อภัยหลิวซือกั๋วและจูเยี่ยนผิงแบบนี้
แต่ความจริงเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเจียงเสี่ยวไป๋คือคนที่กลับมาเกิดใหม่ ชาติก่อนเขาเป็นถึงมหาเศรษฐีระดับหมื่นล้าน พื้นฐานของจิตใจเขาย่อมพิเศษกว่าคนธรรมดาทั่วไป
แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่มีสุขรีบเสพ มีแค้นรีบชำระ ยกตัวอย่างเช่นตอนนั้นที่หลิวซือกั๋วรังแกหลินเจียอิน เขาก็ตอบโต้ทันทีจนถึงขั้นทุบตีอีกฝ่าย แต่นั่นมันคนละเรื่องกัน และในตอนนั้นเขาก็ระบายความโกรธไปหมดแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่เก็บมาใส่ใจอีก
ไม่อย่างนั้นหากต้องมาคอยคิดเล็กคิดน้อย คิดแต่จะหาทางเอาคืนคนอื่น ชีวิตของเขาจะไม่เหนื่อยแย่หรือ ?
ดังนั้นสำหรับเจียงเสี่ยวไป๋แล้ว เขาไม่ได้ใส่ใจหลิวซือกั๋วและจูเยี่ยนผิงเลย เรื่องในตอนนั้นมันจบไปนานแล้ว และเขาไม่เคยคิดว่าการรับซื้อกุ้งของเขาจะทำให้อีกฝ่ายลำบากขนาดนั้น
เจียงเสี่ยวเฟิงไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ เขาแค่ประหลาดใจและพยักหน้ารับ “ผมรู้ ! ”
หลังจากพูดจบ เขาก็ถามอีกครั้งว่า “ถ้าอย่างนั้นผมควรไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ไปหรือไม่ไปขึ้นอยู่กับนาย ถ้านายไปก็เป็นสิ่งที่ดี”
สำหรับตัวเขาเอง ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถเพิกเฉยต่อสิ่งที่ทั้งคู่ทำมาก่อนได้ก็ตาม แต่เขาไม่มีความจำเป็นต้องไปผูกมิตรกับสองคนนั้น เขาจึงไม่คิดจะไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลินเจียอินในโรงพยาบาล เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงไม่ลืมที่จะเตือนเจียงเสี่ยวเฟิงว่า “ถ้านายไปเยี่ยมเธอ ก็อย่าไปใส่ใจกับการเรียกร้องอย่างไร้เหตุผลของเธอเลย เธอพูดอะไรมา นายก็ทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน อย่าไปตอบรับข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผลของเธอ”
เจียงเสี่ยวเฟิงพยักหน้า “ผมรู้ ! ”
ความวุ่นวายของเหตุการณ์นี้ค่อย ๆ คลี่คลายลง ชาวบ้านในเจียงวานกลับมาจับกุ้งขายเป็นปกติอีกครั้ง
สาเหตุที่จูเยี่ยนผิงหยุดสร้างปัญหา อาจเป็นเพราะเจียงเสี่ยวเฟิงบอกว่าเขาจะยอมรับซื้อกุ้งเครย์ฟิชที่เธอจับได้
เธอเป็นคนเห็นแต่ผลประโยชน์ ในสายตามีแต่ผลกำไร เช่นนี้แล้วเธอยังจะสร้างปัญหาไปอีกทำไมกัน ?
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ถามเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
ตอนนี้เขายังงานยุ่งอยู่ !
หลังจากที่ทีมงานก่อสร้างของจ้วงปี่เฉิงเก็บรายละเอียดงานเสร็จและกลับเข้าเมืองแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็เริ่มย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหม่ หลังจากเตรียมอยู่ 2 วัน การตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์เกือบทั้งหมดถูกเตรียมพร้อมแล้ว ดูเหมือนเฟอร์นิเจอร์และข้าวของเครื่องใช้ในบ้านจะเป็นของใหม่ทั้งหมด เรียกได้ว่าไม่ต้องเก็บกระเป๋าก็พร้อมเข้ามาอยู่ได้เลย
“วันนี้กลับไป เราจะย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่”
ก่อนเลิกงานในวันนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ได้บอกกับหลินเจียอิน
หลินเจียอินตั้งตารอที่จะย้ายเข้าบ้านใหม่มานานแล้ว เธอจึงตอบตกลงในทันที “อื้ม ตามที่คุณบอกเลย ! ”
สิ่งนี้ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขมาก
‘งั้นถ้าทำตามที่ผมบอกทั้งหมด งั้นคืนนี้เรามาพลิกผ้าห่มดีไหม ! ’
อย่างไรก็ตาม ภายในบ้านหลังใหม่มีหลายห้อง ทั้งยังมีห้องนอนส่วนตัวที่เตรียมไว้สำหรับลูกสาวของพวกเขาโดยเฉพาะ จากนี้ไปพวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกจะไม่ต้องนอนเบียดกันบนเตียงเดียวอีกต่อไปแล้ว
มันสะดวกมาก !
