ผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับ - ตอนที่ 62
“ท่านพี่ในที่สุดท่านก็ลืมตาเสียที ข้าเป็นห่วงท่านแทบแย่”
หยินเอ่ยถามเฟที่กำลังนอนหนุนตักของเธออยู่ เขาใช้สายตาสอดส่องร่างกายของเขาก็พบว่าบาดแผลทั้งหมดที่ได้รับจากการต่อสู้ได้หายไปทั้งหมดแล้ว
“ข้าติดหนี้เจ้าแล้วสินะ”
“ติดหนี้อะไรกันข้าก็แค่ทำในสิ่งที่สมควรทำเท่านั้นเอง และข้าก็ทำมันด้วยความเต็มใจด้วย อย่าคิดว่านี้เป็นบุญคุณเลยที่ต้องทดแทนเลยท่านพี่”
“ข้าทำแบบนั้นกับคนที่ช่วยชีวิตข้าไม่ได้หรอก ข้าควรที่จะ–“
ก่อนที่เฟจะพูดจบหยินก็เอานิ้วมาอังไว้ที่ปากเขาทำให้เขาต้องหยุดพูดกระทันหัน
“เรื่องนั้นยังไงก็ช่างเถอะ แต่ก่อนอื่นท่านพี่มีอะไรกับข้ารึเปล่า”
“เรื่องที่จะพูดงั้นเหรอ…นั้นสินะ ข้าต้องขอบคุณเจ้ามากจริงๆ ที่ช่วยชีวิตของข้าไว้นะ หยิน”
“เพียงแค่นี้เท่านั้น ที่ข้าอยากได้ยินจากท่าน เพียงเท่านี้หนี้ของท่านก็หมดไปแล้วละ”
“เจ้าสามารถเรียกร้องอะไรจากข้าก็ได้ ทำไมเจ้าถึงต้องการแค่คำขอบคุณจากข้ากันละ”
“ตัวข้านั้นตลอด10กว่าปีที่ผ่านมาได้เร่ร่อนทั้วเพื่อฝึกฝนวิชา ระหว่างทางข้าเองก็ได้ช่วยเหลือผู้คนมากมายที่เดือดร้อนจากพวกปีศาจและสัตว์ร้าย ได้รับค่าตอบแทนจากคนเหล่านั้นมากมายไม่ว่าจะเป็นตำลึงหรือเครื่องประดับ แต่สำหรับข้าแล้ว แค่ได้ยินคำว่าขอบคุณข้าเองก็พอใจมากแล้ว และก็..”
หยินหยุดพูดและจ้องไปที่ใบหน้าของเฟที่กำลังนอนอยู่บนตักของเธอด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง
“ข้าไม่ได้อยากให้ท่านหันกลับมามองข้าเพราะข้าคือผู้มีพระคุณของท่าน แต่ข้าต้องการให้ท่านหันกลับมามองข้าเพราะต้วข้าต่างหาก”
“เจ้านี้ช่างแปลกสิ้นดีนะหยิน ทั้งๆที่ข้าเป็นแค่คนที่ทรยศที่ยอมทิ้งทุกอย่างแม้กระทั้งครอบครัวตัวเอง แต่เจ้ากลับยังหลงรักข้าแม้จะผ่านมานานแล้วก็ตาม ถ้าข้าเป็นเจ้าข้าคงจะตัดใจไปนานแล้ว”
“นั้นก็เพราะในตอนนี้ข้ามีความแน่วแน่มากกว่าท่านแล้วยังไงละ!!”
เมื่อหยินพูดจบสายลมแห่งฤดูหนาวก็พัดโชยมาอ่อนๆ ทำให้ใบไม้พัดปลิวไปมา ด้วยบรรยากาศและคำพูดของหยินทำให้เขานึกถึงคำพูดที่เคยพูดเอาไว้กับเธอ เมื่อครั้งยังวัยเยาว์ทำให้เล็กมีรอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นบนหน้าของเขา
“อ่า..นั้นสินะ..ก็คงจะเป็นอย่างงั้นแล้วละ”
“ท่านพี่!! ทำไมท่านถึงยิ้มแบบนั้นละ ข้ากำจังจริงจังอยู่นะ ท่านคิดจะล้อเลียนข้ารึไง!!”
