ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 145 :พอได้กลิ่นเงินก็มีความปั่นป่วนไปทั่ว
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 145 :พอได้กลิ่นเงินก็มีความปั่นป่วนไปทั่ว
ตอนที่ 145 :พอได้กลิ่นเงินก็มีความปั่นป่วนไปทั่ว
“ฮ่าฮ่า คุณอยากให้เราโฆษณาให้งั้นหรือ ? ”
ฟู่เต๋อเจิงมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋และถามด้วยความสงสัย
กิจการร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเจียงของเจียงเสี่ยวไป๋นั้นดีแค่ไหน เขาเห็นมากับตาตนเองแล้ว
คราวที่แล้ว เพื่อนสมัยเรียนของเขาได้นัดรวมตัวกันที่นั่นเพื่อกินกุ้งอบน้ำมัน แต่พวกเขาก็ต้องรอคิวเกือบหนึ่งชั่วโมงถึงจะมีโต๊ะว่างให้นั่ง
ทั้งที่กิจการดีขนาดนั้น แต่เจียงเสี่ยวไป๋กลับยังไม่พอใจต่อยอดขายและต้องการให้เขาลงโฆษณาให้อีกงั้นหรือ ?
ฟู่เต๋อเจิงเองก็พอจะรู้อยู่ว่าการโฆษณาคืออะไร
แต่อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมีองค์กรหรือหน่วยงานใดติดต่อเข้ามาที่สำนักข่าวรายวันชิงโจวของเขาเพื่อขอให้ลงโฆษณาให้มาก่อน
เจียงเสี่ยวไป๋มีสีหน้าที่เคร่งขรึมขณะที่ตอบว่า “ทั้งหมดก็เป็นเพราะคุณนั่นแหละประธานฟู่ คุณบอกรองนายกเทศมนตรีจางว่าอยากต้องการส่งเสริมอุตสาหกรรมกุ้งเครย์ฟิช ดังนั้นผมจึงต้องมาที่นี่เพื่อลงโฆษณาว่าใครยินดีมาร่วมลงทุนเปิดแฟรนไชส์กุ้งอบน้ำมันของผมบ้าง ซึ่งผมจะสอนวิธีทำให้ฟรี ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ทั้งมีสีหน้าขมขื่นและขุ่นเคือง ท่าทางของเขาทำให้หัวใจของฟู่เต๋อเจิงสั่นสะท้านเล็กน้อย
แต่เขาก็รู้สึกมีความสุขเมื่อได้ยินว่าเจียงเสี่ยวไป๋มาที่นี่เพื่อให้เขาโฆษณาออกไปว่าใครที่ต้องการเปิดแฟรนไชส์กุ้งอบน้ำมัน สามารถติดต่อมาได้ และเขายังจะสอนทักษะให้ฟรี
เพราะหากมีคนเปิดแฟรนไชส์ร้านกุ้งอบน้ำมันมากขึ้น ก็จะมีการซื้อขายกุ้งเครย์ฟิชเพิ่มมากขึ้น อุตสาหกรรมกุ้งเครย์ฟิชในอนาคตก็จะมีการเติบโตอย่างมหาศาลแน่นอน
แม้ว่าสำนักข่าวรายวันชิงโจวจะไม่เคยโฆษณาให้องค์กรหรือหน่วยงานไหนมาก่อน แต่โฆษณาของเจียงเสี่ยวไป๋อาจจะเป็นแบบอย่างให้หน่วยงานอื่นหันมาลงโฆษณามากขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถปล่อยให้เด็กคนนี้ย่ามใจได้ง่าย ๆ
ไม่อย่างนั้น หางของเขาคงจะชี้ขึ้นฟ้าไปแล้วเป็นแน่
“ไอ้หยา คุณกำลังตำหนิฉันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างรองนายกเทศมนตรีจางกับคุณงั้นหรือ ? ”
ฟู่เต๋อเจิงแสร้งพูด ทำเป็นไม่พอใจ
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “มันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่รองนายกเทศมนตรีจางจะมาพบคนธรรมดาอย่างผม หากว่าไม่ได้รับคำแนะนำจากผู้บริหารระดับสูงอย่างคุณ จริงไหม ? ”
“ดังนั้นผมจะไม่สนใจปัญหาที่คุณก่อขึ้น แต่ในเมื่อคุณสร้างมันขึ้นมาแล้ว คุณก็ต้องช่วยผมแก้ไขมัน”
