ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 385 ยกตำแหน่ง
บทที่ 385 ยกตำแหน่ง
หลังจากหยานเสวี่ยได้คลายความรู้สึกอัดอั้นตันใจทั้งหมดที่สั่งสมมาออกไปแล้ว ทักษะการปรุงยาของเธอนั้นก็พัฒนาขึ้นมาอย่างก้าวก็โดด
ด้วยการชี้แนะและการช่วยเหลือของเฉินเฉียง เพียงหนึ่งเดือนผ่านไปก็ทำให้เธอนั้นสามารถปรุงยาระดับสองได้ด้วยตนเอง
มันเป็นการพัฒนาที่ทำให้คนอื่นนั้นแทบจะไม่กล้าละสายตาลงได้
นั่นก็เพราะหยานเสวี่ยในตอนนี้นั้นเป็นผู้ที่มีพลังจิตที่เหนือล้ำกว่าใครในสำนักเต๋า เมื่อเธอในตอนนี้มีอารมณ์ที่ดีพร้อม การเรียนรู้ของเธอย่อมรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม และนี่ทำให้เธอพัฒนาฝีมือในการปรุงยาได้อย่างก้าวกระโดด
ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เฉินเฉียงได้ใช้เวลาไปกับการฝึกฝนขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของตนและเอาใจใส่ไปกับการช่วยหยานเสวี่ยพัฒนาทักษะการปรุงยาของเธอ จนทำให้เธอนั้นกลายเป็นนักปรุงยามือฉกาจ
ที่โลกภายนอกในตอนนี้ ศิษย์สำนักเต๋าใต้บาดาลต่างก็ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
แต่ท้ายที่สุดมันก็ถูกทำลายลงเมื่อมีการประกาศเรื่องการประลองระหว่างสองสำนักออกไป
นี่เป็นโอกาสอันดีที่สุดที่จะทำให้ทั้งสองสำนักมีชื่อเสียงมากขึ้นกว่าเดิม
ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนสั้นๆนี้ ต่อให้ผอ.ไม่ต้องออกมาบอกกล่าว เหล่าศิษย์ภายในแต่ละแผนกต่างก็ขยันขันแข็งราวกับหมาดำที่โดนเลือดไก่สาด ทุกคนต่างก็แยกย้ายไปบ่มเพาะฝึกฝนบนเส้นทางของตน เพื่อหวังจะคว้าชัยชนะและสร้างชื่อเสียงให้สำนักในงานประลองระหว่างทั้งสองสำนัก และเพื่อเป็นการปูทางให้กับตนเองในการเข้าไปศึกษาต่อยังภาคกลางในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ ผอ.ฉีและหลิวฉิงหยุนกับหาได้มีอารมณ์ที่เบิกบานไม่
แต่เดิม ทั้งสองต่างก็คิดว่าหลังจากที่เฉินเฉียงเข้าเป็นศิษย์ในแล้ว ด้วยความทรงพลังของเขานั้นจะทำให้เฉินเฉียงอยู่นิ่งๆและบ่มเพาะฝึกฝนวิชาการต่อสู้ของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองไม่คิดว่าเฉินเฉียงนั้นกลับหมกตัวอยู่ในบ้านพักจนไม่เปิดประตูออกมาเลยกว่าหนึ่งเดือน นี่จึงไม่เปิดโอกาสให้หลิวฉิงหยุนได้มีโอกาสสั่งสอนชี้แนะวิชายุทธของสำนักแต่อย่างใด
พวกเขานั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับจนกระทั่งถึงวันประลองเลยทีเดียว
ในวันประลอง ผอ.ฉี หลิวฉิงหยุนและศิษย์ในสังกัดของหลิวฉิงหยุนอีกคนต่างก็เดินเข้ามาหาเฉินเฉียงที่บ้านพัก
เมื่อสัมผัสได้ว่ามีผู้มาเยือน เฉินเฉียงก็ได้เปิดประตูออกมา
“ผอ. ผู้อาวุโสสูงสุด ในที่สุดก็ถึงวันประลองแล้วสินะครับ”
เมื่อเห็นท่าทางผ่อนคลายของเฉินเฉียง ท่าทีที่ร้อนรนของผอ.ฉีก็ลดลงไปเล็กน้อย ก่อนที่จะพยักหน้ารับแล้วพูดออกมา “เฉินเฉียง งานประลองประจำปีระหว่างสองสำนักในครั้งนี้จัดขึ้นที่สำนักเต๋าใต้บาดาล บริเวณลานฝึกภายในของแผนกวิชายุทธน่ะ”
ระดับขั้นการประลองในครั้งนี้จะเป็นแผนกหุ่นเชิดโลหิต แผนกปรุงยา แผนกวิชายุทธ และแผนกอุปกรณ์เวทตามลำดับ
ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นศิษย์แผนกปรุงยา แต่พวกเราทั้งสามคนนั้นหวังว่าเจ้าจะลงแข่งในการประลองยุทธในนามของสำนักของเรา
เฉินเฉียงขมวดคิ้วและนึกสงสัยยขึ้นมา
แต่เดิมเขานั้นคิดเพียงว่าจะใช้การประลองในครั้งนี้กำราบหลี่ฉิงที่ทำตัวโอหังให้มลายกลายเป็นขึ้นเถ้าเพียงเท่านั้น
แล้วทำไมเขาจะต้องลงในนามของศิษย์แผนกวิชายุทธกันล่ะ
เมื่อได้เห็นท่าทางนี้ ผอ.ฉีก็ราวกับเข้าใจความคิดแล้วอธิบายออกมา “เฉินเฉียง เจ้าฟังข้าก่อน หากเจ้าลงแข่งทางด้านวิชายุทธนั้น ผลการประลองที่ได้ย่อมออกมาดียิ่ง และด้วยสิ่งนี้ ข้าสัญญาว่าจะเสนอตำแหน่งตัวแทนศิษย์คัดเลือกของสำนักเราให้กับสำนักในภาคกลาง เจ้าคิดว่ายังไง”
เฉินเฉียงเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำพูดนี้
ใครก็ตามที่ได้อยู่ในตำแหน่งศิษย์คัดเลือกนี้ การที่เข้าไปภาคกลางก็เทียบเท่าได้กับการมีใบเบิกทางไว้แล้ว
และเขาจะไม่ต้องไปประชันขันแข่งกับใครในตำแหน่งนี้อีก ที่เหลือก็แค่ให้สำนักในภาคกลางดึงตัวไปก็พอ
เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเฉียงจึงได้ถามออกไป “ผอ.ฉี แล้วหยานเสวี่ยนั้นพอจะมีที่ให้กับเธอรึเปล่า”
“เอ่ออออ” ผอ.ฉีได้มองไปที่หยานเสวี่ย ก่อนจะหันไปมองที่หลิวฉิงหยุนแล้วยิ้มออกมาบางๆแล้วพูดออกมา “เฉินเฉียง ตำแหน่งนี้มันไม่ได้รับกันง่ายๆหรอกนะ”
“สำนักเต๋าของห้าภูมิภาคนั้นมีอยู่อย่างนับไม่ถ้วน และแต่ละสำนักเองก็มีตำแหน่งนี้ที่จำกัด บางสำนักยังไม่มีโอกาสที่จะได้รับโอกาสเสนอชื่อศิษย์แบบนี้เลยด้วยซ้ำ”
“อย่างสำนักของเราเองนั้น ตำแหน่งนี้ก็ได้รับมาเมื่อห้าปีก่อนแต่ก็ไม่เคยได้ใช้มันเลย”
“และนี่จึงทำให้ข้าและผู้อาวุโสสูงสุดนั้นคิดจะมอบมันให้เจ้า”
“ส่วนหยานเสวี่ยนั้น หากเจ้ามั่นใจว่านางสามารถสร้างผลงานในงานประลองนี้ได้อย่างดียิ่งล่ะก็ อีกครึ่งปี ข้าก็จะสามารถเสนอชื่อนางไปได้ในฐานะศิษย์ที่สร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการประลองได้”
“ส่วนจะมีสำนักเต๋าสนใจที่จะเลือกนางไปนั้น คงได้แต่พึ่งดวงไป”
“ก็ยังดี” เฉินเฉียงพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ตราบใดที่ผอ.ยอมให้นางได้รับการเสนอชื่อในอีกครึ่งปี ข้าบอกได้เลยว่านางจะสร้างผลงานชั้นเลิศให้กับงานประลองในปีนี้เป็นแน่”
เมื่อเห็นท่าทางของเฉินเฉียงในตอนนี้ ผอ.ฉีก็ได้คลายกังวลทุกสิ่งในใจจนหมดสิ้น
อย่างไรก็ตาม หลิวฉิงหยุนนั้นกลับไม่อาจละความกังวลออกไปได้ เขามองไปที่เฉินเฉียงก่อนที่จะพูดคำสั่งสอนออกไป “ไอ้หนู พรุ่งนี้เป็นงานประลองใหญ่ของสำนักเรา เจ้าอย่าได้ชะล่าใจไป”
“ในสำนักเต๋าดาวตกนั้นยังมีศิษย์ที่มีความสามารถสูงล้ำอยู่ หากเจ้าไม่มั่นใจล่ะก็ จะดีกว่าหากเจ้ารีบพูดออกมาตั้งแต่ตอนนี้”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็ยิ้มตอบ ก่อนจะหันหลังกลับเข้าห้องไป
“ผู้อาวุโสหลิว ในงานประลองวันพรุ่ง ข้าขอเจอกับคนที่แกร่งที่สุดนะ”
