ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 10 :โชคชะตามักบันดาลให้คู่กัดมาพบกัน
ตอนที่ 10 :โชคชะตามักบันดาลให้คู่กัดมาพบกัน
อำเภอชิงซาน
ช่วงเย็น ๆ ใกล้พลบค่ำแบบนี้ แต่ละครอบครัวต่างเตรียมตัวกินข้าวเย็นกันหมดแล้ว ดังนั้นตามท้องถนนจึงแทบไม่เหลือใครเลย
จางชุ่ยฮวารู้สึกเศร้าใจกับเจ้าจักรยานคันใหม่ที่เพิ่งซื้อมา ด้วยความหงุดหงิด หญิงสาวจึงจูงจักรยานออกไปฝึกปั่นต่อ
เพิ่งปั่นออกมาได้ไม่นาน เธอก็เห็นว่ามีใครบางคนวิ่งมาตรงหน้าเธอแล้ว
“คนสวย นี่เราบังเอิญเจอกันอีกแล้วนะ”
จางชุ่ยฮวาจอดจักรยานแล้วพูดด้วยความไม่พอใจ “เป็นคุณอีกแล้วหรือ”
“ฮ่าฮ่า……”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นหมายความว่าเราสองคนมีวาสนาต่อกันไง”
“ฉันไม่อยากมีวาสนากับคนแบบคุณหรอก”
จางชุ่ยฮวาสวนกลับ แต่เมื่อเห็นสภาพของเจียงเสี่ยวไป๋ หัวใจของเธอก็เต้นรัวราวกับกลอง
ชายคนนี้ดูเหมือนเพิ่งเดินออกมาจากป่าดึกดำบรรพ์ เสื้อผ้าของเขาขาดเป็นรูสองสามรู ตามหัวและลำตัวของเขายังคงเปื้อนไปด้วยเศษใบไม้ใบหญ้า และเขาแบกเลียงผาที่ตายแล้วไว้บนบ่า แม้กระทั่งเสื้อผ้าของเขายังเปื้อนไปด้วยเลือดสัตว์
แบบนี้มันทำให้เขาดูน่ากลัวมาก
จางชุ่ยฮวาเผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว เธอถามเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ว่า “คุณ……จะทำอะไร ? ”
“ผมอยากขอปรึกษากับคุณหน่อย”
สองตาของเจียงเสี่ยวไป๋จ้องไปที่จักรยานของเธอ แววตาของเขาเปล่งแสงโลภราวกับวิญญาณร้ายที่เห็นอาหารโอชะ
“คุณจะยืมจักรยานฉันอีกแล้วหรือ ? ”
จางชุ่ยฮวาเห็นสายตาของเจียงเสี่ยวไป๋ก็เข้าใจได้ในทันที
“ฉลาดมาก ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวชมด้วยรอยยิ้ม
หากไม่ใช่เป็นเพราะตอนนี้สองมือของเขากำลังถือของอยู่ เขาก็คงยกนิ้วให้สาวสวยคนนี้ไปแล้ว
“ฝันไปเถอะ ฉันไม่ให้ยืมแล้ว”
จางชุ่ยฮวาปฏิเสธทันควัน
เขาคิดอะไรของเขากัน ? ตอนสายมายืมไปก็ทำยางรถแตก ตอนนี้เพิ่งผ่านไปไม่เท่าไหร่ก็อยากจะกลับมายืมอีกแล้ว คนอะไรช่างหน้าหนาจริง ๆ