ฟู่เต๋อเจิงกำลังมีความสุข แต่เจียงเสี่ยวไป๋ก็เริ่มเฉือนเนื้อของเขาอีกครั้งและพูดว่า “นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคุณ ทำไมคุณถึงไม่ช่วยผมโฆษณาล่ะ ผมจะเขียนรายละเอียดการโฆษณาให้ ส่วนคุณก็มีหน้าที่ไปประชาสัมพันธ์ให้”
ผู้คนในยุคสมัยนี้ ไม่ค่อยตระหนักถึงความสำคัญของการโฆษณามากนัก
แม้แต่ประธานสำนักพิมพ์อย่างเขาก็ยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการโฆษณา
ฟู่เต๋อเจิงยังคิดว่าการทำข่าวนั้นดีกว่า และข่าวก็เป็นสิ่งที่สำนักพิมพ์ของเขาทำเป็นเรื่องหลัก ซึ่งการทำโฆษณานั้นก็เป็นเพียงเมฆลอย
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมืออย่างเด็ดขาด “ลืมไปเถอะ ผมยังคงยืนยันคำเดิม คือแค่โฆษณา ทำให้มันง่าย ๆ ไม่ต้องมีรายละเอียดเยอะ”
ฟู่เต๋อเจิงรู้สึกงุนงง ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงปฏิเสธการทำข่าว แต่กลับหมกมุ่นอยู่กับการโฆษณาแทน
หลังจากพยายามเกลี่ยกล่อมสักพัก ฟู่เต๋อเจิงก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจเจียงเสี่ยวไป๋ได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ต้องทำตาม
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ใช้พื้นที่ล่างสุดของหน้าหนึ่ง เว้นที่ไว้ให้ผมสักหนึ่งในแปดส่วนก็พอ เพื่อโฆษณาการขายธุรกิจแฟรนไชส์ของผม และผมจะให้คุณ 10 หยวน”
ฟู่เต๋อเจิงผงะไปครู่หนึ่ง เดิมทีคิดที่จะรับเพียงหนึ่งหรือสองหยวนเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะให้เขาตั้ง 10 หยวน
นี่แค่พื้นที่หนึ่งในแปดของหน้าหนึ่ง ถ้าหากขอมากกว่านี้ สำนักพิมพ์ของเขาจะไม่ได้เงินหลายสิบหรือหลายร้อยหยวนต่อวันเลยหรือไง ?
“10 หยวน ? ”
ฟู่เต๋อเจิงจ้องไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ “คุณแน่ใจหรือว่าจะให้เงินฉัน10 หยวน”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและกล่าวว่า “ที่จริงแล้วสำนักพิมพ์ของคุณสามารถทำธุรกิจโฆษณาและเรียกเก็บค่าธรรมเนียมลงโฆษณาจากลูกค้าได้”
ฟู่เต๋อเจิงส่ายหัว “ใครจะไปใจดีเท่าคุณล่ะ เถ้าแก่เจียง จะมีลูกค้าที่ไหนยินดีจ่ายเงินให้กับการโฆษณาเหมือนคุณกัน”
สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบันถูกควบคุมโดยองค์กรหลักอย่างรัฐ หลายสิ่งหลายอย่างไม่สามารถหาซื้อได้หากไม่มีโควต้าของทางรัฐ ตลาดเป็นของผู้ขายเพียงฝ่ายเดียว จึงไม่จำเป็นต้องลงโฆษณาเลย
ฟู่เต๋อเจิงกล่าวต่ออีกว่า “นอกจากนี้ ข่าวในหนังสือพิมพ์ของเราล้วนมาจากนักเขียนที่มีนามปากกา พวกเขาเขียนข่าวได้ดีก็จริง แต่ไม่มีใครรู้วิธีการเขียนโฆษณาเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดออกมาว่า “แล้วถ้าผมสนใจจะซื้อพื้นที่ลงโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์ของคุณในระยะยาว จะทำได้ยังไงครับ ? ”
