ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 105 :ลูกสาวตัวน้อยเผยพิรุธ
ตอนที่ 105 :ลูกสาวตัวน้อยเผยพิรุธ
“ป่าป๊า หนูอยากกิน ! ”
หนูน้อยเห็นกุ้งอบน้ำมันในกะละมังใหญ่ จึงพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“ตอนนี้ยังร้อน เดี๋ยวลวกมือ รออีกเดี๋ยวค่อยกิน”
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นท่าทีอยากกินจนน้ำลายย้อยของลูกสาว จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อ้อ ค่ะ ! ”
หนูน้อยมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่เธอกลับยืนอยู่ข้างเตาไม่ห่างเพื่อสูดกลิ่นหอมของอาหารให้ชื่นใจ
นิ้วของหลินเจียอินขยับเช่นกัน เธออดใจไม่ไหวอยากจะลองหยิบมาชิมสักตัวแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “ชานชาน ลูกไปเรียกปู่มากินข้าวสิ”
“หม่าม๊าไปเลยค่ะ หนูจะรอกินกุ้ง”
คราวนี้หนูน้อยไม่ยอมเชื่อฟังคำของพ่อ ดวงตากลมโตเอาแต่จับจ้องไปยังกุ้งสีแดงสวยในกะละมัง ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หนูน้อยก็ไม่ยอมออกห่างจากมันเลย
หลินเจียอินจึงถามด้วยความสงสัยว่า “ทำไมวันนี้คุณถึงนึกชวนลุงใหญ่มากินข้าวด้วยกันล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋อธิบาย: “ลุงใหญ่เป็นคนช่วยผมจับกุ้งเครย์ฟิชพวกนี้ในนาของเขา เดี๋ยวผมจะไปเรียกเขามากินข้าวแล้วนะ”
หลินเจียอินพยักหน้าแล้วพูดว่า “งั้นให้ฉันไปเรียกพ่อกับแม่มากินข้าวด้วยไหม”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบ “งั้นเดี๋ยวคุณออกไปเรียกพวกเขามาทั้งสองบ้านเลย”
วันนี้เขาจับกุ้งเครย์ฟิชมาได้เป็นจำนวนมาก ต่อให้เรียกครอบครัวของพ่อกับแม่มาทั้งครอบครัวก็ยังมีเพียงพอให้ทุกคนได้กิน
แค่ว่าเมื่อพวกเขาได้ลิ้มรสสุดยอดความอร่อยของกุ้งแล้ว กลัวว่ากุ้งสิบกว่าชั่งจะไม่พอกินเอาน่ะสิ
“งั้นฉันไปก่อนนะ”
หลินเจียอินพูดแล้ว ก่อนไปเธอยังหันไปมองกุ้งอบน้ำมันกะละมังใหญ่บนโต๊ะพลางกลืนน้ำลายตัวเอง
เจียงเสี่ยวไป๋ล้างกระทะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มทำน้ำจิ้มสำหรับกุ้งนึ่ง
ที่สำคัญคือต้องเจียวพริกแห้งซอยให้มีรสมัน ๆ หน่อย ให้กรอบและหอมเหมือนกระดองปู
ที่บ้านเขามีน้ำมันงาที่เขาเคยทำไว้ ซึ่งพริกแห้งที่ทอดในน้ำมันงาจะมีรสชาติที่หอมเข้มข้นกว่า
ไม่นาน น้ำจิ้มสูตรลับสำหรับกุ้งนึ่งชามใหญ่ก็พร้อมเสิร์ฟ
ในเวลานี้ กุ้งอบน้ำมันเริ่มเย็นขึ้นบ้างแล้ว
“ป่าป๊า หนูขอชิมสักตัวได้ไหม ? ”
หนูน้อยแทบจะน้ำลายไหลออกมาแล้ว
