ผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับ - ตอนที่ 61
“นั้นมันอะไรนะ เวทแสง? ของเอเลนเหรอ หมายความว่าไงละนั้น ไม่เห็นมีในแผนการสักหน่อย”
ริสจ้องไปที่เมืองในขณะที่เธอกำลังล่องลอยอยู่บนฟ้าอยู่ หน้าที่ของเธอมีเพียงกำจัดมอนสเตอร์ที่ออกมาจากป่าและในกรณีฉุกเฉินที่พวกมดยักสามารถหลุดไปได้เกินกว่าที่จะควบคุมไหวก็ให้พาคนที่อยู่ในป่ากลับเข้าไปในเมืองเพื่อคุ้มกันเมืองเพียงเท่านั้น
“ริส!! เกิดเรื่องใหญ่แล้วละ!!!”
ฮันที่อยู่ในรูปร่างที่ดูเล็กจิ๋วเหมือนพวกพิซซี่แต่แตกต่างกันเพียงเธอไม่มีปีกและมีสะเก็ตน้ำที่กลายเป็นเม็ดน้ำแข็งกระจายอยู่รอบๆตัว เธอรีบบินขึ้นมาหาริสที่กำลังตกตะลึงอยู่
“มีใครก็ไม่รู้ที่ดูท่าทางอันตรายกำลังลอยอยู่เหนือเมืองด้วย แบบนี้ต้องเกิดเรื่องแย่ๆที่เมืองแน่เลย”
“ตัวอะไรสักอย่างกำลังลอยอยู่เหนือเมือง? แม่มดคนอื่นเหรอ?”
“ยัยบ้า!! เมืองนี้มีแม่มดคนอื่นนอกจากเธอซะที่ไหนละ ลองใช้ตาทิพธ์ส่องดูดีๆก่อนพูดสิ!!”
“ก็ได้ๆ เลิกโวยวายซักที พออยู่ในร่างนั้นเสียงของเธอมันแหลมซะจน แค่ฟังเฉยๆก็ยังปวดหัวเลยนะ ช่วยพูดเบาๆหน่อยสิ”
“ช่างเรื่องเสียงฉันและก็ลงมือสักทีสิ!!”
“จ้าๆ”
ริสหลับตาลงช้าๆ พร้อมกับตั้งสมาธิ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งดวงตาของเธอก็กลายเป็นสีเขียวมรกต หลังจากนั้นเธอก็ใช้ดวงตาคู่นั้นจ้องไปที่เมืองทันที
“เอ~ ไหนๆ ดูสิ…เอ๋?..ไม่ใช่เอเลนหรอกเหรอ…แถมยังดูไม่คุ้นหน้าอีก..ยัยนั้นเป็นใครละนั้น?”
ริสเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังลอยอยู่บนฟ้า ซึ่งเป็นคนที่ไม่คุ้นหน้าเลยแม้แต่น้อย
“ก็เพราะไม่รู้ไง!! ถึงได้อันตราย!! พลังเวทย์ที่ปล่อยออกมารุนแรงแบบสุดๆ เพราะงั้น รีบๆพาคนอื่นๆกลับไปที่เมืองเร็วเข้า!!”
“เอ๋~ ฉันก็ไม่เห็นเป็นไรนี้น่า คงเป็นพวกจอมเวทย์วัยรุ่นที่อยู่ในวัยคึกคะนองอยากโชวพาวละมั้ง แถมยังไม่มีท่าทีจะใช้พวกเวทย์ทำลายด้วย คิดว่าไม่น่าเป็นอะไรหรอก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นละก็ เดี๋ยวเอเลนก็มาจัดการเองนะแหละ หมอนั้นรู้วิธีจัดการพวกธาตุแสงดีกว่าฉันสักอีกนะ”
“เธอก็แค่ขี้เกียจจัดการปัญหายุ่งยากเท่านั้นเองนี้!!”
“ก็ยัยเด็กนั้นก็แค่ลอยโชว์พาวเฉยๆเองนะ ตราบใดที่ยังไม่ก่อปัญหา ก็ยังไม่มีความจำเป็นต้องเทเลพอร์ตพวกนั้นกลับไปที่เมืองซักหน่อย พวกนั้นกำลังสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกันอยู่ไปรบกวนตอนนี้มันใช้ได้ที่ไหนละ”
“อุก…พอเธอพูดแบบนั้นมันก็…หืม? เดี๋ยวนะ..คุณเอเลนติดต่อมาละ”
ฮันใช้มือเล็กๆของต้วเองจับไปที่หน้าผากของตังเองและค่อยหลับตาลง
“เห็นไหมละ หมอนั้นคงบอกประมาณว่า’อ๊ะ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวทางนี้จัดการเอง เชิญท่านริสต้าสุดสวยจิบไวน์ท่ามกลางหิมะให้สนุกเถอะครับ’สินะ มันก็ต้องแหงอยู่แล้วละน้า~ ก็คนมันสวยจะมีผู้ชายมาเอาอกเอาใจก็ไม่แปลกหรอก ฮ่าๆๆๆๆ”
“……..”
