ผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับ - ตอนที่ 55
“จำไว้นะ ห้ามนอกใจเด็ดขาด!! ไม่งั้นเจอดีกว่านี้แน่”
“ครับ..”
ไทเอลพูดออกมาเบาๆ ตามหลังเจมินี่ที่ไปรวมกลุ่มกับมีเรียที่อยู่ห่างไปประมาณ15เมตร เพื่ออยู่เป็นเพื่อนเรย์ หากสังเกตุที่ผิวของไทเอลดูดีๆจะมีรอยชำเขียวตามร่างกายเล็กน้อยอีกด้วย
“ขอโทษนะ คุณหม่าม๊า ที่หนูช่วยอะไรไม่ได้เลย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ นี้ก็ถือว่าเป็นความผิดของผมเองด้วย แค่โดนตีนึดหน่อยเท่านั้นเองไม่เป็นไรหรอกครับ”
“คุณหม่าม๊านี้ดูกลัวคุณเจมินี่น่าดู”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะครับ แล้วเป็นยังไงบ้างละครับ พิพิธภัณฑ์ผู้กล้าสนุกดีไหมครับ”
“ก็สนุกดีเหมือนกัน แต่พอรู้ว่าของส่วนใหญ่เป็นของปลอมก็ทำเอารู้สึกแย่ไปพักหนึ่งเลยละ”
“งั้นเหรอครับ… ถ้างั้นต่อจากนี้ไปโรงละครให้หายอารมเสียดีไหมละครับ ได้ยินว่าช่วงนี้กำลังแสดงละครเกี่ยวกับผู้กล้ารุ่นแรกด้วย แน่นอนว่าไม่ต้องเกรงใจผมยินดีเลี้ยงทุกคนอยู่แล้วครับ”
“คุณหม่านี้ดีทั้งใจและหน้าตาเลยนะ หนูเริ่มชักจะหลงคุณหม่าม๊าแล้วสิ”
“จะหลงก็ได้ครับ แต่อย่าเผลอรักซะละ เดี๋ยวผมจะโดนคุณเจมินี่ฆ่าตายเอาได้ อันนี้จริงจังนะครับขอบอกไว้ก่อน”
“ฮ่าๆๆๆ คุณหม่าม๊านี้ตลกจังเลย เรื่องนั้นแค่เห็นหนูก็เข้าใจแล้วละน่า”
“ดีแล้วละครับ ท่างั้นผมขอให้คุณช่วยถอยไปรวมกับพวกคุณเจมินี่หน่อยนะครับ”
“เป็นอะไรไปเห–“
ไทเอลหยุดเดินและมองไปที่ข้างหน้าเธอ ตอนนี้มีทหารยืนดักทางที่พวกเธอกำลังจะผ่านอยู่ พวกเขาทั้งหมดต่างจ้องมาที่เธอเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีธุระกับผมนึดหน่อยนะครับ ฝากบอกคุณเจมินี่ด้วย ว่าผมจะกลับไปช้าหน่อย”
“คุณหม่าม๊านี้มันเรื่องอะไรกันเนี้ย?”
“น่าๆ พี่สาวมาเล่นกับคาลดีกว่านะ”
“เดี๋ยวสิคาล!! ฉันยังคุยกับคุณหม่าม๊าไม่จบเลย!”
คาลแขนของเทลออกไปและหันกลับมาขยิบตาให้กับไทเอล ดูเหมือนว่าเธอคงต้องหาเวลาอยู่กับคาลให้มากขึ้นกว่านี้แล้ว เธอค่อยๆเดินไปหาพวกทหารเหล่านั้นโดยที่ไม่หันกลับไปมองข้างหลังเลยแม้แต่น้อย
“คุณผู้หญิงคือ ไทเอล ที่เป็นเผ่าภูติดดำใช่มั้ย?”