“คนสวย ผมไม่ได้ยืมฟรีนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋กลับยิ้มร่า เขาวางเลียงผาที่ถืออยู่ในมือซ้ายลงบนพื้น จากนั้นก็เอามือล้วงไปในกระสอบเพื่อหยิบไก่ฟ้าสีทองท้องแดงออกมายื่นให้เธอ “ผมจะยืมประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ส่วนนี่คือค่าตอบแทน”
ไก่ฟ้าสีทองท้องแดงเป็นสัตว์ที่สวยงามมาก มันมีจะงอยปากสีแดง ขนตรงแผงคอลงไปเป็นสีเขียว ท้องสีแดง ขนยาวตรงหางมีสีดำ สีขาว สีทองและสีแดงแซมสลับกันเหมือนริ้วเมฆ
จางชุ่ยฮวาถูกความงดงามของมันดึงดูดได้ในทันที
มันจะจะสวยแค่ไหนถ้าเธอดึงขนที่หางของมันมาประดับหมวก
และถ้าเธอนำไก่ฟ้าสีทองตัวนี้ไปขาย ก็จะสามารถขายได้ในราคา 6-7 หยวนเป็นอย่างต่ำเชียวนะ
เขาเอาไก่ฟ้าสีทองมาขอแลกกับการยืมจักรยานแค่ 1 ชั่วโมง การแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าขนาดนี้จะไม่ตกลงได้อย่างไร
“ตกลง”
จางชุ่ยฮวากลัวว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะเปลี่ยนใจทีหลัง เธอจึงรีบจูงแฮนด์จักรยานไปยัดใส่มือเจียงเสี่ยวไป๋ จากนั้นก็คว้าเอาไก่ฟ้าสีทองมา
เจียงเสี่ยวไป๋ดีใจมากเช่นกัน เขาเอาเลียงผาและกระสอบวางไว้บนเบาะหลังแล้วมัดให้เรียบร้อย จากนั้นเขาก็ถามชื่อแซ่ของจางชุ่ยฮวารวมถึงบริเวณที่จะให้เขาเอาจักรยานไปคืน
“ชุ่ยฮวา ชื่อเพราะดีนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดแล้วก็ปั่นจักรยานออกไป
มองตามแผ่นหลังของเจียงเสี่ยวไป๋ที่ค่อย ๆ ลับสายตาไป จางชุ่ยฮวาถือไก่ฟ้าด้วยความดีใจ แต่เธอคิดไม่ออกว่าทำไมชื่อชุ่ยฮวาถึงเป็นชื่อที่เพราะ ?
แต่เจียงเสี่ยวไป๋ชมว่าชื่อของเธอไพเราะ ถึงอย่างไรเธอก็ดีใจเหมือนกัน
อีกอย่างพอมาลองคิดดู ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้ดูแย่เหมือนกับที่คนอื่นพูดเอาไว้ เขาไม่เหมือนนักเลงหรืออันธพาลเลยสักนิด
ดูเขาสิ เขาทั้งสูงโปร่งหน้าตาหล่อ แถมยังเรียกเราว่า ‘คนสวย’ ด้วย ปากหวานจะตายไป
ในยุคนี้ ผู้ชายเรียกผู้หญิงว่าคุณ คุณผู้หญิง หรือไม่ก็นาง นางสาว เคยได้ยินผู้ชายคนไหนเรียกผู้หญิงว่าคนสวยบ้างไหมล่ะ ?