“เป็นอะไรไปเหรอฮันทำหน้าเครียดเชียว ปกติคิ้วเธอก็หนาอยู่แล้ว พอทำหน้าเครียกทีคิ้วเธอมันแทบจะชนกันอยู่แล้วนะ รู้รึเปล่า”
“ริส..คุณเอเลนบอกว่าถูกผีเสื้อราตรีฟาวกับราชินีไจแอนท์แอ็นโจมตีนะ”
“ฮ่าๆๆๆ พูดล้อเล่นก็เป็นเหมือนกันนะเนี้ยเธอนะ ลูกสมุนจอมมารกับมอยสเตอร์แร๊งAมันจะไปอยู่ในเมืองได้ยังไงละ จะพูดล้อเล่นก็เอาที่มันเป็นไปได้หน่อยสิ”
“…….นี้เรื่องจริงนะริส”
สีหน้าของริสดูเปลี่ยนไปเป็นจริงจังทันที
“สถานะการณ์ฝั้งนั้นเป็นยังไงบ้างฮัน”
“คุณเอเลนจัดการกับราชินีไจแอนท์แอ็นได้ ส่วนฟาวเหมือนจะถอยไปหลังจากทำให้ผู้หญิงคนนั้นคลุ้มคลั้งได้นะ..”
“แล้วสรุปยัยนั้นเป็นใคร ถึงขนาดทำให้ฟาวเคลื่อนไหวด้วยตัวเองละ นี้มันไม่ปกติเลยนะหลังจากที่จบสงครามเมื่อ300ปีก่อน ก็ไม่มีใครเคยเห็นพวกลูกสมุนของจอมมารเคลื่อนไหวอีกเลย ทางเอเลนได้บอกรึเปล่า”
“เธอเป็นคนที่พวกเรากำลังตามหาอยู่ยังไงละริส..นักบุญแห่งแสงคนล่าสุดยังไงละ”
“รูปลักษณ์ภายนอกดูไม่เหมือนในใบประกาศจับเลยนะ มิน่าละ ตลอดเกือบ2ปีถึงไม่มีใครพบร่องรอยของเธอเลย… แล้วเอเลนละ หมอนั้นยังพอไหวอยู่รึเปล่า”
“คุณเอเลนบอกว่าตอนนี้พลังเวทย์หมดไปแล้ว แถมยังถึงขีดจำกัดในการฟื้นฟูไปแล้วด้วย คงต้องรอถึงพรุ้งนี้ตอนเช้าถึงจะกลับมาใช้เวทมนต์ได้ตามปกตินะ”
“แย่จัง.. แบบนี้จะเอาอะไรไปสู้ได้ละ จากสัมผัสเมื่อกี้ยัยนั้นน่าจะแข็งแกร่งพอตัว แถมเวทมนต์ที่ฉันถนัดก็ดันเป็นเวทต์สายมืดที่ดันแพ้ทางแสงหนักซะด้วยสิ”
“งั้นมาทำสัญญาชั่วคราวกับฉันไหมละ ฉันเองก็เป็นภูติน้ำ ถึงจะอ่อนแอลงมากในช่วงหน้าหนาวจนแทบจะช่วยสู้ไม่ได้ แต่ก็น่าจะพอเสริมคุณสมบัติธาตุน้ำของเธอได้มากพอสมควรเลยละ”
“น้ำสู้แสงเหรอ… แม้จะไม่ชนะทาง แต่ก็ยังดีกว่าแพ้ละนะ.. เอาละเดี๋ยวหลังจากเทเลพอทพวกนั้นเสร็จค่อยมาทำพิธีแบบฉุกเฉินละกัน ส่วนเรื่องแผนการรับมือกับยัยนั้นหวังว่าเอเลนจะเตรียมตัวไว้แล้วนะ”
“อืม”
.
.
.
“เหวอๆๆ คุณก้าก้าดูนั้นสิคะ!! มีคนกำลังลอยอยู่ด้วย!!”
“อืม..เห็นแล้ว”
ก้าก้าตอบแบบเรียบๆ ในขณะที่กำลังมองผู้หญิงที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองเช่นเดียวกับทุกคนที่อยู่ที่นี้
“เฮ้!! เทพสงคราม!!!”