“เปล่าหรอก ข้าไม่ได้คิดจะล้อเลียนเจ้าเลย ข้าก็แค่รู้สึกดีใจที่เด็กสาวขี้อายในตอนนั้น จะเติบโตมาเป็นหญิงสาวที่แข็งแกร่งและงดงามได้ถึงขนาดนี้นะ คาดไม่ถึงเลยจริงๆ”
“….”
“เป็นอะไรไปหน้าเจ้าดูแดงๆนะ”
“มะ..ไม่มีอะไรหรอกท่านพี่ ข้าก็แค่รู้สึกเพลียหลังจากใช้วิชานึดหน่อยเท่านั้น เดี๋ยวอีกสักพักก็หายแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”
“งั้นเหรอ ดูเหมือนข้าจะกังวลมากไปสินะ.”
เขาค่อยๆลุกขึ้นจากตักของหยินโดยที่หยิบปลอกและด้ามดาบของตัวเองนำมาเก็บไว้ก่อน
“ท่านพี่ ข้ามีเรื่องอะไรจะถามท่านสักหน่อย ช่วยตอบมาตามตรงได้ไหม”
“อยากจะถามอะไรข้าละ ในครั้งนี้ข้ายินดีตอบเจ้าทุกเรื่องอยู่แล้ว”
“ข้าอยากจะรู้เกี่ยวกับมุมมองของท่านที่มีต่อพวกปีศาจและต่อพวกเราจอมยุตรว่ามันเป็นอย่างไร”
“ทำไมเจ้าอยากจะรู้กันละหยิน?”
“ข้าอยากจะเข้าใจท่าน…ท่านพี่จะสามารถให้บอกข้าได้ไหม”
“ข้าก็บอกไปแล้วว่าข้ายินดีตอบเจ้าทุกเรื่อง ไม่จำเป็นต้องขอร้องข้าหรอก”
เมื่อพูดจบเฟก็เดินมานั้งข้างๆหยิน
“เรื่องมุมมองของข้าที่มีต่อจอมยุตรและปีศาจสินะ….นั้นสินะ จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดีนะ”
เฟพยามนึกคำพูดในหัวและเรียบเรียงมันเพื่อจะอธิบายหญิงสาวที่นั้งอยู่ข้างๆเขาฟังแล้วเข้าใจ
“สำหรับข้าทั้งพวกปีศาจและพวกจอมยุตรนั้นก็เหมือนกันละมั้ง?”
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของท่านพี่เท่าไหร่นัก ทำไมพวกปีศาจกับเราถึงเหมือนกันละ?”
“ถึงแม้รูปลักษณ์กับวัฒนธรรมจะแตกต่างกัน แต่ทั้งพวกเราและพวกปีศาจต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียนรู้และสามารถสื่อสารกันได้ภาษาเดียวกันได้นะสิ”
“แม้จะมีปีศาจบางตัวที่สามารถพูดภาษาของเราได้ แต่พวกนั้นก็ทำเพื่อให้เราไขว้เขวในการต่อสู้เท่านั้น”
“นั้นคือสิ่งที่เจ้าพบเจอมาสินะหยิน มันก็ไม่ผิดหรอกที่เจ้าจะคิดอย่างงั้นก็ไม่แปลก แต่ว่าหลังจากที่เจ้าได้พูดคุยกับท่านฮานะเจ้าคิดกับนางเช่นไรละ”
“ข้ากับนางได้เจอกันในสนามรบบ่อยครั้งข้าสูญเสียสหายเพราะนางไปก็มากมายและข้าก็สังหารสหายของนางกลับในจำนวนที่มากกว่า สำหรับข้านางคือศัตรูคู่แค้นของข้า ที่ข้าเกลียดชังและข้าก็คิดว่านางจะเกลียดชังข้าเช่นกัน แต่ว่าในตอนนี้…”
“เจ้าไม่อาจสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังของนางที่มีต่อเจ้าได้เลยสินะ”
“…..”
“เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก ข้าไม่ได้คิดจะตำหนิเจ้าสักหน่อย แล้วตอนนี้เจ้าเห็นเป็นนางศัตรูที่เจ้ารู้จักรึเปล่า?”