ดวงตาของฟู่เต๋อเจิงหรี่ลง เขาจ้องมองที่เจียงเสี่ยวไป๋อย่างระมัดระวัง “คุณยังมีความคิดชั่วร้ายอะไรอีก ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ก็ในเมื่อพวกคุณเขียนโฆษณาไม่เป็น งั้นผมจะทำเอง”
“สำนักพิมพ์ของคุณรับผิดชอบในการตีพิมพ์และแจกจ่ายเท่านั้น ส่วนผมมีหน้าที่หาลูกค้ามาลงโฆษณา ทุก ๆ โฆษณา ผมจะให้เงินสำนักพิมพ์ของคุณ สำนักพิมพ์ของคุณก็จะสามารถสร้างรายได้จากส่วนนี้เพิ่มไปอีก”
“แบบนี้เขาเรียกว่า ‘วิน-วิน’ กันทั้งสองฝ่าย”
ฟู่เต๋อเจิงเหล่ตาคิดอย่างรวดเร็วในใจ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดว่า “ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ งั้นฉันขอคิดดูก่อน คุณเจ้าเล่ห์เกินไป ฉันกลัวจะถูกคุณหลอก”
เจียงเสี่ยวไป๋มีสีหน้าขมขื่น “เหล่าฟู่ คุณมองผมร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ ? ”
ฟู่เต๋อเจิงพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
เจียงเสี่ยวไป๋พูดไม่ออกไปสักพัก และไม่นาน เขาก็พูดว่า “งั้นไม่เป็นไรครับ รอจนกว่าคุณจะเข้าใจ สิ่งที่คุณต้องทำในเวลานี้คือโฆษณาการขายธุรกิจแฟรนไชส์กุ้งอบของผมก่อน”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็แย่งปากกามาจากมือของฟู่เต๋อเจิงอย่างไม่สุภาพ วาดเค้าโครงโฆษณาลงในสมุดบันทึกของเขา และเขียนเนื้อหาโฆษณาลงไป
หลังจากเขียนเสร็จ เขาก็ดึงธนบัตร 10 หยวนออกมาแล้วตบมันลงบนโต๊ะ
“คุณลงโฆษณาตามนี้ได้เลย ! ”
“ผมไปแล้ว ! ”
เขาถอนหายใจและเดินออกจากห้องทำงานของฟู่เต๋อเจิงไป
ฟู่เต๋อเจิงหยิบธนบัตร 10 หยวนขึ้นมาแล้วใช้นิ้วปัดมันเล่น “เด็กคนนี้ นิสัยไม่เคยเปลี่ยนจริง ๆ ”
เมื่อมองตามแผ่นหลังของเจียงเสี่ยวไป๋ไป เขาก็ดูสดชื่นขึ้นมา
โฆษณาการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์กุ้งอบน้ำมันของเจียงเสี่ยวไป๋ได้ปรากฏในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ในวันรุ่งขึ้น พื้นที่หนึ่งในแปดของหน้าหนึ่งถูกตัดด้วยเส้นขอบสีดำซึ่งค่อนข้างเป็นที่สังเกตได้ชัดเจน
คนที่รับหนังสือพิมพ์รายวันชิงโจว ล้วนแต่เป็นหน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจ สำหรับคนธรรมดาก็มีเพียงไม่กี่คนที่อ่านหนังสือพิมพ์
และการไม่รู้หนังสือเป็นสิ่งหนึ่งที่คนทั่วไปเลือกที่จะไม่อ่าน และอีกเหตุผลหนึ่งนั้นเป็นเพราะการรับหนังสือพิมพ์ยังต้องใช้เงินอีกด้วย
ดังนั้น ผู้ที่ให้ความสำคัญกับหนังสือพิมพ์ในยุคนี้จึงมีแต่คนของรัฐและพวกคนรวย ซึ่งเป็นเป้าหมายของการขายธุรกิจแฟรนไชส์ของเจียงเสี่ยวไป๋
ที่ห้องทำงานของผู้อำนวยการโรงงานผลิตเครื่องจักรกลการเกษตร
โจวฉางซงชงชามาหนึ่งแก้ว แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ พลิกดูหนังสือพิมพ์ของวันนี้อย่างสบายใจ
“เฮ้ ต้องการหาคนมาลงทุนแฟรนไชส์กุ้งอบน้ำมันงั้นหรือ ? ”
โจวฉางซงอุทาน เขาอ่านดูอย่างละเอียดอีกครั้ง นี่มันร้านแฟรนไชส์กุ้งอบน้ำมันของเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ใช่หรือ ?