“ใช่แล้วละครับ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรกับผมรึเปล่าครับ? คุณทหาร”
“ท่านบารอนมิราจต้องการจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว ท่าเป็นไปได้ช่วยตามพวกเรามาดีๆได้ไหม คุณผู้หญิง”
“แม้จะมีคำถามมากมายแต่ผมคงไม่มีตัวเลือกมากสินะครับ ถึงจะเป็นการเชิญที่อาจจะดูหยาบไปหน่อยก็เถอะ”
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ก็แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง ทางผมไม่ได้คิดอะไรมากอยู่แล้วละครับ”
“ก็ดีแล้วละ..ช่วยกรุณาตามมา อย่าขัดขืนซะละ”
“ครับๆ”
ไทเอลเดินตามทหารที่ดูท่าทางจะเป็นหัวหน้าไปอย่างว่าง่าย โดยมีทหารอีก2คนประกบซ้ายขวาเพื่อกันไม่ให้เธอหนี แต่ถึงกระนั้นทหารเหล่านั้นกลับไม่ได้มองไปที่ใบหน้าของเธอเลย พวกเขาจ้องมองไปที่หน้าอกของไทเอลอย่างชัดเจน ทำให้ไทเอลรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่คิดจะต่อว่าอะไรมากนัก เพราะมันเป็นเรื่องปกติที่เธอต้องเจอหากอยู่ในชุดผู้หญิงหรือไร้ชุดซ่อนรูปอยู่แล้ว
“ไม่ทราบว่าท่านบารอนมีเรื่องอะไรกับคนที่พึ่งมาเยี่ยมเมืองหลวงเป็นครั้งแรกอย่างผมด้วยเหรอครับ”
ไทเอลเอ่ยถามทหารที่อยู่ข้างๆเธอ ทำให้เขาทำท่าลุกลี้ลุกลนเล็กน้อยก็จะเลิกจ้องหน้าอกของไทเอล
“พะ..พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เราเพียงได้รับคำสั้งให้พาตัวคุณไปก็เท่านั้น ส่วนรายละเอียดอะไร–“
ทหารหนุ่มรีบเงียบทันที เมื่อรู้ว่าตัวเองถูกจ้องด้วยสายตาตำหนิจากเพื่อนที่อยู่อีกข้างของไทเอล ดูเหมือนว่าพวกทหารพวกนี้จะไม่รู้เรื่องอะไรเหมือนกัน เธอจึงก้มหน้าก้มตาเดินตามทหารที่อยู่ตรงหน้าไปเงียบๆ ดูเหมือนว่าหากเธอต้องการจะรู้เหตุผลที่ถูกเรียก คงต้องไปถามบารอนด้วยตัวเธอเองเสียแล้วละ
ไทเอลถูกพาไปที่รถม้าที่จอดอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก รถม้านั้นเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ ตามเส้นทางของมันที่ยังคงมีผู้คนสัญจรไปมาอย่างคึกครื่น จนมาหยุดที่หน้าคฤหารแห่งหนึ่งที่ดูเก่าเพียงเล็กน้อย มันมีพื้นที่ไม่เยอะเมื่อเทียบกับคฤหาสน์หลังอื่นๆ ที่เธอเคยเห็น แต่ถึงอย่างงั้นมันก็เรียกได้ว่าใหญ่โตมากอยู่ดี
“ขอโทษด้วยนะคุณผู้หญิง แต่พวกเรามาส่งคุณได้เพียงเท่านี้แหละ”
ทหารเอ่ยขอโทษในขณะที่ยืนอยู่ที่หน้าประตู
“ไม่เป็นไรครับ แค่พาผมมาดีๆ ไม่จับผมใส่กุญแจมือ ผมก็พอใจแล้วละครับ ขอบคุณมากที่มาส่งนะครับ”
“คุณนี้ช่างมีอารมข้นดีนะ.. ผมหวังว่าอารมข้นของคุณจะไม่ทำให้ท่านมิราจโกรธ ไม่งั้นคุณคง..”
