ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 387 หุ่นเชิดซากศพ
บทที่ 387 หุ่นเชิดซากศพ
หลิวเสี่ยวฟานเองก็ได้แตะไปที่หน้าอกของตนเมื่อเห็นว่าสัตว์ปีศาจค้างคาวได้พุ่งมาที่ตน
และนี่ทำให้งูที่มีความยาวห้าถึงหกเมตรพุ่งออกมาจากอกของเขาพร้อมปากที่อ้ากว้างแล้วตรงไปยังค้างคาวปีศาจด้วยเสียงคำรามลั่น
ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยการที่สัตว์ปีศาจของหลี่เสี่ยวฟานนั้นมีขนาดที่ใหญ่โต หางของมันที่ยังค้างคาอยู่ตรงช่องสีดำทะมึนที่หน้าอกของหลิวเสี่ยวฟาน นี่เองช่วยทำให้หลิวเสี่ยวฟานควบคุมหุ่นเชิดโลหิตของตนได้อย่างง่ายดาย
ส่วนค้างคาวปีศาจที่พุ่งตรงไปหาหลิวเสี่ยวฟานนั้น เมื่อมันได้เห็นงูปีศาจได้โจมตีสวนเข้ามา มันก็รีบทะยานขึ้นฟ้าไป
ด้วยการที่มันหลบเลี่ยงได้อย่างทันเวลา จึงทำให้มันไม่ได้ถูกงูปีศาจกลืนกินเข้าไปในคำเดียว
อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่อยู่ด้านนอก ต่างก็เห็นได้ชัดว่าค้างคาวปีศาจตนนี้กลัวงูปีศาจตัวใหญ่ยักษ์ตัวนี้อย่างมาก
หากยังเป็นแบบนี้ การต่อสู้สมควรจะจบลงโดยไว
“ฮี่ฮี่ฮี่ เหลิ่งเซิ่ง ไอ้ที่ข้าเคยบอกเจ้าให้ยอมแพ้นั้นคงจะสายไปแล้วล่ะนะ”
“ให้ข้าบอกเจ้าตรงๆเลยแล้วกันว่างูปีศาจของนายน้อยผู้นี้ยังไม่ได้ออกไปเต็มตัว หากออกไปเต็มตัวเมื่อไหร่มันต้องได้ดื่มเลือดของเจ้า”
“แม้เลือดของเจ้านั้นจะไม่ได้ช่วยส่งเสริมข้าเท่าไหร่ แต่กับงูยักษ์ตนนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่แย่สำหรับมัน”
“จะว่าไปไอ้ค้างคาวของแกก็ไม่เลวนะ งั้นข้าก็ขอเป็นของแถมให้งูยักษ์ของข้าก็แล้วกัน”
ภายใต้การโจมตีของงูปีศาจ เหลิ่งเซิ่งได้ถอยร่นไปจนชิดกำแพงสนามแล้ว ไม่มีที่ให้ถอยหนีอีกต่อไป
ในขณะเดียวกัน ท่าทางของหลิวเสี่ยวฟานนี้ได้ทำให้เหลิ่งเซิ่งมองกลับเขาไปด้วยสายตาที่เย็นชา
“โฮ่ โกรธข้ารึ เข้ามากัดข้าสิวะ”
เมื่อเห็นเหลิ่งเซิ่งไม่มีทางที่จะทำอะไรตนได้ ดวงตาของหลิวเสี่ยวฟานก็แสดงออกถึงความยั่วยุอย่างที่สุด ก่อนจะสั่งให้งูปีศาจยักษ์ของตนโจมตีเหลิ่งเซิ่งต่อไป
“อัยหยา….”