“ได้สิเจ้าหญิงน้อยของพ่อ เดี๋ยวพ่อจะสอนวิธีกินให้”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มรับ เขาหยิบกุ้งขึ้นมา แกะก้ามออก ลอกเปลือกออกแล้วยื่นให้ลูกสาว
หนูน้อยรับมันเข้าปาก
รสชาติของมันทั้งเผ็ดทั้งหอม เนื้อกุ้งสดใหม่ฉ่ำไปด้วยน้ำซุปและน้ำมัน ให้รสชาติอร่อยฉ่ำเต็มปากเต็มคำ
“ป่าป๊า กุ้งอร่อยมากเลยค่ะ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ ลูกสาวชอบมัน แค่นี้เขาก็อิ่มเอมใจแล้ว
เขาสอนลูกสาวอย่างใจเย็นถึงวิธีการปอกเปลือกกุ้งและวิธีดูดซุปและมันจากหัวกุ้ง
รสชาติความอร่อยของเมนูกุ้งอบน้ำมันไม่ได้อยู่ที่เนื้อกุ้ง
ความสุขที่สุดของการกินกุ้งอบน้ำมันคือการได้ดูดซุปและมันกุ้ง ยิ่งดูดยิ่งอร่อยจนหยุดไม่อยู่
“อร่อยมาก ! อร่อยมาก ๆ เลยค่ะ ! ”
“ป่าป๊า หนูอยากกินอีก ! ”
กินหมดไปหนึ่งตัวแล้ว หนูน้อยยังไม่หนำใจ เธอจึงอ้อนขอกินอีก
“ได้ งั้นลูกลองกินเองด้วยวิธีที่พ่อสอน”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม หลังจากล้างมือแล้ว เขาก็ไปเอาเบียร์เย็น ๆ จากบ่อน้ำใหญ่
เมื่อเขากลับมา หนูน้อยได้กินกุ้งไปแล้วถึง 7-8 ตัว ปาก มือ หน้าอกและแขนเสื้อของเธอเต็มไปด้วยน้ำมัน
“ประมาทเกินไปแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋หน้าตาตื่น เขารีบให้ลูกสาวหยุดกิน จากนั้นก็ล้างมือและถอดเสื้อผ้าให้เธอ ไม่อย่างนั้นตอนภรรยากลับมา มีหวังเขาถูกบ่นจนหูชาแน่
“ป่าป๊า หนูกินอิ่มแล้วค่อยเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ได้ ! ”
หนูน้อยกลับคิดว่าป่าป๊าเรื่องมาก เธอยังอยากกินต่อ
เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงยืนยันคำเดิมว่า “เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยกิน อีกเดี๋ยวพวกปู่ก็จะมากันแล้ว การที่ลูกใส่เสืัอผ้าสกปรกมันไม่สุภาพ”
เขาไม่ได้พูดคำพูดจำพวกถ้าไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าจะไม่ให้กิน และไม่ได้พูดว่าถ้าทำเสื้อผ้าสกปรก แม่กลับมาจะโกรธเอาได้
เขาคิดว่าวิธีการอบรมสั่งสอนลูกด้วยการขู่และหลอกเป็นวิธีที่ไม่ดี
สิ่งที่เขาคิดก็คือ เราจะต้องมีความจริงใจต่อกัน แม้อีกฝ่ายจะเป็นลูกก็ตาม
“ค่ะ หนูเชื่อป่าป๊า”
หนูน้อยปล่อยให้เจียงเสี่ยวไป๋เปลี่ยนเสื้อผ้าให้
เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “อีกเดี๋ยวเวลาลูกกินต่อ พอมือและปากของลูกเลอะคราบน้ำมัน ลูกก็ใช้กระดาษชำระเช็ดมือแล้วค่อยกินใหม่ แบบนี้น้ำมันจะได้ไม่เลอะเสื้อผ้าของลูก”
