ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 386 สัตว์เลี้ยง
บทที่ 386 สัตว์เลี้ยง
เช้าตรู่วันถัดมา ศิษย์ภายในสำนักเต๋าใต้บาดาลได้ถูกเกณฑ์ไปที่สนามประลองที่อยู่ในเขตแผนกวิชายุทธของศิษย์ใน โดยผู้อาวุโสของแต่ละแผนก
และไม่นาน ศิษย์สำนักเต๋าดาวตกที่จะเข้าร่วมงานประลองกลุ่มหนึ่งก็ได้มาถึง โดยมีจำนวนกว่าสามร้อยที่มาเพื่อเป็นกองเชียร์และพยานในความยิ่งใหญ่ของสำนักของตน
สามเดือนก่อน ที่เขาม่อกั๋น ผอ.ของสำนักเต๋าทั้งสองสำนักได้พบเจอกันและจบลงอย่างไม่สู้ดีนัก แต่ด้วยการที่ทั้งสองสำนักก็มีปัญหากันมาโดยตลอด จึงเป็นธรรมดาที่เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองสำนักจะจบด้วยเหตุการณ์เช่นนั้น
และนี่ทำให้คนที่มีเรื่องกันมักจะจบปัญหาด้วยการมาลงประลองกันต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้
จึงไม่แปลกที่ทั้งผอ.ฉีและผอ.เจิ้งจะนั่งอยู่เคียงข้างกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
ถึงแม้งานประลองระหว่างสองสำนักนี้จะเป็นงานใหญ่ แต่นอกจากศิษย์ภายในของทั้งสองสำนักแล้ว ศิษย์นอกของสองสำนักก็ไม่มีศิษย์ได้เข้ามารับชม นับประสาอะไรกับคนจากนอกสำนักและชาวบ้านทั่วไปในเมืองเฉินหลิว
เหตุผลหลักๆก็คือในทุกๆครั้งที่มีการประลอง การต่อสู้ระหว่างศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตนั้นมันโหดเหี้ยมเกินกว่าที่คนทั่วไปจะสามารถทนดูไปได้
ถึงแม้ศิษย์ในแผนกนี้จะไม่ตายจากการรวมร่างกับสัตว์ปีศาจของตน แต่ด้วยวิธีการบ่มเพาะที่ยากจะยอมรับ นี่ทำให้จิตใจของพวกเขาไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย จนทำให้พวกเขาประพฤติตนประดุจดั่งสัตว์ปีศาจที่ตนเองได้หลอมรวม และเมื่อผ่านไปนานวันเข้าจะกลายเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่เย็นชาตนหนึ่งเพียงเท่านั้น
นี่จึงทำให้การต่อสู้ระหว่างผู้บ่มเพาะบนเส้นทางนี้ต้องตกตายกันไปข้างหนึ่งถึงจะหยุดมือลง
หากยึดตามกฎการประลองของปีที่ผ่านๆมา คนที่มีหน้าที่หลักในการจัดการแข่งขันครั้งนี้ตกเป็นหน้าที่ของผู้อาวุโสลำดับสองของสำนักเต๋าใต้บาดาล ฉินหมิง
ตรงที่นั่งของผู้อาวุโสที่จัดตั้งขึ้นอยู่ข้างสนามประลองนั้น ฉินหมิงได้เดินออกมาเพื่อเริ่มพิธีการ
“ข้าขอประกาศให้งานประลองระหว่างสำนักเต๋าใต้บาดาลและสำนักเต๋าดาวตก เริ่มขึ้น ณ บัด นี้”
“รอบแรก เป็นการประลองระหว่างศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตของสองสำนัก เมื่อยึดตามกฎการประลอง เจ้าของงานเองก็จะส่งศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตเข้าร่วมด้วยเช่นกัน และจะเป็นคนแรกที่ยืนอยู่บนลานประลองแห่งนี้”
หลังจากฉินหมิงพูดจบลง ศิษย์สองคนได้เดินของสำนักเต๋าใต้บาดาลได้เดินขึ้นมา
“ศิษย์สำนักเต๋าเหลิ่งเซิ่ง หลูอัน ทำความเคารพผู้อาวุโสฉิน”
ผู้อาวุโสฉินที่อยู่บนแท่นผู้จัดงานได้ยิ้มอย่างมิตรไมตรีออกมาให้ศิษย์ทั้งสอง เมื่อเขาถามถึงศิษย์ผู้ประลองของสำนักเต๋าดาวตก เขาก็ได้ยินเจิ้งฮูเชิงที่นั่งอยู่บนที่นั่งแขกผู้ร่วมงานหัวเราะดังลั่น
“น้องฉี เจ้าคงไม่ส่งเพียงศิษย์สองคนนี้ร่วมประลองในการงานประลองครั้งนี้หรอกนะ”
“เพราะในครั้งนี้ข้าได้ส่งศิษย์ลงสนามกว่ายี่สิบคนเลยทีเดียว”
“หากว่าเจ้าส่งศิษย์ลงเพียงแค่สองคนนี้จริง ข้าเกรงว่าคงจะต้องคัดเลือกศิษย์ของข้าใหม่เสียก่อน”
หลังจากพูดจบ เขาไม่ได้รอให้ผอ.ฉีแสดงท่าทีตอบโต้ได้แต่อย่างใด เขาเพียงหัวเราะออกมาจากดังลั่นแล้วหันไปพูดกับศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตของสำนักตนด้วยเสียงอันดัง “อ้าวเฮ้ย ศิษย์ของข้า ผู้ใดบ้างที่ต้องการจะออกไปสู้น่ะ”
“ข้า”
“ผอ. ให้ข้าไปเถอะ”
“ท่านผอ. กับอีแค่ศิษย์สำนักเต๋าใต้บาดาลสองคนนี้ให้ศิษย์พี่นี้จัดการเอง ข้าจะฆ่าพวกมันทั้งสองกับมือของข้า พวกมันจะได้รู้ว่าพวกมันไม่คู่ควรจะเดินบนเส้นทางสายนี้”
….