ชายคนหนึ่งในชุดเกราะตัวโยนค้นธนูอันใหญ่พร้อมกับซองลูกธนูให้แก่ก้าก้า ถึงแม้ดวงตาจะยังคงจับจ้องไปที่บนฟ้าเธอก็รับทั้งสองไว้อย่างรวดเร็ว
“หากมีอะไรเกิดขึ้นละก็ใช้ไอ้นั้นสอยยัยนั้นให้ร่วงได้เลย เดี๋ยวพวกฉันกับยัยจิ๋วนั้นจะไปช่วยชาวเมืองอพยพไปที่ปลอคภัคก่อน”
“เอ๋!! ฉันต้องไปช่วยด้วยเหรอค่ะ!!”
“ก็แหงสิฟะ!! เธอเป็นเองก็เป็นพนักงานของกิลไม่ใช่รึไง!!”
“ตะ..แต่ตอนนี้ฉันกำลังทำหน้าเป็นฟิลเลอร์อยู่นะคะ ท่าเกิดมีคนต้องการไอเท็มกระทันหันละก็–“
“ตอนนี้สถานะการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว การอพยพชาวเมืองไปที่ปลอคภัคสำคัญที่สุด ที่เหลือปล่อยให้พวกทหารกับพวกนักผจญภัคจัดการเถอะะ”
“แต่ว่า–“
“ไม่มีแต่!! นี้คือคำสั้งโดยตรงจากหัวหน้า!! เพราะงั้นเธอไม่มิสิทธิ์จะมาปฏิเสธ!!”
“เข้าใจแล้วค่ะ… แต่ขอเวลาฉันสักเดี๋ยวได้ไหมคะ ฉันมีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณก้าก้านึดหน่อย คิดว่าน่าจะใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่”
“ได้สิ แต่เธอต้องรีบตามมาละ ถ้าโดนหักเงินเดือนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของฉันแล้วนะ”
“ค่ะ”
ชายในชุดเกราะเต็มยศเดินจากไปท่ามกลางความวุ่นวาย
“ผู้หญิงที่กำลังลอยอยู่บนฟ้าดูท่าทางจะโดดเดียวมากเลยนะคะ คุณก้าก้า”
“ก็ บินอยู่ คนเดียว”
“คุณก้าก้าเนี้ยเป็นคนตลกมากกว่าที่คิดนะคะ ยังอุส่าเล่นมุขในสถานการณ์แบบนี้ได้อีกเนี้ย แต่เอาเถอะคะ ฉันมีของขวัญบางอย่างจะให้คุณด้วยละ”
เด็กสาวที่หยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าใบใหญ่ของตัวเอง
“นี้คือโพชั่นระดับสูงที่สุดเท่าที่ฉันมี โปรดใช้ในมันเมื่อจำเป็นเท่านั้นนะะคะ”
“อืม…”
“สู้ๆนะคะ ฉันเชื่อว่าท่าเป็นคุณละก็จะต้องพยามหามันจนเจอแน่นอน สิ่งที่ทำให้เธอคนนั้นที่กำลังหวาดกลัวสงบลงได้นะ”
“????”
“ฉันช่วยคุณได้แค่นี้เพราะงั้นที่เหลือก็ฝากด้วยนะคะ”
เมื่อพูดจบเด็กสาวก็สะพายเป้ใบใหญ่และเดินจากไป โดยปล่อยให้ก้ายืนงงอยู่กับคำพูดที่ฟังดูกำกวมของเธอ แต่ถึงอย่างงั้นเธอก็ยังต้องต่อสู้อยู่ดี เธอจึงเก็บโพชั่นเอาไว้และสะพายซองธนูและธนูเอาไว้บนบ่า
“ทุกๆคนครับ!! ช่วยเงียบและมาร่วมกันตรงนี้หน่อยคร้บ!!”