“ทั้งรูปลักษณ์และเสียงของนาง นางยังคงเป็นศัตรูที่ข้ารู้จัก แต่ท่าทีนางที่แสดงออกมาที่ข้าเห็นกลับแตกต่างยิ่งนัก ราวกับนางเป็นแค่หญิงสาวทั้วไปเพียงเท่านั้น เหมือนกับว่านางไม่ใช่ศัตรูที่ข้ารู้จักอีกต่อไป…”
“ไม่หรอก นางยังคงเป็นศัตรูคนเดิมที่เจ้ารู้จักนั้นแหละหยิน แต่เจ้าก็แค่เห็นนางในมุมมองที่แตกต่างจากเดิมเพียงเท่านั้น”
“มุมมองที่แตกต่างเหรอ..”
“เอาละ ทีนี้เจ้าเองก็รู้ว่าคิดยังไงแล้ว คงพอใจแล้วสินะ”
“เดี๋ยวสิท่านพี่ ท่านยังไม่บอกข้าเลย อะไรคือมุมมองที่แตกต่างที่ท่านหมายถึงกันแน่”
“เรื่องนั้นจะเจ้าไปหาคำตอบเอาเองจะดีกว่านะ”
“ไหนท่านบอกยินดีจะตอบข้าทุกเรื่องไง”
“ข้าบอกว่า ในครั้งนี้ข้ายินดีจะตอบเจ้าทุกเรื่อง แต่เจ้าก็ใช้โอกาศในครั้งนี้ไปแล้วนะ เพราะฉะนั้นในตอนนี้ข้าเองก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกที่จะไม่ตอบได้เช่นกัน”
“โม่ว~ ท่านพี่ขี้โกงที่สุด ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์แบบนี้”
“อย่าโกรธข้าเลย ข้าเพียงต้องการให้เจ้าพบคำตอบของตัวเองเท่านั้น เอาไว้กลับไปที่เมืองข้าจะเลี้ยงเจ้าสักมื้อเป็นการไถ่โทษละกัน”
“พอดีเลย ข้าคิดว่าอยากจะลองกินเจ้าบะหมี่แห้งเมื่อวานซีนนี้อีกครั้งเหมือนกันท่านพี่”
“ดูเหมือนเจ้าเองจะถูกปากกับอาหารของดินแดนนี่แล้วสินะ”
“มันเป็นรสชาติที่ค่อนข้างแตกต่างจากอาหารของพวกเรา มันไม่แปลกหรอกที่ข้าจะอยากกินมันอีกครั้ง แม้มันจะกินยากไปหน่อยก็เถอะ…”
“ฮ่าๆ ดูเหมือนเจ้าเองก็ต้องเรียนรู้ที่จะใช้ส้อมสินะ เดี๋ยวข้าจะสอนเจ้าใช้แบบละเอียดอีกครั้งเอง รับรองรอบนี้เจ้าเข้าขั้นปรมาจารการใช้ส้อมแน่นอน”
“ค่ะ ท่านพี่”
ทั้งสองลุกขึ้นและเดินตีคู่กันโดยคุยกันเรื่อยเปื่อยอย่างมีความสุข โดยไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องพวกเขาอยู่อย่างห่างๆ
“ทั้งๆ ตอนนี้มันเป็นพวกไร้ค่าแล้วแท้ๆ ทำไมเจ้าถึงยังเลือกมันอีกกัน..หยิน”
จินพูดด้วยความเจ็บใจเขาจ้องมองทั้งสองอยู่บนยอดต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ห่างไกล
“นั้นนะเหรอ เด็กอิจฉาริยะแห่งสำนักพยัคขาว โตมาหล่อเหลาใช้ได้เลยนี้”
ชายสวมหน้ากากที่อยู่ข้างๆจินพูดขึ้น
“หยุดพูดชื่นชมมันซะ!! ไม่งั้นข้าจะตัดลิ้นของเจ้าออกมาแล้วโยนให้หมากินซะ”
“แค่พูดสะกิตต่อมนิดเดียวก็โมโหเป็นฝืนเป็นไฟแล้วรึไง ดูเจ้าจะบอบบางเกี่ยวกับเรื่องความรักน่าดูเลย ก็อย่างว่าละนะ ก็เล่นหลงรักบุฟผาสีขาวมาตั้งหลายปีแต่เธอไม่คิดจะเหลียวมามองเจ้า แม้ตอนนี้เจ้าจะ–“
ฉึบ!!!