ใช่แล้ว ที่อยู่ของร้านกุ้งอบชิงเจียงคือบนถนนจิงโจว
โจวฉางซงดูโฆษณานี้ จิตใจของเขาก็เริ่มหมุนวนอย่างรวดเร็ว และเขาก็ตัดสินใจมันทันที
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทิ้งหนังสือพิมพ์ในมือลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไป
ที่กรมการคลัง หลังกลับมาที่สำนักงานจากการประชุมเสร็จ เฉียนฟางอี้ก็หยิบหนังสือพิมพ์รายวันชิงโจวของวันนี้ขึ้นมาและเริ่มอ่านหน้าแรก
ทันใดนั้น สายตาของเขาก็ไปสะดุดกับช่องโฆษณาด้านล่าง
เขารีบพับหนังสือพิมพ์และจับจ้องไปที่ข้อความในโฆษณานั้น
“ร้านกุ้งอบน้ำมันต้องการขายแฟรนไชส์และกำลังมองหาพันธมิตรที่จะมาเป็นส่วนหนึ่งกับเรา เจียงเสี่ยวไป๋อยากขายแฟรนไชส์ร้านกุ้งอบน้ำมันที่ทำกำไรได้มากเช่นนี้จริงหรือ ? ”
ดวงตาของเฉียนฟางอี้หรี่ลง
สัญชาตญาณของเขาในตอนนี้กำลังบอกเขาว่าธุรกิจนี้จะต้องเฟื่องฟู และถ้าเขาซื้อแฟรนไชส์มาเปิดขาย เขาคงจะสร้างรายได้ได้อย่างมหาศาลแน่นอน
“ไปดูก่อนดีกว่า ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้พี่เขยทำ ดีกว่าเอาเวลามาเที่ยวเล่นทั้งวันแบบนี้”
เฉียนฟางอี้พับหนังสือพิมพ์ใส่ในกระเป๋าแล้วเดินออกประตูไป
“กริ๊ง……”
กริ่งจักรยานดังขึ้น
หลี่กวงหรงเงยหน้าขึ้น ก็เห็นบุรุษไปรษณีย์เหล่าเฉิน เขาจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เหล่าเฉิน วันนี้มาแต่เช้าเลยนะ”
“เวลามันไม่ตรงกันทุกวันหรอก อนิจจา อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสินะ”
เหล่าเฉินจอดจักรยานของเขา หยิบหนังสือพิมพ์รายวันชิงโจวออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้กับหลี่กวงหรง จากนั้นก็ขี่จักรยานออกไปส่งบ้านหลังอื่นต่อ
หลี่กวงหรงชอบอ่านหนังสือพิมพ์ เนื่องจากเขาตั้งแผงรับปะยางซ่อมรถ ที่อยู่ที่เขาให้มาส่งหนังสือพิมพ์จึงเป็นที่แผงของเขา
เขามองตามแผ่นหลังของเหล่าเฉินที่จากไป จากนั้นก็เปิดหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านอย่างไม่ใส่ใจ
ในทำนองเดียวกัน ข้อความด้านล่างของหนังสือพิมพ์ได้ดึงดูดสายตาของเขาทันที
“เจียงเสี่ยวไป๋ นายช่างใจร้ายจริง ๆ ”
“เรื่องดี ๆ แบบนี้กลับเอาไปลงหนังสือพิมพ์ แต่ไม่เคยคิดจะบอกกันก่อน”
ใบหน้าของหลี่กวงหรงบูดบึ้งเล็กน้อย เขาก็เป็นนักธุรกิจเหมือนกัน ดังนั้นโฆษณาการขายแฟรนไชส์กุ้งอบน้ำมันจึงทำให้เขาได้กลิ่นเงินขึ้นมาทันที