“ไอ้ฉิบหาย ไอ้เด็กนี่ไม่ได้ฟังอะไรเลยนี่หว่า”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ผู้อาวุโสหลิวก็อดไม่ได้ที่จะก่นดาบสาปแช่งแต่ก็เผยรอยยิ้มที่เชื่อถือในตัวเฉินเฉียงออกมา
“หึหึหึ ไม่เลว ความโอหังนี้คือนิสัยประจำตัวของแผนกวิชายุทธของพวกเรา น่าเสียดายนักที่หมอนี่เลือกแผนกปรุงยา ช่างเสียของเลยจริงๆ”
เมื่อผอ.ฉีและหลิวฉิงหยุนได้ยินศิษย์แผนกวิชายุทธคนนี้พูดออกมาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างดังลั่น
“หึหึหึ แผนกไหนก็ช่างมันปะไร ตราบใดที่ไอ้เด็กนี่ลงแข่งในนามศิษย์สำนัก มันก็เพียงพอที่จะทำให้สำนักเราได้รับชื่อเสียงมาแล้ว”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือ ไอ้เด็กนี่พรุ่งนี้ก็ลงแข่งในนามศิษย์แผนกวิชายุทธไม่ใช่รึไงกัน”
เมื่อพูดจบ ทั้งสามก็ออกจากที่พักของเฉินเฉียงไป
ยังไงซะ ด้วยสถานะของเฉินเฉียงในตอนนี้ เขาเองก็ไม่ได้คิดจะจริงจังในการแข่งครั้งนี้สักเท่าไหร่นัก
ในมุมมองของผอ.ฉีและคนอื่นๆนั้น ยิ่งเฉินเฉียงแสดงออกมาอย่างวางท่าทางใหญ่โตมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมีโอกาสชนะมากขึ้นเท่านั้น
นั่นก็เพราะทุกคนได้เห็นแล้วว่าเฉินเฉียงนั้นไม่เพียงจะยังหนุ่มแน่นและทำตัวสูงล้ำเหนือใคร เขายังเต็มไปด้วยความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม
กับความมั่นใจเช่นนี้มันจะแสดงออกมาได้ก็ต่อเมื่อคนผู้นั้นแข็งแกร่งที่แท้จริง ไม่สามารถใช้การเสแสร้งแกล้งทำว่ามั่นใจได้
หลิวฉิงหยุนในตอนนี้ตื่นเต้นยินดีจนหน้าแดงฉานก่อนจะลอบส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณไปหาผอ.ฉี –หลังจากงานประลองจบลงแล้ว ถ้าเฉินเฉียงทำผลงานออกมาได้ดี ข้าคงต้องขอคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวนะ-
เมื่อได้ยินแบบนี้ ผอ.ฉีก็ทำได้เพียงถอดถอนลมหายใจ
ดูเหมือนว่าปมในใจของหลิวฉิงหยุนนั้นจะไม่อาจคลี่คลายได้โดยง่ายจริงๆ
และนี่จะทำให้ความคิดอ่านของเขานั้น อันตรายอย่างที่สุด
เป็นเพียงผู้อาวุโสสูงสุดในสำนักเต๋าเล็กๆ เมื่อเทียบกับสำนักในภูมิภาคกลางแล้วย่อมไม่มีความสำคัญให้ได้รับความสนใจ แต่เขาก็ยังกล้าทำตัวราวกับโลกนี้หมุนรอบตัวเขาอยู่อีก แถมอีกฝ่ายนั้นยังเป็นถึงวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่นับหน้าถือตาอีก
อย่างไรก็ตาม ผอ.ฉีนั้นก็เข้าใจหลิวฉิงหยุนในฐานะที่เป็นผู้บ่มเพาะด้วยกัน แม้ว่าเขาจะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังมีสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ
และสิ่งยึดเหนี่ยวที่ว่าก็คือหลานชายที่ถูกผู้อาวุโสแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ฆ่าตายไป
แถมเขายังต้องบาดเจ็บสาหัส ต่อหน้าศิษย์ทุกคนของสำนัก
แม้แต่สำนักเต๋าดาวตกก็ยังรับรู้ได้ถึงเรื่องนี้
สำหรับหลิวฉิงหยุนนั้น นี่คือความอัปยศที่ยากจะทานทน เรียกว่าให้ถูกฆ่าตายตรงนั้นยังดีซะกว่า
-เฮ้ออออ ดูเหมือนว่าข้าจะทำได้เพียงปลอบใจหมอนี่ไปอย่างช้าๆล่ะนะ-
-ไม่อย่างนั้นล่ะก็ หลิวฉิงหยุนที่เหลือตัวคนเดียวแล้ว ยามที่เขาไม่ใส่ใจชีวิตของตน แน่นอนว่าย่อมทำเรื่องบ้าๆได้อย่างแน่นอน-