เกรงว่าคงมีแค่เจียงเสี่ยวไป๋คนเดียวนี่แหละ
จางชุ่ยฮวาอารมณ์ดี เธอฮัมเพลงเบา ๆ แล้วเดินกลับบ้านโดยไม่กังวลเลยว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะคืนรถตรงเวลาไหม
ในเมืองชิงโจว
หลังจากฟ่านซือหมิง ผู้จัดการโรงแรมชิงโจวสเตทรับสายหนึ่ง เขาก็รีบมาหาพนักงานจัดซื้ออย่างหลิวเจี้ยนกั๋ว
“เจี้ยนกั๋ว พรุ่งนี้รองนายกเทศมนตรีจางจะมาทานมื้อเย็นที่นี่ นายไปหาเนื้อสัตว์ป่ามาทำอาหารหน่อย รองนายกเทศมนตรีจางชอบกิน”
หลิวเจี้ยนกั๋วได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
ทุกวันนี้ไม่มีร้านไหนขายของป่าโดยเฉพาะเลย อีกทั้งตอนนี้ฟ้าใกล้มืดแล้ว เขาจะไปหาของป่ามาจากไหน
แต่ในเมื่อผู้จัดการสั่งมาขนาดนี้แล้ว เขาจะไม่ทำตามก็ไม่ได้
“ได้ เดี๋ยวผมจะลองหาวิธีดูแล้วกัน” หลิวเจี้ยนกั๋วฝืนรับปาก
“เจี้ยนกั๋ว ฉันไม่ได้ให้นายหาวิธี แต่นายจะต้องไปหามันมาให้ได้” ฟ่านซือหมิงพูดเน้นย้ำอีกครั้ง
“ครับ”
หลิวเจี้ยนกั๋วตอบรับอย่างจนปัญญา เขาจุดบุหรี่แล้วเดินออกไปสูบด้านนอกโรงแรม
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู และมองดูสีของท้องฟ้า หลิวเจี้ยนกั๋วก็รู้สึกทุกข์ใจไม่น้อย
ตอนนี้ในเมืองหาซื้อของป่าไม่ได้แล้ว ถ้าต้องการจะหาของป่าจริง ๆ คงทำได้เพียงแค่กลับบ้านเกิดของเขาที่หลูหยวนผิงเพื่อไปให้ลุงรองล่าให้
แต่หากกลับหลูหยวนผิงจะต้องเดินทางไกล 20-30 ลี้ ต่อให้ปั่นจักรยานกลับไป ฟ้าก็คงมืดพอดี
หากให้ลุงรองไปล่าสัตว์ตอนดึก ด้วยทักษะยิงปืนที่ไม่ได้เรื่องของลุงรอง ตอนกลางวันสามารถยิงนกเขาได้สักสองตัวก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
ส่วนไก่ฟ้า กระต่ายป่า แพะป่าอะไรพวกนั้นน่ะลืมไปได้เลย
เฮ้อ……ไม่คิดแล้ว กลับไปก่อนค่อยว่ากัน ไม่แน่อาจโชคดีก็ได้
หลิวเจี้ยนกั๋วโยนก้นบุหรี่ทิ้งแล้วใช้เท้าขยี้อย่างแรง จากนั้นเขาก็เตรียมจะไปจูงจักรยานมา
“กริ๊ง กริ๊ง……”
ทันใดนั้น เสียงกริ่งจักรยานดังขึ้นเป็นชุด ๆ และจักรยานคันหนึ่งก็หยุดอยู่ไม่ไกลจากด้านหน้าของหลิวเจี้ยนกั๋ว
“พี่ชาย พี่คือคนที่โรงแรมชิงโจวสเตทใช่ไหม ? ”
คนที่มาคือเจียงเสี่ยวไป๋ เขาขี่จักรยานเข้าเมืองและตรงไปที่โรงแรมประจำเมืองที่บริหารงานโดยรัฐ เมื่อเห็นเสื้อผ้าของหลิวเจี้ยนกั๋ว เขาก็ถามอย่างกระตือรือร้น
หลิวเจี้ยนกั๋วกำลังอารมณ์ไม่ดี เขาโบกมือไล่อย่างหงุดหงิด “ไป ๆ ๆ เรียกใครว่าพี่ชายหา ? ไม่รู้จักกันควรเรียกว่าสหายสิ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มเจื่อน ดูเหมือนผู้ชายคนนี้จะอารมณ์ไม่ดี นี่เราเจอเคราะห์ร้ายแล้วสินะ
ด้วยความจนปัญญา เขาจึงเปลี่ยนคำเรียก “สหาย ฉันมีเนื้อสัตว์ป่ามาขาย พวกคุณรับซื้อไหม ? ”
“จะให้รับซื้ออะไรล่ะ ? ”
พอได้ยินแว๊บแรกที่เขาถามว่าจะรับซื้อไหม หลิวเจี้ยนกั๋วติดนิสัยนึกว่าเขามาขายผักป่า
อืม สภาพของเจียงเสี่ยวไป๋ในตอนนี้ดูแย่ยิ่งกว่าคนขายผักป่าเสียอีก
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลิวเจี้ยนกั๋วถึงได้มีสีหน้าหงุดหงิดขนาดนี้ แต่พอเขาตั้งสติได้แล้ว เขาถึงนึกได้ว่าอีกฝ่ายถามเขาว่า ‘รับซื้อเนื้อสัตว์ป่าไหม’
เนื้อสัตว์ป่า !