เอเลนตะโกนออกมาท่ามกลางเหล่าทหารและนักผจญภัค ทุกๆ คนต่างเงียบและรอฟังสิ่งที่เอเลนพูดอย่างตั้งใจ
“จากนี้ไปผมจะเริ่มอธิบายแผนการณ์โจมตีเพื่อหยุดสิ่งที่กำลังเป็นภัคคุกคามกับเมืองของพวกเราโดยใช้การโจมตีระยะไกลที่หวังผลทางกายภาพเพียงเท่านั้น ใครที่มีสกิลเกี่ยวกับการยิงระยะไกลช่วยก้าวออกมาข้างหน้าด้วยครับ”
นักผจญภัคทั้งชายและหญิงจำนวนหนึ่งก้าวออกมาตามคำขอของเอเลน แม้จะมีไม่เยอะเท่าที่หวังไว้แต่ก็ถือเป็นจำนวนที่น่าพึ่งพอใจสำหรับเขาแล้ว
“คนที่ก้าวออกมาพวกคุณจะได้รับการแจกจ่ายยาบัฟคนละชุด และสำหรับคนที่ใช้ธนูเป็นหลักก็จะได้รับหัวศรหัวดำอีกจำนวนหนึ่งเพื่อทะลวงการป้องกันของบาเรียเวทมนต์ ส่วนคนที่เป็นนักเวทต์ที่พอจะใช้บัฟขั้นสูงอย่างHawk eyeและอื่นๆได้ก็ขอให้ช่วยซับพอทต์พวกเขาด้วยนะครับ แต่ส่วนคนที่พอจะใช้บาเรียได้ก็ขอช่วยป้องกันการโจมตีที่อาจจะถูกปล่อยสวนกลับมา สวนคนที่ใช้เวทต์มนต์หรือไม่สามารถโจมตีระยะไกลได้ก็ขอให้เตรียมตัวอยู่ตลอดเวลาด้วยนะครับ โดยแผนการคร่าวๆ ก็จะมีเพียงเท่านี้ ส่วนเรื่องเวลาของแผนการก็จะแจ้ง–“
“เดี๋ยวสิ!! ทำไมไม่ให้พวกนักเวทย์โจมตีด้วยละ แบบนั้นน่าจะทำลายบาเรียเวทมนต์ได้เร็วกว่าใช้ศรดำอีกนะ”
หญิงสาวที่อยู่ในกลุ่มโจมตีระยะไกลพูดขึ้นมาในขณะที่กำลังอธิบายอยู่ คนที่ได้ยินหญิงสาวพูดดังนั้นก็ต่างเห็นด้วยกับคำพูดของเธอและเกิดการทักท้วงเกิดขึ้น
“ใช่แล้ว!! แม้ยัยนั้นจะบินสูงอยู่ก็เถอะ แต่ท่าเป็นเวทมนต์ละก็ต้องทำลายบาเรียเวทมนต์ได้เร็วกว่าโจมตีทางกายภาพแน่!!!”
“ท่านเอเลนเป็นจอมเวทย์ไม่ใช่รึไง เรื่องนี้ท่านน่าจะรู้ดีที่สุดไม่ใช่รึไง!!”
“ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกคุณนะครับ แต่ว่าศัตรูของเราสามารถดูดกลืนพลังเวทมนต์ของคนอื่นให้กลายเป็นของตัวเองได้ การโจมตีด้วยเวทมนต์จะเป็นการเพิ่มพลังให้เธอซะเปล่าๆ เพราะฉะนั้นการโจมตีทางกายภาพมีประสิทธิภาพมากที่สุดครับ”
“พูดแบบนั้นใครเขาจะไปเชื่อกัน ในฐานะที่ผมศึกษาเกี่ยวกับเวทมนต์มาบ้าง สิ่งเดียวที่สามารถดูดซับการโจมตีของเวทมนต์ได้มีเพียงอัญมณีของมังกรเท่านั้นแหละ!!”
“ใช่แล้ว!!”
ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อยในหมู่ของนักผจญภัคมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีคนที่เห็นด้วยกับคำพูดของเอเลนอยู่บ้างแต่นั้นก็เป็นเพียงส่วนน้อยเพียงเท่านั้น
“หยุดเถียงกันได้แล้ว!! ก็แค่ยิงเวทมนต์ใส่ยัยนั้นเดี๋ยวก็รู้เองแหละ ว่ายัยนั้นดูดกลืนเวทมนต์ได้จริงรึเปล่า”
“เออ เดี๋ยวจัดให้ตามคำขอเลย เพลิงเอ๋ยจงเปลี่ยนรูปร่างเป็นศรเพื่อทะลวงศัตรูของข้า”
“เดี๋ยวสิครับ!! ถ้ายิงเวทมนต์-“
“[Fire Arrow]”
ลูกธนูเพลิงเล็กๆ ถูกยิงออกไป มันสามารถทะลวงสายลมที่รุนแรงได้ แต่พอใกล้ถึงตัวของเธอที่ลอยอยู่มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี้ เธอก็แค่ใช้บาเรียเวทมนต์–“
“เฮ้ย ดูนั้นดิ!!’
ลูกธนูสีขาวจำนวนมากถูกสร้างขึ้นมาเต็มท้องฟ้าจนนับไม่ถ้วน และมันก็พุ่งลงมาอย่างรวดเร็ว โดยมีเป้าหมายไปยังกลุ่มนักผจญภัคและทหารที่ชุมนุมอยู่ด้านล่าง
“เยอะขนาดนี้หลบไม่ทันแน่!! พวกนักเวททำอะไรสักอย่างที!! ไม่งั้นได้ตายกันหมดแน่!!!”