“ช่างเถอะครับ อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด เอาไว้ท่าเจอกันนอกเมืองก็อย่าลืมเข้ามาทักทายกันด้วยนะครับ”
“เข้าใจแล้ว..ผมจะทำตามนั้น ขอให้โชคดีนะ คุณผู้หญิง”
ไทเอลเดินเข้าไปในเขตของคฤหาสน์ทันทีโดยที่มียามเปิดประตูรัวต้อนรับเธออยู่แล้ว เธอเดินตามทางที่ทอดยาวมาเรื่อยๆ พร้อมกับชมกับบรรยากาศรอบๆ ที่มีต้นไม้ต่างๆนาๆ ที่ใบไม้ร่วงโรยจนเกือบหมด เพื่อเตรียมรับฤดูหนาวที่จะมาถึงเร็วๆนี้ มันค่อนข้างเป็นคฤหาสน์ที่ค่อนข้างดูเงียบเหงาไม่สมกับเป็นที่อยู่ของขุนนางเลยแม้แต่น้อย
เธอเดินต่อไปเรื่อยๆ จนพบกับเมดคนหนึ่งที่มีผิวสีแทนใกล้เคียงกับเธอ เธอนั้นมีดวงตาที่ดูโตสีเขียวดูคล้ายกับสีของมรกตและปากสีชมพูอ่อนเหมือนกับดอกบัว เรียกได้ว่าเธอนั้นมีใบหน้าที่ดูน่ารักมาก เหมาะสมกับส่วนสูงของเธอที่ค่อนข้างเป็นคนที่ตัวเล็กพอสมควรหากเทียบกับผู้หญิงทั้วไป โดยเธอนั้นมีความสูงต่ำกว่าอกของไทเอลที่สูงถึง185cm.เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เธอใส่ชุดเมดที่ปกปิดร่างกายทั้งหมดของเธอจนถึงคอและสวมใส่ถุงมือที่ทำมาจากหนังสัตว์สีดำที่ดูค่อนข้างแปลกประหลาดไม่เข้ากับชุดเมดที่เธอใส่อยู่
“สวัสดีค่ะ ท่านไทเอล ดิฉันชื่อมิเนร่าเป็นเมดรับใช้ตระกูลคาคราฟค่ะ”
เมดสาวที่ยืนรอไทเอลอยู่ เอ่ยทักทายไทเอลขึ้นอย่างคล่องแคล่วไม่ติดขัดราวกับเธอทำมันเป็นประจำ
“เช่นกันครับ ผมชื่อไทเอล ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
ไทเอลแนะนำตัวอย่างเป็นมิตรพร้อมกับยื่นมือไปทางเมดคนนั้น แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ไทเอลทำเท่าไหร่นัก
“แม้จะเสียมารยาทไปหน่อย แต่พวกเรามีวัฒณธรรมที่การจับมือที่สงวนเอาไว้สำหรับบุรุษเท่านั้นค่ะ”
“งั้นหรอกเหรอครับ ถ้างั้นผมควรจะทำอะไรถึงจะได้ทักทายคุณอย่างถูกต้องละครับ”
“คำตอบนั้นคือไม่จำเป็นต้องทำค่ะ การที่ให้แขกของตระกูลมาทักทายเมดที่ต่ำต้อยอย่างดิฉันนั้นนับเป็นการทำเสียมารยาทต่อแขก เพราะฉะนั้นได้โปรดให้ดิฉันได้ทำหน้าที่ของดิฉันด้วยเถอะคะ”
“งั้นเหรอครับ ท่างั้นผมขอทำแบบนี้ก่อนจะปล่อยให้คุณทำหน้าที่ของคุณนะครับ”
“!!!!!”
ไทเอลจับมือมิเนร่าขึ้นมาและพยามจะจูบมันไปเบาๆที่หลังมือของเธอ แต่ก่อนที่ริมฝีปากของไทเอลจะถึงมิเนล่าจึงรีบชักมือกลับไปทันที ด้วยสีหน้าที่ดูแตกตื่นอย่างเห็นได้ชัด
“คิดจะทำอะไรกันแน่ค่ะ ท่านไทเอล”
“ผมก็แค่พยามจะทักทายในแบบของผมเท่านั้นเองครับ มีปัญหาอะไรรึเปล่า?”