บนที่นั่งของผู้ทรงเกียรติ ผอ.ฉีอดไม่ได้ที่จะถอนลมหายใจพลางรู้สึกหมดหวังกับเหลิ่งเซิ่ง
แต่เดิมนั้น ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตของสำนักเต๋าใต้บาดาลก็น้อยนิดอยู่แล้ว คนที่ดูอ่อนด้อยยังกล้าหาญที่จะสู้แทนสำนักทั้งๆที่คนอื่นๆกลับไม่กล้าที่จะทำ นี่ทำให้เขาอดเสียดายไม่ได้
เจิ้งฮูเชิงได้ยิ้มในทันทีเมื่อได้ยินแล้วพูดออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า พี่ฉี จะเศร้าไปไย”
“ทุกๆครั้งที่พวกเราประลองกัน นอกจากแผนกหุ่นเชิดโลหิตแล้ว แผนกอื่นข้าก็แพ้ท่านหมดเองนา”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ผอ.ฉีก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่เจิ้งฮูเชิงอย่างดุร้ายแล้วพูดออกมา “พี่เจิ้ง ถึงแม้ท่านจะพูดถูกต้อง แต่น้ำหนักของมันช่างแตกต่างกันยิ่งนัก”
“นั่นก็เพราะหลายปีที่ผ่านมานี้ ศิษย์ของสำนักข้าตกตายเพราะศิษย์สำนักท่านไปมากมาย”
เมื่อได้ยินผอ.ฉีพูดออกมา ฉินหมิงที่เป็นผู้อาวุโสระดับสองที่กำลังบรรยายการแข่งขันก็ได้พูดออกมา “ไม่จริงน่า เหลิ่งเซิ่งยังโจมตีสวนไปได้อีกรึ”
เจิ้งฮูเชิงและผอ.ฉีที่กำลังพูดจาเหน็บแนมกันไปมาเมื่อได้ยินก็รีบหันเข้าไปดูในเขตการประลอง และดั่งที่ได้ยินมา สถานการณ์ภายในได้เปลี่ยนไป
แต่เดิมทุกคนต่างก็คิดว่าเหลิ่งเซิ่งจะต้องพ่ายแพ้และตกตายอย่างไร้ที่ฝังอยู่ในนั้น แต่ตอนนี้ทุกคนเห็นว่าเหลิ่งเซิ่งได้แตะไปที่หน้าอกของตน
“ฮื้ม”
เมื่อหลิวเสี่ยวฟานเห็นฉากนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังลั่น
“ฮ่าฮ่าฮ่า เหลิ่งเซิ่ง เจ้าคงไม่ได้มีสัตว์ปีศาจอีกตัวหรอกนะนั่น”
“หากเป็นเช่นนั้นจริง นายน้อยผู้นี้จะของยอมรับความพ่ายแพ้และคุกเข่าคำนับเจ้ามันตรงนี้เลย”
แน่นอนว่านี่เองก็เป็นเพียงคำพูดยั่วยุเพียงเท่านั้น
ต่อให้คนที่ไม่เคยเดินอยู่บนเส้นทางการบ่มเพาะหุ่นเชิดโลหิตก็ยังรู้ดีว่าการบ่มเพาะหุ่นเชิดโลหิตนี้ ทั่วทั้งชีวิตจะสามารถฝังสัตว์ปีศาจไว้ในร่างได้เพียงหนึ่งเพียงเท่านั้น
แต่เพียงสิ้นคำพูดยั่วยุยียวนของหลิวเสี่ยวฟาน มีสิ่งหนึ่งที่ได้พุ่งออกมาจากหน้าอกของเหลิ่งเซิ่งโดยมันมีขนาดพอๆกับเขา
และก่อนที่ใครจะได้เห็นชัดว่ามันคือสิ่งใด งูปีศาจของหลิวเสี่ยวฟานก็ถูกจับเอาไว้ในทันที
อย่าว่าแต่คนอื่นๆเลย แม้แต่หลี่เสี่ยวฟานเองก็เห็นได้ว่าสิ่งที่ออกมาจากร่างของเหลิ่งเซิ่งเมื่อครู่นั้นคือ….คน
เมื่อเห็นฉากนี้ ศิษย์ภายในของสำนักเต๋าดาวตกต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด
“ดูนั่น”
“ เหลิ่งเซิ่ง คนที่ออกมาจากอกเจ้ามันคือศิษย์ภายในของสำนักเต๋าดาวตกของพวกเราเติ้งเหวิ่นไคไม่ใช่เหรอ
“นั่นสิ มันคือเติ้งเหวิ่นไคจริงๆด้วย แต่ไม่ใช่ว่าเขาหายไปกว่าครึ่งปีตอนที่ออกไปสั่งสมประสบการณ์ไม่ใช่รึ”
“แล้วเขาไปอยู่กับเหลิ่งเซิ่งได้ยังไงกัน แถมยังร่วมมือกันโจมตีคนจากสำนักของตนอีก”
เจิ้งฮูเชิงที่นั่งอยู่บนที่นั่งผู้ทรงเกียรติก็ราวกับจะรับรู้อะไรบางอย่างได้ เขาจึงได้หันไปหาผอ.ฉีแล้วจ้องมองอย่างเย็นชา
“พี่ฉี ศิษย์ของเจ้าช่างใจกล้านัก”
“ไม่เพียงจะฆ่าศิษย์ภายในของสำนักข้า ยังกล้าจะเปลี่ยนเขาให้เป็นหุ่นเชิดโลหิตอีก”