“ไม่ต้องบอกก็รู้แล้วน่า!! พสุธาเอ๋ย จงขัดกฏแห่งธรรมชาติเพื่อปกป้องตัวข้าและพวกผอง[Earth wall]”
“การหลั้งเลือดจะไม่เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ จงออกมา [Magic shield]”
สองนักเวทที่เป็นนักผจญภัคร่ายเวทมนต์อย่างรวดเร็วกำแพงดินขนาดใหญ่ก็ผุดขึ้นมาจากพื้นโดยมีโล่เวทมนต์ใสๆซ้อนไว้อีกชั้นหนึ่ง
ตูมๆๆๆๆๆ
เสียงระเบิดนับครั้งไม่ถ้วนดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าลูกธนูแห่งแสงได้ปะทะกับกำแพงดินเป็นที่เรียบร้อย แต่เนื่องจากผลจากลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนที่ระเบิดซ้ำไปซ้ำมาทำให้กำแพงดินค่อยๆปรึแตกและเริ่มบางขึ้นเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด
“บ้าเอ๊ย!! แบบนี้กันไม่ไหวแน่!!”
“ใจเย็นสิวะ!! ยังมีบาเรียเวทมนต์อีกชั้นจะกลัวอะ–“
“อ๊ากกกกก!!”
เสียงร้องของชายอีกคนดังขึ้นลูกธนูแสงนั้นได้ผ่านเข้ามาอย่างง่ายดายราวกับบาเรียเวทมนต์นั้นไม่มีตัวตนอยู่ เพลิงสีขาวลุกไหม้เสื้อผ้าของชายผู้โชคร้ายที่ถูกสะเก็ตจากแรงระเบิดที่เกิดขึ้น
“แคลนี้เธอกางโล่เวทมนต์จริงรึเปล่า ทำไมลูกธนูเวทมนต์มันถึงเล็ดรอดออกมาได้ละ!!”
“ฉันสาบานได้เลยว่าฉันกางแล้วนะ”
“งั้นก็ใส่พลังให้มันมากกว่านี้หน่อย!! ไม่งั้นมันได้หลุดออกมาอีกแน่!!”
“ฉันก็ใส่พลังเวทต์ไปเยอะแล้ว แต่ว่าฉันไม่รู้สึกว่ามันปะทะกับโล่ของฉันลยสักนึด ราวกับว่ามันสามสรถทะลุผ่านไปเหมือนกับว่ามันเป็น…”
“แสงสินะครับ”
เอเลนพูดแทรกเข้ามาในขณะที่ทั้งสองกำลังยืนถกเถียงกันอยู่
“หมายความว่ายังไงท่านเอเลน จะบอกว่าไอ้เจ้าลูกธนูเวทมนต์นั้นสามารถทะลุผ่านโล่เวทมนต์ได้เหมือนแสงทะลุกับกระจกรึไง”
“จะพูดอย่างงั้นก็ได้ครับ”
“จะบ้ารึเปล่า!! นี้มันโล่เวทมนต์เลยนะ!! มันเป็นไปได้ที่ไหนที่เวทมนต์เมื่อปะทะกันจะไม่เกิดอะไรขึ้นเลย แถมยังทะลุเข้ามาได้อีก!!”
“ถ้าเป็นปกติก็ทำไม่ได้หรอกครับ แต่หากเป็นเวทมนต์แสงที่บริสุทธิ์มากๆละก็ ก็สามารถทะลุได้ทุกอย่างที่แสงผ่านได้นั้นแหละครับ แถมเธอยังเลียนแบบเวทต์ไฟที่ถูกยิงออกไปตะกี้ และนำไปผสมกับแสง ทำให้มีพลังทำลายล้างมากกว่าปกติด้วยนะครับ”
“ดูดกลืนพลังและเลียนแบบแล้วเอาไปผสมกับพลังเวทแสงของตัวเองงั้นเหรอ เป็นศัตรูที่เลวร้ายสำหรับนักเวทย์อย่างเราสุดๆเลยนะ… เพราะอย่างงี้สินะท่านถึงพยามให้โจมตีกายภาพแทนที่จะใช้เวทมนต์สินะ.. แคล!!! เลิกใช้โล่เวทมนต์และมาเสริมกำแพงดินให้ฉันแทนซะ!!”
“เข้าใจแล้ว!!”
สาวนักเวทต์ยกเลิกโล่เวทมนต์ของตัวเองออกและนำมือไปแตะที่บ่าและเริ่มร่ายเวทมนต์ที่เป็นคาทาสนับสนุนแทน
“ท่านเอเลนก็ทำอะไรสักอย่างสิ!! เป็นถึงจอมเวทต์คิดจะยืนดูอย่างเดียวเลยรึไง!!”
“ก็แหมพลังเวทต์ของหมดไปแล้วนี้ครับ แถมยังฟื้นฟูไม่ได้แล้วด้วย คงทำได้แต่ยืนรับชะตากรรมกับพวกคุณนั้นแหละครับ ฮ่าๆๆๆ”
“ไร้ประโยชน์ชิบ!!”
