ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 382 ความเป็นไป
บทที่ 382 ความเป็นไป
อาจจะด้วยความสงบสุขและปลอดโปร่งที่มีอยู่เป็นนิจในโลกปีศาจ ทำให้เหล่าสมาชิกกองกำลังเทียนเว่ยทั้งหกกลุ่มนั้นเมื่อได้พบเจอกันแล้ว เฉินเฉียงก็พบว่าจางหยวนและเจิ้งยี่ที่ก่อนหน้านี้ราวกับจะไม่เข้าขากันนั้น กลับเผยรอยยิ้มบนใบหน้าอยู่ไม่ขาดอย่างน่าสงสัย
เช่นเดียวกับจางหยวนและคนอื่นๆที่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เขาเองก็พลางส่งสายตาหวานเยิ้มให้หลิวซวนเอ๋ออยู่ไม่ขาดเช่นกัน
“จางหยวน เจ้ากับศิษย์พี่หลิวได้…”
เฉินเฉียงได้เอ่ยถึงจางหยวนและหลิวซวนเอ๋อชนิดไม่มีปี่มีขลุ่ย
หลิวซวนเอ๋อเมื่อได้ยินก็อายม้วนในทันทีพลางลากแขนจางหยวนมาปิดหน้าปิดตา
ใครจะไปคิดว่าคนที่เอาจริงเอาจังในหน้าที่การงานอย่างจางหยวนนั้น กลับจะตบแต่งกับหลิวซวนเอ๋อได้ยามเมื่ออยู่ที่โลกปีศาจแห่งนี้
นี่จึงทำให้เฉินเฉียงอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองศิษย์พี่ที่รักอย่างกัวเหลียง
แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของกัวเหลียงจะไม่ได้ดีเยี่ยมเทียบเท่ากับคู่ของจางหยวนกับหลิวซวนเอ๋อและคู่ของเหรินหมิงกับเม่ยหลัวหลันสักเท่าไหร่นัก
นั่นก็เพราะถึงแม้ว่ากัวเหลียงยังคงยืนอยู่เคียงข้างหนี่เฟิง แต่เขาก็บอกได้เลยว่าหนี่เฟิงนั้นคือผู้นำพาชีวิตคู่ของพวกเขา แถมใบหน้าของกัวเหลียงยังไม่แสดงออกถึงความยินดีเฉกเช่นคนอื่นๆ ดูเหมือนเขาเองยังต้องตั้งใจให้หนักกว่านี้เสียกระมัง
หลังจากทั้งสิบสามคนได้นั่งล้อมวงกัน เจิ้งยี่ก็ได้นำเหล้านารีแดงออกมารินให้เฉินเฉียงก่อนเป็นคนแรก แล้วรินให้คนอื่นๆต่อๆไป
“พี่ชายทั้งหลาย สถานการณ์ของพวกเจ้าในช่วงไม่กี่เดือนมานี้เป็นยังไงบ้างช่วยบอกข้าที่ เจิ้งยี่ เริ่มจากเจ้าแล้วกัน”
เจิ้งยี่และหวังต้าลู่นั้นอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ทั้งสองมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มแล้วเจิ้งยี่เป็นคนพูดออกมา “กัปตัน เทพเจ้าเงินตราและข้านั้นอยู่ในเมืองที่อยู่ในเขตเหลียงตะวันตก ว่ากันตามตรงพวกเราก็ไม่ได้อยู่ห่างจากที่นี่สักเท่าไหร่นัก”
“แต่พวกข้านั้นไม่ได้เข้าร่วมกับสำนักเต๋าแต่อย่างใด กลับกัน เทพเงินตราได้เปิดร้านค้าในเมืองที่มีชื่อว่าหยิง และทำการซื้อขายวัสดุบ่มเพาะและรวบรวมสิ่งที่มีอยู่ในเฉพาะที่โลกปีศาจแห่งนี้เอาไว้”
“แต่เดิม ข้าเองก็ต้องการที่จะเป็นคนคุ้มครองให้กับเทพเงินตราหรืออะไรเถือกนั้นอยู่เหมือนกัน”
“แต่ข้าก็ไม่คิดว่าผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะในเมืองหยิงนั้นจะต่ำกว่าพวกเรามากนัก คนที่มีระดับการบ่มเพาะที่สูงที่สุดของเมืองเองก็เป็นผอ.สำนักเต๋าของที่เมืองนี้ แต่ก็อยู่เพียงระดับราชาขั้นต้นเท่านั้น”
“ด้วยการที่เทพเงินตราปกป้องตัวเองได้เป็นแน่ ข้าจึงใช้เวลาไปกับการค้าขายวัสดุบ่มเพาะเป็นหลัก