“ดิฉันไม่ชอบให้ใครมาสัมผัสมือของดิฉันค่ะ เพราะฉะนั้นได้โปรดกรุณาอย่าทำแบบนี้อีกเป็นครั้งที่2นะคะ”
“อย่างงี้นี้เอง ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ ผมก็แค่อยากจะสานสัมพันธ์ในแบบของผมเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดีเลยแม้แต่น้อย ช่วยยกโทษให้ผมได้รึเปล่าครับ”
“ดิฉันไม่ได้โกรธคุณตั้งแต่แรกอยู่แล้วค่ะ ไม่จำเป็นต้องให้แขกต้องมาขอโทษคนรับใช้อย่างดิฉันหรอกค่ะ”
“ไม่ได้หรอกครับ ผมมีคติว่าทำผิดก็ต้องขอโทษ ท่าเป็นไปได้ผมอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อขอโทษคุณด้วยซ้ำไปครับ”
“หากท่านไทเอลต้องการแบบนั้นดิฉันก็ไม่อาจห้ามอะไรท่านได้ แต่ตอนนี้ได้โปรดตามดิฉันมาเพื่อไปพบนายท่านด้วยเถอะคะ”
“ได้เลยครับ”
“เชิญตามดิฉันมาทางนี้เลยค่ะ”
ไทเอลเดินตามมิเนร่าเข้าไปในคฤหาสภ์ก็รู้สึดประหลาดใจเล็กน้อยที่ห้องโถของที่นี้ดูกว้างและหรูหรามากกว่าที่คิด พื้นและโคมไฟระย้านั้นดูใหม่เอี่ยมอ่องหมดจนไม่มีแม้แต่ฝุ่นเลยแม้แต่น้อย แตกต่างจากภายนอกที่ดูค่อนข้างมีอายุมาก
“ที่นี้ดูสะอาดดีจังเลยนะครับ คนทำความสะอาดน่าจะมีความใส่ใจน่าดู แม้แต่ขั้นบันไดเองก็ยังดูเหมือนใหม่เลยนะครับ”
“ขอบคุณที่ชมค่ะ เอาไว้ดิฉันจะไปเมดที่รับหน้าที่ทำความสะอาดนะคะ”
“งั้นผมก็ต้องขอขอบคุณไว้ล่วงหน้าเลยละกันครับ ว่าแต่นอกจากคุณแล้ว ผมก็ไม่เห็นคนอื่นๆเลยนะครับ ทั้งที่ที่นี้ก็ออกจะดูใหญ่โตแท้ๆ”
“คนอื่นๆกำลังทำหน้าที่อยู่ตรงส่วนอื่นค่ะ จะไม่เห็นใครเลยก็ไม่แปลกหรอกค่ะ”
“งั้นเหรอครับ งั้นคนรับใช้ของที่นี้มีอยู่กี่คนเหรอครับ”
“ร่วมดิฉันไปด้วยที่นี้ก็มีแค่6คนเท่านั้นค่ะ”
“น้อยกว่าที่กว่าที่คิดอีกนะครับ แต่ถึงอย่างงั้นก็ถือว่าเก่งมากมากเลยนะครับ ที่ดูแลที่นี้ให้ดูเหมือนใหม่ได้ ขนาดเวทมนต์ยังทำแบบนี้ไม่ได้เลยนะครับ”
“นั้นก็ชมเกินไปแล้วค่ะ พวกเราก็แค่ทำหน้าที่ของพวกเราตามปกติเท่านั้นเองค่ะ”
“ไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอกครับ นี้ผมชมจากใจจริงเลยนะ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอขอบคุณแทนพวกนั้นด้วยค่ะ”
พวกเธอคุยเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูบานใหญ่ที่สุดที่น่าจะเป็นห้องทำงานของบารอนมิราจ
“กรุณารอสักครู่นะคะ”
“ครับ”
ก๊อกๆๆๆ
“ใคร?”
