ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 379 เขตแดนหมอกโลหิต
บทที่ 379 เขตแดนหมอกโลหิต
“นางไปแล้ว”
“ห้ะ ไปแล้ว ท่านหมายความว่ายังไงกัน”
-ก็ไม่ใช่ว่าหลิวฉิงพึ่งจะบอกมาว่านางอยู่ที่นี่ไม่ใช่รึ-
-หรือว่าฉิงเชินต้องการจะหลบหน้าเขาจึงได้หนีหายไป-
หลิวฉิงได้พยักหน้ารับ ก่อนจะถอนลมหายใจแล้วพูดออกมา “ท่านนายเหนือหัว ข้าเองก็พอรู้เรื่องราวระหว่างท่านกับฉิงเชินอยู่บ้าง”
“ให้พูดกันตรงๆนั้น ปัญหาของท่านและฉิงเชิน ล้วนแล้วแต่เกิดจากความแค้นของคนรุ่นก่อน”
“แต่ในตอนนี้พ่อของท่านได้ตกตาย เว่ยหยวนตี้เองก็พิการโดยตัวท่าน จะบอกว่าทั้งสองตระกูลแตกหักกันแล้วก็ว่าได้”
“แต่เท่าที่ข้ารู้มานั้น เว่ยหยวนตี้ในตอนนี้กำลังสำนึกเสียใจในความโง่งมของตนที่ได้ทำเรื่องผิดบาปนั้นไปในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา”
“ในตอนนี้เขาเป็นเพียงชายชราที่ไร้เรี่ยวแรงเท่านั้น”
“และด้วยเหตุนี้ เว่ยหยวนตี้ยอมรับข้อผิดพลาดของตนยอมตกตาย แต่ท่านนายเหนือหัวก็ได้ไว้ชีวิตเพราะถือว่าได้ล้างแค้นไปแล้ว”
“แต่กระนั้น ผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับความเจ็บปวดไม่น้อยกว่าพวกท่าน นั่นก็คือฉิงเชิน”
เมื่อย้อนหวนคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง เฉินเฉียงก็รู้ดีว่าตนได้ทำร้ายจิตใจของเว่ยฉิงเชินไปมากมายขนาดไหน
แต่หากต้องย้อนไปอีกครั้ง เขาก็ยังคงทำเช่นเดิมอย่างไม่สำนึกเสียใจ
อย่างมาก เขาก็จะทำเพียงไม่ข้องแวะกับฉิงเชินเกินไปเพื่อไม่ให้เธอนั้นต้องเจ็บปวดมากมาย
ดังคำกล่าวที่ว่า ความแค้นนั้นยากจะบรรเทา
ถึงแม้เฉินทียนเว่ยจะไม่เคยเลี้ยงดูเขาหรือแสดงตัวให้เห็นถึงความเป็นพ่อเลยก็ตาม แต่เพียงแค่ตอนที่เขาได้พบเจอพูดคุยกันในฐานะราชาสวรรค์ เขาไม่เพียงจะไม่หาประโยชน์จากเขา แถมยังคอยดูแลเอาใจใส่เขาอย่างไม่ขาด มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่ไม่อาจจะลงมือล้างแค้นแทนได้
พ่อของเขายอมทำถึงขนาดยอมละทิ้งความแค้นของตนเพียงเพื่อให้เขาได้แต่งงานกับฉิงเชิน
แต่เรื่องมันผ่านไปแล้วก็แล้วกันไปเถอะ
ด้วยความเข้าใจของเขาที่มีต่อเว่ยฉิงเชินนั้น เขารู้ดีว่าเรื่องนี้นั้นยากเกินกว่าจะหวนคืน
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะมาพบเธอสักครั้งก็ยังดี
“ผู้อาวุโสสูงสุดหลิวฉิง ท่านทราบหรือไม่ว่าฉิงเชินนั้นไปที่ใด”
“เขตแดนหมอกโลหิต”
“เขตแดนหมอกโลหิตเหรอ”
“ถูกต้อง” หลิวฉิงพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง “ก่อนที่นางจะจากไป นางบอกว่าหากท่านถามถึงนาง ให้ข้าบอกท่านว่าไปหานางได้ที่นั่น”
“ท่านนายเหนือหัว ในช่วงปีที่ผ่านมานี้ ฉิงเชิงที่เคยสดใสร่าเริงนั้น ในตอนนี้นางได้เปลี่ยนไปแล้ว นอกจากการบ่มเพาะแล้ว นางก็ทำเพียงดูแลพ่อของนางอยู่บนเขาเพียงเท่านั้น”
“เธอนั้นอายุเพียงยี่สิบสามปีเองนา”
“ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าร่างกายของนางเป็นร่างที่หายากอย่างร่างกระจ่างจิตอีก ท่านเองก็คงจะพอนึกออกได้ว่าจะมีเหล่าหนุ่มๆที่มีทักษะสูงล้ำหาทางเข้าใกล้นางมากมายเพียงใด”
“แต่นางก็ไม่เคยเหลียวแลผู้ใดแม้แต่น้อย ชุดที่นางใส่ในทุกวันนั้นก็เป็นสีดำ ใบหน้าของเธอก็ดูเคร่งขรึมจนเห็นเส้นเลือดดำปูดโปน มันทำราวกับว่าเธอนั้นตัดขาดกับเรื่องทางโลกไปแล้ว”
“หากเป็นไปได้ ต่อให้ท่านกับนางไม่อาจจะครองคู่กัน แต่ชายชราผู้นี้ก็หวังว่าท่านจะช่วยเปิดใจนางให้ใช้ชีวิตเฉกเช่นคนทั่วไปได้จะเป็นเรื่องดียิ่ง”
…
หลังจากออกจากเขาโชวหยางมาคนเดียวแล้ว เฉินเฉียงบินตรงไปยังเขตแดนหมอกโลหิต ในทันที
ระหว่างทาง เฉินเฉียงเพียงบินไปเท่านั้น ไม่ได้ใช้ผ่ามิติแต่อย่างใด เขาบินไปพลางหวนคิดถึงเรื่องราวเก่าๆระหว่างเขาและเว่ยฉินเชิง
แต่ในตอนนี้เอง ในระหว่างที่เขานึกถึงเว่ยฉิงเชิน เขาเองก็กลัวที่จะไม่ได้อยู่ร่วมกับหยานเสวี่ยเหมือนกัน นั่นก็เพราะเขาและเธอได้ใช้เวลาอยู่รวมกันนับแต่ตอนที่อยู่ในเขตแดนจักรพรรดิ รวมทั้งจางหยวนและสมาชิกกองกำลังเทียนเว่ยคนอื่นๆ
แม้จะอยู่ด้วยกันได้ไม่นานในตอนนั้น แต่ในทุกครั้งๆที่ได้อยู่คนเดียว เฉินเฉียงก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉิงเชินอยู่บ่อยครั้ง
หลิวฉิงพูดได้ถูกต้องแล้ว
ด้วยตัวตนของเว่ยฉิงเชินนี้ ไหนจะความอ่อนเยาว์ จะดีกว่าหากเธอเปิดใจที่จะเลือกใครสักคนเป็นคู่ครอง
ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงาม สง่าผ่าเผย ร่างกายที่พิเศษกว่าใคร และระดับการบ่มเพาะที่สูงล้ำ ไม่ว่าใครต่างก็ต้องหมายปองหรือไม่ก็ต้องริษยา
อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงคำพูดของหลิวฉิงนี้กลับทำให้เฉินเฉียงราวกับโดนกรีดที่กลางใจ
มันก็ใช่ ที่เขาล้างแค้นได้สมใจ และเว่ยหยวนตี้ก็ยอมรับบาปของตนแล้ว แต่เว่ยฉิงเชินล่ะ
ถึงแม้เธอนั้นจะอยากแต่งงานกับเขาขนาดไหน แต่ด้วยการที่เขาเป็นผู้ทำลายการบ่มเพาะของพ่อของเธอ แล้วจะให้เธอแต่งงานกับเขาได้ยังไง
และในตอนนี้ การที่ฉิงเชินเลือกเขตแดนหมอกโลหิตเป็นสถานที่พบเจอ เฉินเฉียงเองก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย
หรือว่าเว่ยฉินเชิงเองก็คิดเหมือนเขากัน
ด้วยระยะทางสี่พันกว่าไมล์นี้ เฉินเฉียงใช้เวลากว่าครึ่งวันในการเดินทาง พลางถอดถอนลมหายใจอย่างหนักตลอดทาง
แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับมันให้ได้
นั่นก็เพราะฉิงเชิน คือผู้หญิงคนแรกที่ตราตรึงใจของนับจากหวนคืนมาในชีวิตที่สองนี้
เขตแดนหมอกโลหิตไม่ได้เปลี่ยนแปลงมานับร้อยปี หลังจากเฉินเฉียงและฉิงเชินกวาดล้างกลุ่มโจรภายในไปแล้วก็ไม่มีใครคิดเข้ามาถือครองอีก นี่ทำให้มันสมกับเป็นทุ่งแห่งความตายอย่างสมญานามของมัน
อีกร้อยไมล์ข้างหน้า เฉินเฉียงก็รับรู้ได้ถึงการคงอยู่ของฉิงเชิน
เธออยู่บนชั้นที่ห้าของเขตแดนหมอกโลหิตกำลังยืนต้องลมพร้อมชุดสีขาวที่ปลิวไสวสอดรับกับสีผิวจนงามสง่าเฉกเช่นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอเธอ
ไม่นาน ฉิงเชินก็สัมผัสการมาถึงของเฉินเฉียงได้อย่างช้าๆ พร้อมกับร่างของเขาที่ค่อยๆปรากฏให้เห็น
“พี่ใหญ่เฉินเฉียง ท่านมาแล้ว”
เมื่อเห็นเฉินเฉียงบินขึ้นมาบนยอดเขา ฉิงเชินเผยรอยยิ้มละไม ทำให้เฉินเฉียงก็อดไม่ได้ที่จะมีใจที่หวั่นไหว
แต่นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้เขานึกถึงอีกคนหนึ่งที่ยังรอเขาอยู่ที่โลกปีศาจ
“ฉิงเชิน…”
ในตอนนี้ เฉินเฉียงราวกับมีบางสิ่งมาจุกอยู่ที่คอหลังจากพูดไปได้เพียงสองคำก็ได้หยุดพูดไป
“พี่ใหญ่เฉินเฉียง” ฉิงเชินที่ยังคงจ้องมองไปยังวงแหวนหมอกหลากสีที่ซ้อนเรียงต่อกันห้าชั้นจนสามารถหลอมรวมกันจนเป็นเลือดได้อย่างไม่วางตาแล้วพูดออกมา “พี่จำได้รึเปล่าว่าเมื่อแปดปีก่อนนั้น ที่นี่ หากพี่ไม่ใช้ทักษะนั่นในยามนั้น ข้าเองก็คงจะตกตายที่นี่ไปแล้ว”
“เป็นตอนนั้นที่พี่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาบนเส้นทางชีวิตของข้า”
“ในตอนนั้น พี่ยังเป็นเพียงชายหนุ่มที่เป็นนักรบสายเลือดขั้นสูง แต่ก็ยังไม่วายมาคิดล้างผลาญพวกโจรด้วยตัวคนเดียว”
“ตอนนั้นข้าเองก็หุนหันซะเหลือเกิน สองเราที่ไม่รู้จักกลัวตายได้มาอยู่ที่นี่ แต่สุดท้ายแล้วก็กลับทำเรื่องประหลาดอย่างการกวาดล้างขยะแห่งเผ่าพันธุ์ลงได้”
“และหลังจากนั้น อยู่ๆ พี่ก็ไปปรากฏอยู่ที่บ้านของข้าในเขตกันหนัน”
ฉิงเชิงกระแอมเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “พี่รู้รึเปล่าว่าตอนนั้นข้ามีความสุขขนาดไหนที่พ่อของข้าแนะนำพี่ให้ข้ารู้จัก”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เฉินเฉียงก็รีบพูดตัดบทออกมา “ข้ารู้ ฉิงเชิน ข้าเองก็ไม่คิดเหมือนกันที่จะได้พบเจ้าที่นั่น”
แต่ฉิงเชินก็ทำราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเฉินเฉียง ยังคงพูดต่อไปราวกับพูดกับตนเอง “ตอนที่ข้ายังเยาว์ พี่รู้รึเปล่าว่าข้านั้นจดจำสิ่งใดได้เป็นสิ่งแรก”
“ท่านพ่อพร่ำบอกว่าเขานั้นมีพี่น้องที่ดีคนหนึ่งที่ว่าเฉินเทียนเว่ยที่ยอมสละชีวิตตนเพื่อช่วยเขา”
“น่าเสียดายนักที่ลุงเฉินแม้จะมีลูกชายคนหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าพี่จะเป็นตายร้ายดียังไง หากว่าพ่อของข้าได้พบเจอก็คงจะชุบเลี้ยงพวกเรามาด้วยกัน”
“ดังนั้น ข้าเองจึงได้เฝ้าคอยวันเวลาที่เราจะได้พบเจอกันกับท่าน และเราจะรักใคร่สนิทสนมกันเฉกเช่นที่ท่านพ่อของข้ากับพ่อของท่านเป็นมา”
“อืม ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” เฉินเฉียงที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉิงเชินก็อดไม่ได้ที่จะตอบออกไปพลางจับมือของฉิงเชินไว้แน่น
ถึงแม้เธอจะสะดุ้งจนเหมือนจะดึงมือกลับไปอย่างเย็นชา แต่อยู่ๆ การกระทำดังกล่าวก็ได้หยุดลงและปล่อยให้เฉินเฉียงกุมมือน้อยๆของเธอไว้ แต่สายตาของเธอนั้นยังคงมองไปยังชั้นหมอกสีแดงหลายเฉดสีและพูดต่อไป