“งั้นเมื่อเราย้ายเข้าบ้านใหม่ เราต้องเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ด้วยไหม ? ”
หลินเจียอินหันไปถามเจียงเสี่ยวไป๋
ในชนบท งานแต่งงาน วันคลอดบุตร การสร้างบ้านและการเสียชีวิตของผู้สูงอายุเป็นสี่เหตุการณ์สำคัญที่พวกเขาจะจัดงาน ‘รวมเหล้า’ กัน
‘งานรวมเหล้า’ ที่ว่านี้เรียกอีกอย่างว่า ‘งานเลี้ยงรวมเหล้า’ มันคือการกำหนดวันฤกษ์ดี จัดงานเลี้ยงที่บ้านและเชิญชวนญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงและเพื่อนบ้านมาดื่มกินและสนุกสนานที่บ้าน
แน่นอนว่าคนที่มาจะไม่มามือเปล่า โดยปกติพวกเขามักจะนำของขวัญมามอบให้ด้วย
งานรวมเหล้าของชนบทมีธรรมเนียมอยู่เหมือนกัน แต่ละงานรวมเหล้าจะมีประเพณีและระยะเวลาจัดงานที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น โดยปกติจะจัดฉลองงานแต่งงานเป็นเวลา 3 วัน งานศพผู้เฒ่าผู้แก่จะยึดตามจำนวนวันที่ไว้ศพ โดยทั่วไปจะจัด 3 วัน ส่วนวันฉลองคลอดบุตรและวันขึ้นบ้านใหม่จะจัดวันเดียว
“เรื่องานเลี้ยงพวกนั้นช่างมันเถอะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “แต่มันก็ขึ้นอยู่กับคุณ หากคุณอยากจัด เราสามารถจัดสักสองสามโต๊ะได้”
หลินเจียอินกล่าวว่า “ตอนนี้งานในร้านกำลังยุ่งเช่นกัน งั้นเราไม่ต้องจัดงานเลี้ยงแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ประเด็นก็คือถ้าเราจัดงานเลี้ยงรวมเหล้าจริง มันจะลำบากเพื่อนบ้านเราน่ะสิ”
หลินเจียอินพยักหน้า งานรวมเหล้าในชนบทนั้น ชาวบ้านจะให้ของขวัญจากความสนิทสนมกัน ตอนนี้เจียงเสี่ยวไป๋รับซื้อกุ้งเครย์ฟิชในเจียงวาน ทำให้ชาวบ้านเกือบทุกครัวเรือนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ย่อมต้องเป็นที่ความโปรดปรานของพวกชาวบ้านเป็นธรรมดา หากครอบครัวของเขาจัดงานเลี้ยง ชาวบ้านจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้พวกเขาอย่างแน่นอน
สิ่งนี้จะเป็นการเพิ่มภาระให้กับชาวบ้าน ซึ่งหลินเจียอินไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
“ถึงตอนนั้น เรียกลุงใหญ่ พวกอาสาม แล้วบอกพี่สาวของคุณและคนอื่นมากินข้าวที่บ้านด้วยกันก็พอแล้ว” หลินเจียอินคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูด
“ได้ ผมฟังเมียจ๋า ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ขึ้นบ้านใหม่แต่ไม่จัดงานเลี้ยงไม่เป็นไร ทว่าสำหรับคนในครอบครัวและญาติสนิทนั้นควรต้องนัดรวมตัวกินข้าวฉลองกันเสียหน่อย ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นการเสียมารยาทเกินไป
คำแนะนำของหลินเจียอินได้รับการไตร่ตรองมาเป็นอย่างดี
“ถ้าอย่างนั้นเรารีบกลับกันเถอะ ฉันอยากย้ายเข้าบ้านแย่แล้ว”
หลินเจียอินกล่าวอย่างมีความสุข
ทั้งสองเรียกหาเจียงชานและกำลังจะออกไป แต่จู่ ๆ หูฉางอิงก็รีบวิ่งเข้ามาและพูดว่า “พี่เสี่ยวไป๋ มีสายเรียกเข้าหาพี่ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เมียจ๋า คุณและชานชานรอผมสักครู่นะ ผมรับโทรศัพท์ก่อน”