“มิเนร่าเองค่ะ ดิฉันพาท่านไทเอลมาตามที่ท่านขอแล้วค่ะ”
“อ่า เข้ามาได้เลย”
เมื่อสิ้นสุดเสียงมิเนล่าเปิดประตูห้องเข้าไปโดยที่มีไทเอลเดินตามหลังมาด้วย เมื่อเข้าไปในห้องไทเอลก็พบกับผู้ชายคนหนึ่งหน้าตาดีคนหนึ่งนั้งอยู่หลังโต๊ะ โดยที่มีเมดที่เป็นเผ่ากระต่ายยืนอยู่ข้างๆ ชุดเมดของเธอนั้นดูเหมือนจะเร่งรีบใส่เป็นอย่างมาก ที่เห็นเด่นชัดก็คือกระดุมที่คอเสื้อติดไม่ครบจนเผยให้เห็นร่องอกของเธอและผ้ากันเปื้อนเองก็กองอยู่บนพื้นข้างๆตัวเธอ ใบหน้าของเธอนั้นดูแดงระเรื่อ และหายใจแรงเหมือนคนดูเหนื่อยๆ อีกด้วย
“เป็นเกียติอย่างยิ่งที่ได้พบครับ ท่านบารอน มิราจ ดาคราฟ ผมไทเอลครับ”
ไทเอลโค้งคำนับชายที่อยู่ตรงหน้า อย่างสวยงามเพื่อแสดงถึงความเคารพที่มีต่อเขา
“หืม? วิธีพูดแบบผู้ชายงั้นเหรอ ไหนจะการทำความเคารพแบบนั้นอีก แปลกจังเลยนะ เธอนะ”
“ต้องขออภัคด้วยการพูดแบบนี้มันเป็นนิสัยของผม ท่าท่านไม่ชอบใจผมสามารถเปลี่ยนให้ได้นะครับ”
“ไม่ต้อง แบบนั้นแหละดีแล้ว นานๆทีเห็นของแปลกก็ไม่เลวนักเท่าไหร่หรอก”
มิราจพูดพร้อมกับยิ้มให้กับไทเอล ก่อนจะค่อยๆผายมือไปด้านหน้า
“เชิญนั้งก่อนสิ จะได้คุยกันสบายหน่อย”
“ขอบพระคุณมากครับ”
ไทเอลนั้งลงที่เก้าอี้ที่มิเนล่าหยิบมาให้จากตรงมุมห้องที่เอาไว้ใช้สำหรับปีนหยิบหนังสือ
“เอาละ จะเริ่มคุยจากตรงนี้เลยละกัน”
มิราจหยิบมีดสั่นสำหรับปาสีดำขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ
“เธอเคยเห็นมีดเล่มนี้รึเปล่า?”
“ไม่เคยเห็นหรอกครับ ทำไมถึงถามแบบนั้นละครับ?”
“เมื่อวานมีโจรคนหนึ่งย่องขึ้นมาขโมยของในบ้านของฉันนะสิ มันใช้มีดสั่นเล่มนี้ทำร้ายเหล่าเมดที่น่ารักของฉันซะจนผิวของพวกเธอเกิดริ้วรอย แม้จะน่าโมโหแต่เจ้าโจร นั้นถือว่ามีฝีมือที่เก่งกาจ จนแม้แต่ฉันเองก็ยังตามจับมันไม่ทันเลย”
“ช่างโชคร้ายจังเลยนะครับ เป็นเรื่องน่าเศร้าจริงๆ ที่เกิดริ้วรอยบนแผลของผู้หญิงเหล่านั้น”
“ใช่แล้วละ แม้แผลพวกนั้นจะรักษาหายได้อย่างง่ายๆ แต่มันก็ไม่เปลี่ยนความจริงที่มันมาทำร้ายผู้หญิงของฉันอยู่ดี”
“งั้นก็ดีแล้วละครับ ที่รักษาหาย แล้วทำไมท่านถึงเรียกผมมาคุยเรื่องนี้เหรอครับ เท่าที่ฟังมามันไม่น่าเกี่ยวกับผมเลยนี้ครับ”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก.. เจ้าโจรคนนั้นปิดบังใบหน้าไว้ก็จริง แต่เจ้านั้นมีผมสีดำและดวงตาสีแดงเหมือนกับเธอ ไหนมีสีผิวเข้มเหมือนกันแถมรูปร่างใกล้เคียงกันอีก ไม่คิดว่ามันเหมือนเธอบางเหรอ ไทเอล”
“จะบอกว่าผมเป็นหัวขโมยคนนั้นเหรอครับ?”