เขาบ่นออกมาในขณะที่กำลังฟื้นฟูกำแพงดินของเขาให้ทันต่อความเร็วในการทำลาย โดยมีแคลคอยเสริมความแข็งแกร่งของกำแพงดินให้กับเขาอยู่
“เฮ้ย!! ไอ้พวกนักเวทต์ตรงนั้นอย่าใช้โล่บาเรียป้องกันตัวเองสิวะ มันไร้ประโยชน์นะโว้ย!! ถ้ามีพลังเหลือละก็มาช่วยเสริมการป้องกันตรงนี้กันหน่อยสิฟะ”
“เรื่องของแกสิวะ!! ยังไงกำแพงดินชั้นต่ำของแกก็จะถูกทำลายอยู่แล้วเสริมไปก็เปล่าประโยชน์ สู้ข้าลองเสี่ยงใช้บาเรียเวทมนต์ให้แข็งแกร่งเฉพาะตัวเองดีกว่าเยอะ!!”
“ไอ้แก่ปาก–อึก!!”
ในขณะที่เขากำลังจะต่อว่าชายคนหนึ่งลูกธนูแสงก็พุ่งทะลุไหล่ของเขาไปอย่างรวดเร็วและซ้ำร้ายแรงระเบิดจากการปะทะกับพื้นยังทำให้เขาบาดเจ็บซ้ำสองอีกด้วย
“ชิล!!”
“อย่าลดการป้องกันแคล!! ไม่งั้นพวกเราได้ตายกันหมดแน่!!”
“แต่ว่านาย..”
“บาดแผลแค่นี้ไม่เป็นไรหรอกน่า!! เลิกทำหน้าเหมือนจะร้องไห้และร่ายเวทต่อไปสักทีสิ!!”
“รู้แล้วละน่า”
แคลเริ่มร่ายเวทต่อไปแต่ถึงอย่างงั้นกำแพงก็ยังเริ่มปรึแตกเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและเริ่มมีลูกธนูที่ผ่านเข้ามาเยอะขึ้นจนทำให้ทั้งนักผจญภัคและทหารหลายคนได้รับบาดเจ็บไปตามๆ
“ขอ ยืม”
ก้าก้าเดินมากระชากคฑาที่อยู่ในมือของเอเลนออกไปถือไว้
“จะยืมไปผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ แต่ช่วยบอกหน่อยได้รึเปล่าครับว่าจะเอาไปทำอะไรเหรอครับ”
“ป้องกัน”
“อย่างงี้นี้เองท่างั้นก็คงช่วยไม่ได้สินะครับ ช่วยใช้มันให้ดีๆด้วยนะครับ คุณก้าก้า”
“อืม”
ก้าก้าตอบรับแบบสั้นๆและเดินไปหาชิลที่กำลังตั้งสมาธิเพื่อซ่อมแซมกำแพงที่เขาสร้างมันขึ้นมาอยู่
“ขอ ออกหน่อย”
“ห๊า? เป็นบ้าอะไรของเธอ คิดจะฆ่าตัวตายรึไง”
“ขอ ออกหน่อย”
“พูดซ้ำไป ก็ไม่มีความหมายหรอกนะ ต่อให้เธอจะเก่งมาจากไหนก็เหอะ แต่ไม่มีทางรอดจากห่าลูกธนูเวทมนต์นี้ได้แน่”
“ทำได้ ขอ ออกหน่อย”
“ก็บอกแล้วไงว่า–“
“ขอออกหน่อย”
“โธ่เว้ย!! น่ารำคาญซะจริง ตายห่าขึ้นมาฉันไม่ผิดนะโว้ย!!”
“ขอบคุณ”
เมื่อกำแพงดินค่อยๆแยกออกมาก้าก้าใช้เวลาเพียงไม่กี่วิหลังจากกำแพงดินแยก แซกตัวออกมา และก็ใช้คฑาที่ยืมมาจากเอเลนปัดลูกธนูแสงที่พุ่งมาอย่างรวดเร็ว การปัดของเธอนั้นรวดเร็วและรุนแรงจนเกิดเป็นแรงลมปะทะออกไปข้างหน้าทำให้ลูกธนูแสงที่ตามมาเริ่มอ่อนแรงลงเพราะมีธาตุไฟเป็นแกนหลัก
“ยัยนั้นมันยังใช้คนแน่เหรอวะนั้น”
ชิลที่มองเห็นเหตุการณ์อยู่ตลอดพูดออกมาด้วยความตกตะลึง ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเธอเป็นใครแต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะเก่งกาจถึงขนาดนี้
ก้าก้าควงคฑาในมืออย่างรวดเร็วเธอสามารถปัดลูกธนูแสงที่ยิงมาต่อเนื่องอย่างไม่ลดละจนกระทั้งถึงดอกสุดท้าย โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย และเมื่อได้โอกาศสวนกลับเธอก็หยิบธนูขนาดใหญ่ที่สะพายเอาไว้
ขึ้นมาง้างเตรียมยิงพร้อมกันถึง6ลูกเพื่อเตรียมพร้อมยิงเป้าหมายที่กำลังลอยอยู่
“เฮ้ยๆ นอกจากจะเก่งสู้แล้วยังใช้ธนูสำหรับเจาะกำแพงได้สบายๆอีก สมแล้วจริงๆ ที่ได้ชื่อว่าเทพสงคราม แบบนี้คงไม่ต้องห่วงอะไรแล้วสินะ”
ฉึก!!! ฉึก!!! ฉึก!!! ฉึก!!! ฉึก!!! ฉึก!!!