“ได้ค่ะป่าป๊า ! ”
หนูน้อยขานรับอย่างเชื่อฟัง
หนูน้อยเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว หลินเจียอินกลับมาพอดี ตามมาด้วยเจียงไห่เทียน เจียงไห่หยางละครอบครัว
“นี่มันเวลาไหนกันแล้ว ยังเรียกมากินข้าวอยู่อีก”
เจียงไห่หยางเดินไปบ่นไป ครอบครัวของเขากินข้าวเย็นไปแล้ว แต่หลินเจียอินก็ยังเรียกให้พวกเขาไปกินกุ้งอบน้ำมันอะไรสักอย่าง ตอนแรกพวกเขาไม่อยากมา แต่สุดท้ายเจียงไห่เทียนก็มาเรียกเช่นกัน เขาจึงต้องมา
“กลิ่นอะไรเนี่ย ? หอมจังเลย ! ”
“หอมมากจริง ๆ ! ”
เมื่อพวกเขาใกล้มาถึงลานบ้าน เจียงเสี่ยวเหลยและเจียงเสี่ยวอวี่ต่างก็อุทานออกมาอย่างตื่นเต้น
กลิ่นหอมเข้มข้นเช่นนี้ เจียงไห่เทียน เจียงไห่หยาง หวังซิ่วจวี๋ และเจียงเสี่ยวเฟิงยังได้กลิ่นเช่นเดียวกัน พวกเขาถึงกับทำจมูกฟุดฟิดเพื่อดมกลิ่นอีกครั้ง
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินเสียงด้านนอกจึงเดินออกมาทักทาย “กินกันอยู่ที่ลานบ้านนั่นแหละ เดี๋ยวผมจะย้ายโต๊ะใหญ่ออกไป”
“พี่รอง เดี๋ยวผมช่วย”
เจียงเสี่ยวเหลยวิ่งเข้ามาแล้วพูดว่า “เห็นพี่สะใภ้บอกว่าพี่ทำกุ้งอบน้ำมันอะไรสักอย่าง หอมมากเลย”
“จมูกนายนี่ดีไม่เบา ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋แกล้งแซวน้องชาย แล้วปล่อยให้เขาย้ายโต๊ะคนเดียว ส่วนเขาก็ไปยกกุ้งมาจากในครัว
เมื่อกุ้งอบน้ำมันถูกยกออกมา กลิ่นหอมนั้นยิ่งเข้มข้นเข้าไปใหญ่
ต่อให้เจียงไห่หยางและพวกหวังซิ่วจวี๋จะกินข้าวเย็นไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังน้ำลายไหลอยู่ดี
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจียงเสี่ยวเหลย เจียงเสี่ยวอวี่และเจียงเสี่ยวถิง พวกเขาแต่ละคนต่างจ้องมองกุ้งตัวสีแดงสดใสด้วยตาเป็นประกาย
พวกเขาไม่เคยกินมันมาก่อน
และไม่รู้ว่าควรกินอย่างไร
เจียงเสี่ยวไป๋จึงอธิบายให้ฟัง: “การกินกุ้งเครย์ฟิชไม่จำเป็นต้องใช้ตะเกียบ แต่ทุกคนต้องไปล้างมือให้สะอาด แล้วหยิบกุ้งขึ้นมากินได้เลย”
หลินเจียอินได้ยินแบบนั้นก็รีบเข้าไปในครัวเพื่อเอาน้ำใส่กะละมังออกมาให้ทุกคนล้างมือ
เจียงเสี่ยวไป๋เดินเข้าไปยกกุ้งนึ่งกะละมังใหญ่ออกมาวางไว้บนโต๊ะเช่นกัน จากนั้นเขาก็ตักน้ำจิ้มสูตรลับของเขาแบ่งใส่ถ้วยใบเล็กให้กับทุกคน
หลังจากที่ทุกคนล้างมือแล้ว พวกเขาถึงกลับมานั่งที่โต๊ะ
ตอนนี้บนโต๊ะมีกะละมังใส่กุ้งวางไว้ถึง 4 ใบ ใบหนึ่งเป็นกุ้งนึ่ง อีก 3 ใบเป็นกุ้งอบน้ำมัน
“วันนี้เราจะกินกุ้งเครย์ฟิชกัน ไม่มีเมนูอื่น”