“ก็ไม่รู้สิ แต่คนที่มีลักษณะเด่นแบบนี้ในเมืองมีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น แถมเธอยังพึ่งมาถึงเมืองนี้เมื่อวานอีก แล้วจะให้ฉันคิดว่ายังไงดีละ”
“ขอบอกไว้ก่อนนะครับ เมื่อวานนี้ผมอยู่กับครอบครัวของผมทั้งวัน ไม่มีทางมาขโมยของในบ้านของคุณได้หรอกครับ หากคุณไม่เชื่อคุณสามารถส่งผมให้กับพวกทหารเพื่อสอบสวนกับลูกแก้วเท็จได้เลยครับ”
“ฉันไม่ส่งให้พวกมักง่ายแบบนั้นหรอก ยังไงซะ พวกมันก็จับเธอเข้าคุกโดยที่ไม่ต้องถามอะไรอยู่แล้ว สู้เอามาซักถามเองยังได้ความกว่าตั้งเยอะ”
“งั้นท่านจะรู้ได้ยังไงละครับ ว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นเป็นความจริง ตัวผมเองก็อยากพิสูจน์ความบริสุทธิ์เร็วๆเหมือนกันนะครับ”
“ฉันมีวิธีการของฉันเหมือนกันละน่า นาฟ!! ลองบอกมาสิว่าสิ่งที่ไทเอลพูดเป็นความจริงรึเปล่า”
“ผู้หญิงคนนี้พูดความจริงค่ะ ท่านมิราจ”
เมดสาวเผ่ากระต่ายพูดขึ้นมาพร้อมกับดวงตาของเธอที่เรืองแสงสีทองเป็นสัญลักษณ์วงเวทอย่างชัดเจน
“เป็นเผ่าสัตว์ที่มีเนตรแห่งความจริงเหรอครับ เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจจริงๆ”
“อย่าพึ่งสนเรื่องของนาฟมาต่อเรื่องของเรากันดีกว่า ไทเอล”
มิราจจ้องไทเอลด้วยสายตาที่ดูจริงจังอีกครั้ง แม้ในใจไทเอลอยากจะจดบันทึกเรื่องราวนี้แต่เธอก็ต้องอดใจไว้ก่อน
“เธอรู้จักคนที่ทำแบบนี้รึเปล่าไทเอล”
“ถ้าผมพูดไม่รู้จักละครับ”
“นาฟ”
“ผู้หญิงคนนี้โกหกค่ะ”
เมื่อเมดคนนั้นพูดจบมิราจปล่อยจิตสังหารของตัวเองออกมาใส่ไทเอล ทำให้เธอรู้สึกตกใจไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว
“ว่าแล้วเชียวโกหกไม่ได้จริงๆด้วยสินะครับ”
“ก็คงจะเป็นแบบนั้นแหละ บอกมาซะดีๆ ว่าไอ้คนทำนั้นมันเป็นใคร”
“ทำไมผมต้อง–“
พรึบ!!!