ลูกธนูที่ถูกยิงออกไปนั้นรวดเร็วและรุนแรงหัวศรทั้ง6 ได้พุ่งเลยร่างที่อยู่บนฟ้าและพุ่งไปสูงเหนือเมฆ จนเจาะทะลุฝูงนกอพยพที่โชคร้ายทั้งหมด6ตัว ร่างขนาดใหญ่ของมันร่วงลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็วและตกลงตรงหน้าของก้าก้า
“”””……””””
เมืื่อเห็นดังนั้นเธอจึงเดินไปหาร่างที่ไร้วิญญาณของนกทั้ง6ตัวและหยิบลูกธนูจากร่างของพวกมัน กลับมายิงใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้น่าเสียดายที่ลูกธนูทั้ง6ที่ยิงออกไปนั้นได้กระจายไปคนละทิศละจนไม่สามารถตามไปเก็บได้อีกแล้ว
เมื่อเห็นดังนั้นก้าก้าจึงเดินไปที่ร่างของนกทั้ง6อีกครั้ง และรวบขาของพวกมันเอาไว้ในมือและเดินกลับไปหาพวกนักผจญภัคและทหารที่กำลังงงงวนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“นก ย่าง อร่อยนะ”
“ไม่ต้องมานกย่างอร่อยเลยนะโว้ย!!! นี้หล่อนยิงอะไรของหล่อนเนี้ย!!”
“ก้าก้า ใช้ ธนู ไม่เป็น”
“ถ้าใช้ธนูไม่เป็นแล้วหล่อนจะเด๊ะท่ายิง6ดอกรวดทำหอกอะไรวะ!!”
“ลองยิง เยอะ เผื่อ โดน แล้ว หวัง อะไร กับ ก้าก้า ละ?”
“นี้ตูผิดเหรอ? นี้ตูผิดสินะ? เออขอโทษทีละกันที่คาดหวังจากคนซื่อบื้ออย่างเธอ รู้ไหมตอนที่เห็นหล่อนปัดลูกธนูแสงพวกนั้นได้ฉันเผลอคิดว่าเธอโคตรเท่ไปแว่บหนึ่งเลยนะโว้ย!!”
“แหะๆ”
“ไม่ต้องมาเขินด้วยหน้านิ่งๆเลย!! ฉันได้ชมเธอโว้ย!!”
“เฮ้ย!! ลูกธนูแสงมันจะมาอีกแล้ว!!”
ลูกธนูแสงมากมายปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง และพุ่งตรงมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
“เทพสงคราม!! นี้คือโอกาศโชวฝีมือของเธอ… นั้นเธอกำลังทำอะไรนะนั้น..”
ชิลเอ่ยถามก้าก้าที่กำลังนั้งถอนขนนกอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่
“ถอน ขน”
“เออ แค่เห็นก็รู้แล้วตาไม่ได้บอด แต่ที่ฉันหมายถึงทำไมเธอถึงยังไม่รีบจับคฑานั้นและมาปัดลูกธนูอีกครั้งละ”
“หิวแล้ว ถึงเวลากินข้าว ต้องพัก ไม่งั้น สู้ไม่ไหว”
“แล้วมันใช้เวลานี้ไหมวะ!! หล่อนกับฉันกำลังจะตายแล้วนะโว้ย!!”
“อืม~ อึ่ม อือ~”
“มันใช้เวลามาหึ่มเพลงไหมห๊า!! นี้หล่อนตั้งใจจะกวนประสาทฉันใช่มั้ย!!!”
“ชิล.. ฉันไม่ไหวแล้ว”
ครืน!!
เมื่อแคลพูดจบกำแพงดินก็พังทลายลงทันทีต่อหน้าต่อตาเขาทันที
“เดี๋ยวสิ!! กำแพงมันน่าจะอยู่ได้สักพักเลยนี้!! ทำไมมันถึงพังลงมาง่ายๆ แบบนี้ละ!!”