“ถึงแม้สำนักของพวกเราจะต่อสู้กันมาโดยตลอด แต่ข้าคงจะต้องสืบสวนการที่เหลิ่งเซิ่งโจมตีศิษย์ภายในของสำนักข้า หากข้าไม่ทำอย่างรัดกุม เกรงว่าสำนักของพวกเราคงจะมีเรื่องกันอย่างไม่จบสิ้นเสียกระมัง”
“เมื่อถึงเวลานั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องดีกับสำนักของพวกเรา”
ผอ.ฉีแม้จะตกตะลึง แต่ก็อดที่จะจ้องมองไปยังเหลิ่งเซิ่งที่อยู่ในเขตประลองไม่ได้ เขาตบพนักพักแขนของเก้าอี้ไปฉาดหนึ่งก่อนที่จะแสดงออกมาด้วยใบหน้าที่ยากจะคาดเดา
“พี่เจิ้ง ข้าเองก็พึ่งจะรู้เรื่องนี้ ไม่คิดเลยจริงๆว่าเหลิ่งเซิ่งจะกล้าทำเรื่องแบนนี้เลยจริงๆ เดี๋ยวเสร็จจากการประลองนี้เมื่อไหร่ ข้าจะส่งคนไปถามแล้วจะมอบคำตอบดีๆให้ท่านนะ”
“ฮึ่ม” เจิ้งฮูเชิงสบถออกมา ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาแทนที่
“พี่ฉี ดูเหมือนว่าศิษย์สำนักของท่านจะเริ่มจนมุมแล้วนะนั่น”
“เหลิ่งเซิ่งนั้นเป็นเพียงแค่นักรบเท่านั้น แต่ยังกล้าที่จะทำการสวมคราบร่างแบบนี้อีก”
“พี่ฉีเองก็คงต้องระวังผลที่ตามมาเอาไว้ให้ดีนะนั่น”
“ข้าว่าคงไม่ต้องหาแล้วว่าใครถูกใครผิด เพราะไม่ว่ายังไงไอ้เด็กนี่คงจะไม่ได้จบลงด้วยดีเป็นแน่”
“ที่พี่เจิ้งกล่าวได้ถูกต้องแล้ว” ผอ.ฉีพยักหน้ารับอย่างเศร้าสร้อย “สิ่งที่เหลิ่งเซิ่งทำนั้นมันก็เกินการจริงๆ หากพี่เจิ้งต้องการ ข้ายอมยกตัวเหลิ่งเซิ่งให้ท่านหลังจากจบการประลองก็ได้นะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เจิ้งฮูเชิงไม่ได้ตอบออกมาแต่กลับมองไปยังสนามประลองด้วยท่าทางที่เย็นชา
คำพูดเหล่านี้ เฉินเฉียงได้ยินจนหมดสิ้น
ในตอนนี้เขาพึ่งจะเข้าใจได้ว่าปีศาจที่พึ่งออกมาจากร่างของเหลิ่งเซิ่งนั้นคือหุ่นเชิดซากศพที่ผ่านการสวมคราบร่างมา
หุ่นเชิดซากศพนั้นไม่ได้ดูพิเศษแตกต่างแต่อย่างใด หากมองไปปราดหนึ่งแล้วมันไม่ได้ต่างจากคนคนหนึ่งด้วยซ้ำ ไม่คิดเลยจริงๆว่าเจ้านี่เป็นเพียงซากศพเท่านั้น
หากดูจากจุดนี้ เจ้าหุ่นเชิดซากศพนี่สำหรับเขาแล้วมันเหมือนกับทหารหุ่นเชิดที่อยู่บนโลกมนุษย์ของเขาเสียมากกว่า
หากจะมีจุดต่างกันก็คือหุ่นเชิดซากศพนี้จะฟังเฉพาะผู้ที่สวมคราบร่างของมันขึ้นมาและไม่มีความรู้สึกนึกคิดของตนเอง แม้แต่ร่องรอยวิญญาณก็ยังไม่หลงเหลือ
ยิ่งไปกว่านั้นคือเท่าที่เขาดูแล้ว หุ่นเชิดซากศพนี้แตกต่างจากหุ่นเชิดโลหิต(ตัวอ่อนปีศาจที่ฝังในร่างผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต) ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้มีทักษะกลืนกินเหมือนกับสัตว์ปีศาจพวกนั้น และจะใช้ได้เพียงพลังในตอนที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น
หากเป็นอย่างนั้นจริงมันก็เป็นเรื่องที่ดีที่มันไม่ได้ดูอันตรายเท่ากับสัตว์ปีศาจพวกนั้น
อย่างไรก็ตาม ทั้งสัตว์ปีศาจ หุ่นเชิดโลหิต และหุ่นเชิดซากศพ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะคงอยู่บนโลก
แน่นอนว่าสิ่งที่ผอ.ฉีและเจิ้งฮูเชิงได้พูดออกมาเกี่ยวกับเรื่องผลที่ตามมาจากการสวมคราบร่างหุ่นเชิดซากศพของเหลิ่งเซิ่งนี้ ยังคาใจเฉินเฉียงอยู่เหมือนกัน
ตามที่เขาเข้าใจ เหลิ่งเซิ่งนั้นสมควรจะโดนผลย้อนกลับบางอย่างจากการสวมคราบร่างต่อระดับการบ่มเพาะของเขาเสียกระมัง