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการอย่างเร่งด่วนหรอกหรือ ?
หลิวเจี้ยนกั๋วเปลี่ยนสีหน้าในทันที เขาถามเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความดีใจว่า “นายบอกว่านายมีเนื้อสัตว์ป่ามาขายใช่ไหม ? ”
สายตาของเขามองลงไปที่เบาะหลังของจักรยาน
แม่เจ้า แม้จะมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ด้านในกระสอบ แต่เขากลับมองปราดเดียวก็เห็นเลียงผาที่ขนาดตัวยาวเกือบ 90 เซนติเมตรแล้ว
“เลียงผา ! ”
หลิวเจี้ยนกั๋วอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น เพราะมันคือสัตว์ป่าที่หากินได้ยากมาก
“สหาย ถ้าคุณไม่รับซื้อ ฉันจะไปขายให้ที่อื่นแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋สังเกตเห็นสีหน้าและท่าทางของเขาก็รู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้กำลังตกที่นั่งลำบาก และเขาน่าจะกำลังต้องการใช้เนื้อสัตว์ป่าอย่างเร่งด่วน จึงแกล้งทำเป็นพูดไปแบบนั้นแล้วทำท่าจะจูงจักรยานออกไป
“รับซื้อ ! ”
“รับซื้อสิ ! ”
หลิวเจี้ยนกั๋วเริ่มกระวนกระวายแล้ว “น้องชายอย่าเพิ่งรีบร้อนไปสิ นอกจากเลียงผาแล้ว ยังมีเนื้อสัตว์ป่าอะไรอีกไหม ฉันรับซื้อหมดเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ นี่เขาเปลี่ยนมาเรียกน้องชายแทนที่จะเรียกสหายแล้วหรือ ?
ในยุคสมัยนี้ ทุกคนต่างเรียกคนที่เพิ่งพบหน้ากันว่าสหายทั้งนั้น มีเพียงแค่คนสนิทเท่านั้นที่จะเรียกแทนกันว่าพี่ชายน้องชายได้
ก่อนหน้านี้ที่เขาเรียกหลิวเจี้ยนกั๋วก็แค่เพื่อต้องการตีสนิทเท่านั้น
และการที่เขาตีสนิทกับอีกฝ่ายก็เพราะอยากขายของ ตอนนี้อีกฝ่ายบอกว่าจะรับซื้อ เจียงเสี่ยวไป๋ไม่สนใจแล้วว่าจะตีสนิทได้หรือไม่ เขาพูดออกไปตามตรงว่า “ในกระสอบคือไก่ฟ้าสีทองกับกระต่ายป่า”
“เยี่ยมไปเลย ฉันซื้อหมดนั่นแหละ”
หลิวเจี้ยนกั๋วพูดอย่างตื่นเต้น “รีบเอาไปชั่งเร็ว”
ตอนนี้มีเนื้อสัตว์ป่าตั้งสามชนิด หนึ่งในนั้นเป็นเลียงผาอีกด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะทำให้ผู้จัดการพอใจได้
“เลียงผาให้ราคาเท่าไหร่ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดย้ำอย่างใจเย็น “ถ้าราคาถูกไป ฉันไม่ขายนะ”