นาฟเอามีดไปจ่อไปที่คอของไทเอลอย่างรวดเร็ว จนเธอผงะไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว
“สกสัยผมคงต้องยอมบอกดีๆแล้วสินะครับ แบบนี้นะ”
“ถ้าคิดจะบอกดีๆ ทำไมถึงต้องรวบรวมพลังเวทด้วยละคะ”
มิเนล่าที่อยู่ด้านหลังของเธอกล่าวกับไทเอลที่นั้งอยู่ มีดที่นาฟถืออยู่จึงเข้ามาใกล้มากขึ้นจนบาดคอของเธอจนเกิดแผลที่มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย
“ก็แค่อยากจะลองอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ แต่ดูเหมือนจะมีโอกาสสำเร็จจะต่ำมาก ๆ ก็เลยล้มเลิกไปซะก่อนนะครับ”
“กรุณาอย่าทำอะไรสิ้นคิดค่ะ ทางนี้เองต้องการรู้เพียงความจริงเท่านั้น และเราจะปล่อยคุณไปค่ะ”
“เฮ้อ~ เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆเลยนะครับ”
“ใช่แล้วละค่ะ ช่างเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ”
ไทเอลถอดหายใจออกมาเล็กน้อย แม้เธอจะไม่อยากบอกเท่าไหร่นักแต่ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
“คนที่มาขโมยของๆท่านน่าจะเป็นคนที่ชื่อแบล็คครับ”
“เจ้านั้นมีความเกี่ยวข้องยังไงกับเธอละ”
“หากถามถึงความเกี่ยวข้องละก็ เธอเป็นเพียงแค่คนรู้จักของผมเพียงเท่านั้นเองครับ”
“งั้นเหรอ ท่างั้นเธอมีวิธีตามตัวมาหาฉันได้รึเปล่า”
“ไม่มีหรอกครับ เธอไม่ได้อยู่ที่ไหนเป็นหลักเป็นแหล่งเท่าไหร่นัก การติดตามหรือติดต่อเธอจึงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยครับ”
“เป็นความจริงรึเปล่า นาฟ”
“สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้พูดเป็นความจริงค่ะ นายท่าน”
“บ้าชะมัด ทั้งๆที่อยากได้มันคืนแท้ๆ”
มิราจดูหัวเสียเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องที่ไทเอลพูดเป็นความจริง
“ท่านมิราจถูกขโมยอะไรไปละครับ มันเป็นของสำคัญรึเปล่า”
“ฉันถูกขโมยบันทึกประจำตระกูลของฉันไปนะ แม้จริงๆ มันจะไม่ใช่ของที่มีค่าอะไรมากมาย แต่หากมีคนรู้ว่ามันถูกขโมยไป ฉันจะมีปัญหาเอาได้”
“งั้นผมก็คงต้องแสดงความเสียใจกับคุณด้วยอีกครั้ง บางทีคุณอาจจะไม่ได้สิ่งนั้นคืนแล้วละครับ”
“บางทีงั้นเหรอ.. แสดงว่ายังมีโอกาศที่ฉันจะได้มันคืนอยู่สินะ”
“แน่นอนครับ เธอเป็นคนที่มีนิสัยแปลกๆ หลังเธอขโมยอะไรไปแล้ว หากเธอพบว่าสิ่งนั้นไม่มีประโยชน์สำหรับเธอ เธอก็จะเอามาคืนที่เดิมเองแหละครับ”
“แล้วฉันจะรู้ได้ไงละ ว่าบันทึกนั้นมีประโยชน์กับเจ้านั้นรึเปล่า”
“เรื่องนั้นผมเองก็ไม่ทราบครับ ที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวเธอก็มีแค่นั้นครับ หากหมดธุระกับผมแล้ว ช่วยกรุณาปล่อยผมไปได้รึเปล่าครับ?”
“นาฟเรื่องที่เธอพูดเป็นความจริงรึเปล่า”
“เรื่องที่เธอพูดเป็นความจริงค่ะ นายท่าน”
มิราจทำท่าทางครุ่นคิดและมองไปทางไทเอลที่ส่งยิ้มมาให้เขา และเหมือนเขาจะเริ่มนึกอะไรบ้างอย่างออก
“ไม่หรอก ฉันยังมีธุระกับเธออีกเรื่องนะ”
มิราจลุกออกมาจากที่นั้งและเดินไปทางไทเอลที่ตอนนี้กำลังโดนนาฟเอามีดจี้เตรียมบาดคอเธออยู่
“เธอมีร่างกายที่ดีมากเลย ไทเอล แน่นอนว่าร่วมถึงหน้าตาของเธอด้วย แถมนิสัยและท่าทางของเธอก็ยังถูกใจฉันอีก นับว่าไม่เลวเลย”
“ไม่ทราบว่าท่านมิราจคิดจะทำอะไรเหรอครับ?”