“นั่นสิกัปตัน ข้าเองก็ไม่คิดว่าด้วยระดับกึ่งราชาที่ไม่ใช่อะไรเลยบนโลกนั้น แต่ในโลกนี้ข้ากลับกลายเป็นผู้ทรงพลังคนหนึ่ง ฮ่าฮ่าฮ่า”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เฉินเฉียงได้ส่ายหัวไปมาในทันที “เจิ้งยี่ เทพเงินตรา พวกเจ้าไม่อาจคลายการระวังตัวมากนักจะดีกว่า”
“เหตุผลที่ผู้บ่มเพาะในเมืองของเจ้าไม่ได้แข็งแกร่งนักมันก็เป็นเพียงเพราะพื้นที่นั้นไม่ใช่จุดที่ผู้แข็งแกร่งของโลกปีศาจนั้นอยู่ที่นั่นเพียงเท่านั้น”
“ขอบอกตามตรงเลยนำว่าเมื่อสองเดือนก่อนตอนที่ข้าไปภาคกลางนั้น ข้าเกือบจะต้องตกตายอยู่ในโลกแห่งนี้มาแล้ว”
“แถมนั่นเป็นการลงมือของผู้บ่มเพาะระดับมหาราชาขั้นกลางเพียงหกคน”
“เท่าที่ข้ารู้มา หกคนนี้เองก็สมควรจะเป็นเพียงแค่เวรยามของวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่คอยควบคุมพื้นที่ของพวกมันเพียงเท่านั้น”
“นี่แสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นหาใช่สิ่งที่พวกเราจะประมาทได้”
“แต่การที่เจ้าและเจิ้งยี่นั้นไม่ได้เข้าร่วมกับสำนักเต๋านั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน”
“ในอนาคต หากพวกเราคนใดขาดทรัพยากรในการบ่มเพาะ ก็ให้ทุกคนไปถามหาจากพวกเจ้าจะเป็นการดี”
“นอกจากนั้น ข้าว่านะ เทพเงินตรา เจ้าควรจะหาทางย้ายธุรกิจของเจ้าไปภูมิภาคกลางได้จะดีกว่า หากขาดแก่นวิญญาณก็บอกข้าแล้วกัน”
“กัปตันพูดได้ถูกต้องแล้ว พวกเราสมควรจะไปรวมกันอย่างน้อยๆก็อยู่ในพื้นที่ภาคกลางในอนาคตจะดีที่สุด” เมื่อเฉินเฉียงได้พูดจบลง เสียงอันดังลั่นของหลิวไฮ่ได้แทรกเข้ามาแล้วพูดต่อ “หนอนหนังสือกับข้าเองก็อยากจะไปภาคกลางเหมือนกัน แต่ตอนที่พวกข้าไปหาข้อมูลที่ภาคใต้นั้นก็เข้าใจได้ว่าหากจะเข้าสำนักเต๋าในภาคกลางให้ได้นั้นจำเป็นจะต้องผ่านการคัดเลือกและเสนอของสำนักเต๋าที่อยู่ต่างภูมิภาค”
พวกเราจึงไม่มีทางเลือกและทำได้เพียงเข้าร่วมกับสำนักเต๋าเล็กๆแห่งหนึ่ง
“ยังดีที่สำนักเต๋าพวกนี้ไม่ได้มีเกณฑ์อะไรมากมาย ทำให้ข้าและหนอนหนังสือได้เข้าร่วมกับแผนกวิชายุทธได้”
“ข้าเชื่อว่าในภายภาคหน้าพวกข้าทั้งสองจะได้รับการคัดเลือกจากสำนักเต๋านี้ให้เข้าภาคกลางอย่างแน่นอน ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
“ฮี่ฮี่ฮี่ หากหนอนหนังสือยังได้รับการคัดเลือกจากสำนักเต๋า พวกข้าก็คงจะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด”
หลางซานเอ๋อพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเยาะบนใบหน้า
ถึงแม้คำพูดของหลานซางเอ๋อนั้นจะดูเหมือนจะเยาะเย้ยถากถาง แต่ความหมายที่แฝงอยู่นั้นกลับมากล้น
นั่นก็เพราะทั้งกองกำลังนั้น กลุ่มของหลิวไฮ่และหลูจี๋นั้นทรงพลังน้อยที่สุด หากทั้งสองยังมั่นใจซะขนาดนี้แล้วมีหรือที่คนในกองกำลังเทียนเว่ยกลุ่มอื่นจะเกิดปัญหาขึ้นได้
“ศิษย์พี่กัว แล้วทางพี่ล่ะ” เฉินเฉียงได้มองไปที่กัวเหลียงที่แสดงออกมาอย่างหดหู่อย่างสงสัย จึงใช้จังหวะนี้ในการถามไถ่
เมื่อกัวเหลียงได้ยิน เขาก็ทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะปลดปล่อยคำพูดออกมาราวกับจะอัดอั้นมานาน
“ไอ๋หยา… ศิษย์น้องเล็ก วันเวลาที่ผ่านมาของข้าช่างยากลำบอกนัก”