หลังจากที่เหล่าศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตสำนักเต๋าดาวตกได้พูดจาวางท่าใหญ่โตออกมาแทบจะพร้อมกันแล้ว มันแสดงให้เห็นถึงการข่มเหงรังแกกันอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด
ผอ.ฉีที่นั่งอยู่บนที่นั่งแขกอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมา
นี่คือความแตกต่างอย่างที่สุดระหว่างสองสำนัก
สำหรับแผนกหุ่นเชิดโลหิตนั้น ศิษย์สำนักเต๋าดาวตกแข็งแกร่งกว่าศิษย์สำนักเต๋าใต้บาดาลมากเกินไป
“พี่เจิ้ง ข้าต้องเสียใจด้วยจริงๆ ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตของข้านั้นส่วนใหญ่แล้วยังอยู่เพียงแค่เริ่มต้นหรือพอใช้เพียงเท่านั้น นี่ทำให้ในครั้งนี้ข้าส่งศิษย์ลงประลองได้เพียงแค่สองคนเท่านั้น โปรดให้อภัยกับทางข้าด้วยแล้วกัน ท่านผอ.เจิ้ง”
เจิ้งฮูเชิงย่อมรู้ดีว่าคำพูดของผอ.ฉีนั้นล้วนแล้วแต่เป็นความจริง
แต่นี่ก็เป็นเรื่องเดียวที่พวกเขาจะสะกดข่มสำนักเต๋าใต้บาดาลได้เพียงเท่านั้น และเท่านี้ก็ทำให้เขารู้สึกพอใจแล้ว
“ฮี่ฮี่ฮี่ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทางฝั่งข้าก็จะขอส่งหลี่ฉิงและหลิวเสี่ยวฟานออกไปก็แล้วกัน”
เพียงเจิ้งฮูเชิงได้พูดจบลง ศิษย์สำนักดาวตกสองคนก็ได้เดินออกมา หนึ่งในนั้นคือหลี่ฉิงที่ได้มีเรื่องมีราวกับเฉินเฉียงก่อนหน้านี้
หลังจากเดินขึ้นไปที่กลางสนามแล้ว หลี่เฉิงได้กวาดตามองไปปราดหนึ่งเข้าไปในเหล่าศิษย์สำนักเต๋าใต้บาดาล และไม่นานเขาก็ได้พบเจอเฉินเฉียง
เฉินเฉียงในตอนนี้กำลังนั่งวางท่าราวกับกำลังรอเหยียบย่ำหลี่ฉิง นี่ทำให้มุมปากของหลี่ฉิงถึงกับต้องกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่จะฝืนทนทำเป็นไม่สนใจเฉินเฉียงไปเสียอย่างนั้น
เฉินเฉียงนั้นไม่ได้แยแสกับคนเช่นหลี่เฉิง เฉกเช่นมดปลวกที่เขาเดินผ่านไป
หากว่าคนคนนี้ไม่ใช่ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตที่เขาได้พบเจอล่ะก็ แม้แต่ชื่อเขาก็ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ
“หยานเสวี่ย พวกเราได้เห็นวิธีการโจมตีของผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตมาแล้วก่อนหน้านี้ วันนี้พวกเรามาลองดูวิธีการต่อสู้ของพวกมันกัน”
หยานเสวี่ยพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน
สำหรับเธอแล้ว เธอนั้นสามารถเหยียบย่ำผู้บ่มเพาะเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย
แต่เธอเองก็ยังต้องระวังตัวตนของผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตอยู่ดี
และนี่จึงทำให้เธอตั้งใจดูการต่อสู้ของตนเหล่านี้เมื่อโอกาสมาเยือนต่อหน้า
คู่แรก ควรจะเป็นการต่อสู้ของเหลิ่งเซิ่งแห่งสำนักดาวตกและหลิวเสี่ยวฟานแห่งสำนักเต๋าใต้บาดาล