จินชักดาบออกมาและฟันไปที่ร่างของชายจนขาดสะบั้นเป็นสองส่วน
“เหอะๆ เจ้าคิดว่าจะฟันเงาได้รึไงกัน จินเอ๋ย”
ชายในหน้ากากปรากฏตัวอีกครั้งในสภาพสมบูรณ์ส่วนร่างที่ถูกฟันขาดนั้นก็หายไปในทันที
“อย่าเหิมเกริมนักเจ้าพวกอธรรม นั้นเป็นแค่คำเตือน ท่าไม่ติดว่าเรามีเป้าหมายเดียวกันหัวเจ้าขาดไปแล้ว”
“น่ากลัวจังเลย~ ดูสิขาของข้าสั่นไปหมดแล้วนะเนี้ย”
“นี้เจ้า!!”
จินชักดาบขึ้นมาอีกครั้งแต่อีกฝั้งเองก็ไม่ปล่อยให้จินฟันร่างอีกครั้ง เขาชักมีดทั้งสองออกมาและรับดาบของจินไว้อย่างฉิวเฉียด
“ใจเย็นๆก่อนสหาย ข้าเพียงแต่ล้อเล่นเท่านั้นเอง สงบสตินิดหน่อยน่า อย่าลืมสิ ว่าพวกเรามาทำอะไรกัน”
“ชิ!!”
แม้เขาจะยังเคืองชายใส่หน้ากากอยู่แต่เขาเองก็ต้องจำใจเก็บดาบเข้าฝัก แม้จะไม่เต็มใจมากนักเลยก็ตาม
“เอาละ ทีนี้มาเรื่องของเราเลยดีกว่า พวกเราได้ข้อมูลของปีศาจวัวมาแล้ว และจะเริ่มแผนการกันเมื่อพระอาทิตย์ลับฟ้า ฝั้งธรรมะของเจ้าจะมาร่วมด้วยไหม?”
“อย่ามาตลกเลย พวกเรามีหนทางของพวกเราเอง ขืนไปร่วมมือกับแผนชั่วๆ ของพวกเจ้า ชื่อเสียงของพวกข้าได้แปดเปื้อนหมดพอดี”
“พวกฝ่ายธรรมะนี้ทรนงตัวกันจังเลยนะ แต่ช่างเถอะ ต่อให้เจ้าจะร่วมหรือไม่ร่วมพวกเราก็ไม่เดือดร้อนอยู่ดี”
“ถ้ารู้แล้วก็ใสหัวไปไกลๆซะ ก่อนที่ข้าจะอดใจไม่ไหวฟันหัวเจ้าหลุดออกจากบ่าซะก่อน”
“รู้แล้วน่า แต่ข้ายังไปไม่ได้หรอกท่ายังไม่มอบของขวัญแสนพิเศษให้แก่เจ้านะ”
เมื่อพูดจบชายสวมหน้ากากก็ปาบางสิ่งบางอย่างไปให้จิน จินจึงคว้ามันเอาไว้และเมื่อคลี่มือดูเขาก็พบกับเม็ดสีแดงอยู่ในกำมือของเขา
“ยาลูกกลอนเหรอ? เจ้าคิดจะดูถูกข้ารึไง”
“อ๊ะๆ อย่าคิดว่ามันเพียงยาลูกกลอนธรรมดาสิ นั้นมันยาชนึดเดียวกับที่ศัตรูหัวใจของเจ้าเคยใช้เพื่อถล่มสำนักเมื่อครั้งในอดีตเชียวนะ กว่าจะหามันมาได้นี้เหนื่อยเอาการเลย”
“นี้เจ้ากล้าเอายาระเบิดปราณมาให้ข้าเหรอ!!”
“เอาน่า จะใช้หรือไม่ใช้มันก็เรื่องของเจ้าละกัน ข้าไปก่อนละ”
เมื่อพูดจบร่างของชายสวมหน้ากากก็หายไปในทันที จินจ้องมองยาลูกกลอนในมืออีกครั้งและเหมือนจะคิดอะไรบ้างอย่างก่อนที่เขาจะเก็บมันเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเล็กของตัวเอง
“เจ้าทำให้ข้าไม่มีทางเลือกเองนะหยิน”
เขายิ้มออกมาเล็กน้อยและก็มองไปทางหยินที่กำลังยิ้มร่าอย่างมีความสุข