เมื่อเฉินเฉียงและคนอื่นๆได้ยินดังนี้ ทุกคนก็อดที่จะหันไปมองที่หนี่เฟิงอย่างเป็นตาเดียวกันด้วยสายตาแปลกๆเสียมิได้
หนี่เฟิงแม้จะยังไม่เปลี่ยนท่าทีของตน แต่เธอก็หันไปเหลือบมองกัวเหลียงแล้วตะคอกออกมา “ไอ้นี่ นี่เจ้ายังโดนทุบตีไม่พออีกรึไง หากเจ้ายังทำอย่างนี้อีก ข้าจะไม่ไว้หน้าเจ้าแล้วนะ เดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าทำไมดอกไม้สีขาวถึงเปลี่ยนเป็นสีแดงได้”
ทันทีที่หนี่เฟิงพูดออกมา บรรยากาศเย็นยะเยียบก็ได้เข้ามาเยือนจนทำให้กัวเหลียงอดที่จะตัวสั่นไม่ได้ นี่ทำให้เฉินเฉียงและคนอื่นๆรู้สึกไม่สบายใจไปด้วยเหมือนกัน
ดูเหมือนว่าวันเวลาของกัวเหลียงนั้นจะไม่สู้ดีเลยจริงๆ
หากพูดกันตามตรงแล้ว ทั้งสองสมควรจะอยู่ในระดับราชาขุนพลแล้วทั้งคู่ ถึงแม้หนี่เฟิงจะแข็งแกร่งกว่ากัวเหลียงอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะไปหาเรื่องให้หนี่เฟิงต้องขุ่นเคืองโดยไม่มีเหตุผลเลยนี่นา
เฉินเฉียงกระแอมเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา “พี่หนี่เฟิง อะไรที่ทำให้ท่านโกรธได้ถึงขนาดนี้กัน โปรดบอกศิษย์น้องคนนี้หน่อยได้หรือไม่”
หนี่เฟิงเขม่นตามองกัวเหลียงไปอีกทีหนึ่งก่อนที่จะหันมาพูดกับเฉินเฉียง “ศิษย์น้องเล็ก พวกเราสองคนเองก็ทำเฉกเช่นเจ้าที่ได้เข้าร่วมกับสำนักเต๋า พวกเราเข้าสำนักเต๋าที่ชื่อเป่ยหมิงโจวที่อยู่ในเมืองหลัวหรัน”
“แต่เดิมทุกอย่างก็เป็นไปได้ด้วยดี แต่กัวเหลียงนั้นมันบ้า เขาเข้ามายุ่มย่ามกับความสัมพันธ์ของข้ากับคนอื่นจนทำให้ข้ารำคาญนัก”
จางหยวนที่อยู่ข้างๆที่จ้องมองคนทั้งคู่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “เพื่อนกัว ไม่ใช่ว่าเจ้านั้นทำเกินไปหน่อยรึไงกันเมื่ออยู่นักโลกปีศาจแห่งนี้ เรื่องในเล็กเรื่องไหนใหญ่ยังแยกไม่ออกอีกรึไงกัน”
“ไม่แปลกเลยจริงๆที่เจ้าจะถูกหนี่เฟิงลงไม้ลงมือน่ะ ถึงเจ้าจะต้องการครองคู่กับหนี่เฟิง แต่เจ้าก็ไม่ควรจะลุกล้ำความเป็นส่วนตัวของนางนะ รึไม่จริง”
ทุกคนต่างก็พยักหน้ารับ
โดยเฉพาะกับหลิวซวนเอ๋อและเม่ยหลิวหลันที่ต่างก็เป็นผู้หญิงทั้งคู่ ทั้งสองย่อมต้องยืนอยู่ฝั่งหนี่เฟิงเป็นธรรมดา หนำซ้ำทั้งสองยังจ้องเขม็งไปที่กัวเหลียงราวกับต้องการตำหนีติเตียนอยู่ในใจ และก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังคู่ครองของตน
เฉินเฉียงนึกออกได้เลยว่าหากหยานเสวี่ยมาอยู่ที่นี่ เธอคงปลดปล่อยรังสีอำมหิตเข้าใส่กัวเหลียงจนทำให้ร่างสั่นเทิ้มยิ่งกว่านี้
เมื่อกัวเหลียงรับรู้ได้ถึงสายตาประหนึ่งจะตำหนิติเตียนของผู้คน เขาก็ทำจมูกฟิตฟุตอีกครั้งราวกับตัวเองได้ทำเรื่องผิดพลาดที่เล่าไป เขาจึงได้เดินไปข้างๆเฉินเฉียงอย่างช้าๆ ก่อนที่จะจับชายเสื้อของตนไว้แน่นพลางมองไปที่หนี่เฟิงที่น่าสะพรึงกลัว ก่อนจะตัดใจพูดออกมา
“ศิษย์น้องเล็ก ข้าไม่ได้คิดขัดขวางเรื่องความสัมพันธ์ของหนี่เฟิงหรอกนะ แต่ข้าเพียงแค่ห่วงความปลอดภัยของนางเพียงเท่านั้น”
“ห่วงความปลอดภัยของหนี่เฟิงเหรอ” จางหยวนได้มองไปที่กัวเหลียงตั้งแต่หัวจรดเท้าที่ในตอนนี้ทำตัวราวกับหนูที่เจอแมวยืนขวางทางอยู่ และหัวเราะออกมาพร้อมกับทุกคน