เพื่อแสดงออกมาซึ่งความยุติธรรมและป้องกันการรบกวนจากผู้อยู่นอกสนามแข่ง ศิษย์ที่ลงประลองจะถูกส่งเข้าไปในพื้นที่พิเศษที่ผู้อาวุโสลำดับที่สองของสำนักเต๋าใต้บาดาลสร้างขึ้นมา
ในพื้นที่พิเศษนี้มีรูปร่างเป็นทรงกลมที่มีเส้นผ่าศิษย์กลางอยู่ที่สามสิบตารางเมตร หลิวเสี่ยวฟานได้มองเหลิ่งเซิ่ง วางท่ากอดอก และยิ้มออกมาอย่างช่วยร้าย “ไอ้เจ้าเหลิ่ง แผนกหุ่นเชิดโลหิตของสำนักเจ้าน่ะควรจะยุบๆไปได้แล้วนะนั่น”
“หากแกไม่อยากจะตายด้วยน้ำมือของนายน้อยผู้นี้ ข้าขอแนะนำว่าให้เจ้านั้นยอมแพ้ไปซะจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นนายน้อยผู้นี้จะเปลี่ยนให้เจ้ากลายเป็นเศษเลนเน่าๆไปเสีย”
แน่นอนว่าด้วยการที่ทั้งสองต่างก็อยู่ในเมืองเดียวกันย่อมจะรู้จักค่าหน้าตากันเป็นอย่างดี
เหลิ่งเซิ่งนั้นเป็นศิษย์ภายในของสำนักเต๋าใต้บาดาลมาสองปีแล้ว เขาได้เห็นศิษย์พี่ของตนตกตายต่อหน้าต่อตาในการประลองครั้งก่อน
ส่วนหลิวเสี่ยวฟานนั้นถึงแม้จะมีอันดับที่ไม่สูงนักในสำนักเต๋าดาวตก แต่ก็ถือได้ว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจสำหรับเขาอยู่ดี
นี่จึงทำให้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับท่าทางอันยียวนกวนประสาทของหลิวเสี่ยวฟาน เหลิ่งเซิ่งจึงได้ทำตัวราวกับคนหูหนวกเมื่ออยู่ต่อหน้า เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาให้มากความเพียงแค่แตะไปที่อกของตนแล้วปลดปล่อยสัตว์ปีศาจที่มีปีกสีดำออกมา มันดูราวกับเป็นค้างคาวแต่มีขนาดใหญ่กว่ามากนัก และมันได้พุ่งตรงเข้าไปหาหลิวเสี่ยวฟานในทันที
ที่ด้านนอกสนาม เฉินเฉียงก็ถึงกับนิ่งอึ้งเหมือนกันเมื่อได้เห็น
เข้าไม่คิดว่าสัตว์ปีศาจนั้นจะมีพวกที่บินได้อยู่
หากเขาไม่รู้มาก่อนล่ะก็ ยามที่พวกมันไปปรากฏตัวบนโลก พวกมันย่อมสร้างความเสียหายได้อย่างน่าหวาดหวั่นเป็นแน่
นั่นก็เพราะมันไม่เพียงจะดูทรงพลัง มันยังเร็วอย่างมากอีกด้วย
ต่อให้เป็นนักรบระดับนายพลวิญญาณ เมื่อได้พบเจอมันก็ยังยากที่จะหลุดรอดไปได้
หากสัตว์ประหลาดนี้ไปปรากฏตัวบนโลกมนุษย์ ตราบใดที่พวกมันเข้าถึงอาณานิคมของมนุษย์ พวกมันจะสร้างความพินาศวายป่วงได้อย่างรวดเร็ว
“ข้าล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าคนบนโลกนี้คิดเส้นทางการบ่มเพาะนี้ขึ้นมาได้ยังไง”
หยานเสวี่ยได้มองไปที่สัตว์ปีศาจที่พุ่งตรงไปยังเหลิ่งเซิ่งอยากเกลียดชังและพูดขึ้นมาลอยๆราวกับพูดกับตนเอง
เฉินเฉียงเองก็ได้หัวเราะออกมาอย่างหยามเหยียดแล้วพูดออกมา “หึหึหึ ก็คงด้วยความโลภล่ะนะ”
“เพื่อให้ได้รับพลังที่แข็งแกร่ง ถึงกับต้องยอมให้สัตว์ปีศาจเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เลยยอมให้มันดูดเลือดดูดเนื้อ อาหาร และแก่นวิญญาณภายในร่างแบบนี้”
“แต่ในความเป็นจริงนั้น มันก็ยากที่จะบอกนักว่าพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยง หรือพวกมันเป็นนายกันแน่”