“ก็คุณมั้วแต่เถียงกับคุณก้าก้าจนลืมคงสภาพกำแพงไว้เอง ไม่ใช่เหรอครับ พอคุณแคลไม่ไหวแล้วมันก็ต้องพังลงมาเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”
“อ๊ะ..”
เขานึกขึ้นได้และหันกลับไปมองขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง ห่าลูกธนูแสงพุ่งลงมาอย่างรวดเร็วเต็มมากมายบนท้องฟ้า ต่อให้วิ่งไปไหนก็คงไม่พ้นแน่นอน
“ชิล!! ใช้ไอ้กำแพงดินอีกครั้งดิวะ!! จะมั้วยืนใบ้แดกทำหอกอะไรวะ!!”
“เอ่อ..พลังเวทตูหมดแล้ววะ.. ถ้าใช้กำแพงดินใหญ่ๆตอนนี้ คงไม่ไหวแล้วละ ขอโทษทีนะ แต่เหมือนพวกเราจะจบเห่แล้วละ”
“แม่งเอ๊ย!! มีใครที่ใช้กำแพงดินหรืออะไรสักอย่างได้ไหมวะ!!”
“พสุธาเอ๋ย จงขัดกฏแห่งธรรมชาติเพื่อปกป้องตัวข้า[Earth wall]”
ผู้หญิงอีกคนที่เป็นนักเวทร่ายเวทอย่างรวดเร็วกำแพงดินก็ขึ้นมาเป็นโดมปกป้องเธอเอาไว้
“เฮ้ย!! นี้หล่อนจะเอาตัวรอดคนเดียวเลยรึไง!!”
“ขะ..ขอโทษทีนะ แต่พลังเวทฉันพอสำหรับปกป้องเฉพาะตัวเองเท่านั้นนะ”
“ข้าก็ด้วย!!”
“ฉันด้วย!!”
นักเวทอีกประมาณสามสี่คนใช้กำแพงดินขึ้นมาปกป้องตัวเองอย่างรวดเร็ว ส่วนคนอื่นๆก็ตั้งโล่ไม่ก็หาที่หลบเพือเอาชีวิตตัวเองรอดไว้ก่อน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
เอเลนพูดพร้อมกับเดินไปตบบ่าของชิลที่กำลังมองห่าลูกแสงที่กำพุ่งลงมาอย่างสิ้นหวัง โดยที่กอดร่างของแคลที่กำลังอ่อนแรงเอาไว้อยู่
“ท่านเอเลนพูดแบบนี้แสดงว่ามีแผนรับมืออะไรสักอย่างแล้วสินะ”
“เปล่าครับ ที่ผมจะบอกก็คือหากเราถูกเวทแสงที่บริสุทธิ์มากๆฆ่า ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีบ่วงค้างคาเอาไว้บนโลก เพราะถือเป็นการชำระล้างภายในตัว แถมด้วยธาตุไฟที่น่าจะรุนแรงขนาดนั้นก็น่าทำให้ไม่เหลือร่างไว้ให้กลายเป็นพวกซอมบี้ด้วยนะครับ”
“เรื่องนั้นไม่ได้อยากรู้เลยเว้ย!! ถ้าทำอะไรไม่ได้ก็หุบปากไปสิวะ ไอ้ไร้ประโยชน์นี้!!”
“ฮ่าๆๆ ถึงผมจะทำอะไรไม่ได้ก็จริง แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะป่านนี้ก็น่าจะได้เวลาที่เธอกำลังจะมาแล้วละครับ”
“ห๊า?”
เมื่อเอเลนพูดจบมวลน้ำมากมายพวยพุ่งออกมาออกพื้นหิมะที่พวกเขากำลังยืนอยู่โดยรวมกันกลายเป็นก้อนน้ำขนาดใหญ่ลอยอยู่อากาศที่สามารถบดบังไปถึงครึ่งเมืองได้ เมื่อลูกธนูแสงเหล่านั้นโดนน้ำก็หายไปในพริบตา
“หืม~ เอาแสงมาผสมกับไฟงั้นเหรอ เป็นการผสมผสานที่แปลกดีนะ แต่ดีแล้วละทีนี้ฉันก็ได้เปรียบแล้วสิ”
หญิงสาวที่อยู่ในชุดเดรสสีดำแดงที่สุดแสนจะเย้าหยวนปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกระทันหัน จากดวงตาสีเคยเป็นสีดำตอนนี้ได้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นสีฟ้าอ่อนๆ เช่นเดียวกับผมของเธอ
“แม่มดแสนสวยผู้มากด้วยความสามารถ ริสต้า เบล มาช่วยแล้วจ้า~”