เจียงเสี่ยวไป๋วางกระดาษชำระสองม้วนลงบนโต๊ะตัวใหญ่แล้วนั่งลง
“มา ๆ ๆ เริ่มกินกันได้เลย ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ชวนให้ทุกคนเริ่มกิน เพราะเขารู้ว่าทุกคนไม่เคยกินและไม่รู้วิธีกิน จึงสาธิตก่อนและอธิบายระหว่างกิน
“ป่าป๊า หนูรู้ว่าต้องกินยังไง”
เจียงชานหยิบมาหนึ่งตัวและเริ่มกินมัน
ทุกคนทนได้ไม่นานก็คว้ามาคนละตัวและเรียนรู้ที่จะกินมัน
“ว้าว มันอร่อยมาก ! ”
“อร่อยจริง ๆ ! ”
“นี่เป็นของที่อร่อยที่สุดเท่าที่ฉันเคยกินมา”
“……”
เจียงเสี่ยวเหลย เจียงเสี่ยวอวี่ และคนอื่นต่างชมไม่ขาดปาก
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าแมลงศัตรูพืชนี้มันอร่อยจริง ๆ ”
เจียงไห่เทียนเองก็อุทานอย่างตกตะลึงเช่นเดียวกัน แม้ว่ากุ้งจะมีเนื้อน้อย แต่รสชาติของการดูดมันกุ้งมันสุดยอดมาก
“ฮ่าฮ่า ลูกรองของฉันทำเมนูอะไรออกมาก็อร่อย ! ”
เมื่อได้ยินเจียงไห่เทียนชม เจียงไห่หยางจึงตั้งใจพูดชมบ้าง
“ต้องบอกเลยว่าไม่มีใครเทียบฝีมือการทำอาหารของเสี่ยวไป๋ได้แล้ว ! ”
เจียงไห่เทียนมั่นใจและพูดอย่างจริงใจ
ทุกคนกินจนน้ำมันเลอะเต็มปาก แต่ไม่มีใครแตะกระดาษชำระบนโต๊ะ ยกเว้นเจียงชาน
พวกเขาใช้นิ้วเช็ดน้ำมันที่เลอะรอบปาก แล้วดูดนิ้วต่อจนนิ้วสะอาด
“ที่รัก ใช้กระดาษชำระเช็ด ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นว่าปากและมือของหลินเจียอินเปื้อนไปด้วยคราบน้ำมัน เขาจึงดึงกระดาษชำระยื่นให้เธอ
นับตั้งแต่ที่เจียงเสี่ยวไป๋ซื้อกระดาษชำระมาติดไว้ที่บ้าน หลินเจียอินจะนำมันมาเช็ดมือเช็ดก้นหลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จแล้ว ตอนนี้พอเจียงเสี่ยวไป๋ให้เธอเช็ดปาก เธอจึงรู้สึกแปลก ๆ อยู่เหมือนกัน
หนูน้อยเองก็ใช้กระดาษชำระเช็ดก้นมาโดยตลอดเหมือนกัน แต่เธอกลับไม่ได้คิดมากเหมือนผู้เป็นแม่ เมื่อเห็นว่ามือเปื้อนน้ำมัน หนูน้อยก็เอามันมาเช็ดมือของตนเอง
“ป่าป๊า เห็นไหมว่าหนูเช็ดสะอาดแล้ว ไม่มีน้ำมันหยดบนเสื้อผ้าเลย ! ”
หลินเจียอินถึงได้สังเกตว่าเจียงชานได้เปลี่ยนชุดใหม่มาแล้ว
“เฮอะ ! ”
ต้องเป็นหลังจากที่ฉันออกไปแน่นอน สองพ่อลูกคู่นี้คงจะแอบกินลับหลังฉัน !
กุ้งอบน้ำมันที่อร่อยขนาดนี้ ทำไมไม่รอให้ฉันกลับมาก่อนแล้วค่อยกินด้วยกัน
ดวงตาคู่งามของหญิงสาวจึงมองค้อนไปยังเจียงเสี่ยวไป๋
เจียงเสี่ยวไป๋ถึงกับเอามือกุมขมับตัวเอง เขามองไปยังลูกสาวด้วยสีหน้าละเหี่ยใจ
ช่างเป็นลูกสาวที่ดีของพ่อเสียจริง ๆ
ทำไมถึงได้ขายพ่ออย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ล่ะ….