“คิดอะไรเหรอ? ถามแปลกๆ ยังไงซะ เธอก็เป็นคนรู้จักของคนที่ขโมยของๆฉันไป แถมยังไม่รู้ว่าจะได้คืนรึเปล่าก็ไม่รู้ ดังนั้นฉันก็แค่อยากจะได้อะไรมาชดเชยซักหน่อยนะ”
“เรื่องเงินละก็ผมมีให้นะครับ แต่หากเรื่องอื่นผมไม่คิดจะทำให้หรอกนะครับ”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ ท่าเธอยอมเป็นผู้หญิงของฉัน ฉันสัญญาว่าจะดูแลเธอเป็นอย่างดีเลยนะ”
“น่าเสียดายนะครับ ถึงจะเห็นแบบนี้ผมเองก็เคยผ่านการคลอดเด็กมาแล้วนะครับ แถมคู่ครองของผมก็ยังเป็นพวกหึงโหดเสียด้วย เพราะงั้นผมไม่คิดจะเป็นผู้หญิงของใครหรอกครับ”
“งั้นหรอกเหรอ.. มีเจ้าของแล้วนี้เอง เข้าใจแล้วละ ฉันเองก็ไม่ชอบการแย่งผู้หญิงของคนอื่นมาโดยที่ผู้หญิงคนนั้นไม่เต็มใจเสียด้วยสิ อย่างน้อยก่อนจากลาก็ขอสัมผัสหน้าอกนั้นซักหน่อยแล้วกัน”
“เรื่องนั้นคงไม่ได้เหมือนกัน”
“!!!!!!!”
เจมินี่ปรากฏตัวขึ้นมาจากด้านหลังของมิราจ พร้อมกับเข้มเล่มยักในมีดพร้อมจะแทงไปที่ลูกกระเดือกของเขา
“นายท่าน!!”
“อย่าขยับ!! ไม่งั้นคอของหมอนี้เป็นรูแน่!!”
“แก!!!!”
นาฟคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้นใส่เจมินี่ที่กำลังจับเจ้านายเธอเป็นตัวประกันอยู่
“ใจเย็นๆน่านาฟแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก จริงไหมละ มิเนล่า”
“ใช่แล้วค่ะ ฝั้งเราเองก็มีท่านไทเอลเป็นตัวประกันเหมือนกัน ไม่งั้นเธอคงไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามหรอกค่ะ”
“แต่ว่านายท่าน..”
“นี้คือคำสั้ง!! ห้ามขยับจากตรงนั้นหรือทำอะไรเด็ดขาดเข้าใจไหมนาฟ!!”
“ค่ะ..นายท่าน”
นาฟใจเย็นลงจากคำพูดของมิราจ และยังคงอยู่ในท่าเตรียมบาดคอไทเอลเหมือนเดิม
“เธอคงจะเป็นแบล็คสินะ แม่สาวเสียงหวาน”
“นายเข้าใจผิดแล้วละ ฉันไม่ใช่แบล็คหรอกนะ อย่าเอาฉันไปร่วมกับยัยหัวขโมยนั้นสิ ฉันเองก็มีอาชีพสุจริตทำเหมือนกับคนทั้วไปนั้นแหละ”
“เธอนี้ช่างพูดอะไรน่าตลกดีนี้ คนทำอาชีพสุจริตที่ไหนเขาจะพยามเอาหมุดยักมาแทงที่คอหอยคนอื่นกัน แถมคนที่เธอกำลังจะทำร้ายยังเป็นขุนนางเสียด้วย แม้จะมียศต่ำสุดก็เถอะ”
“ฉันไม่คิดจะทำร้ายนายหรอก ถ้านายไม่คิดจะมาแตะต้องคนรักของฉันนะ”
“คนรัก? นี้พวกเธอเป็นพวกหญิงรักหญิงหรอกเหรอ มิน่าละ ทำไมไทเอลถึงพูดแบบผู้ชาย ที่แท้ก็เอาไว้มัดใจเธอนี้เอง”
“อย่าเข้าใจผิดสิไทเอลเธอพูดแบบนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ใช่การเสเสร้งหรือแกล้งทำซักหน่อย นั้นนะคือตัวตนของเธอเองต่างละ ที่ฉันรักเธอก็เพราะแบบนั้นแหละ”
“ฮ่าๆๆ อย่างงี้นี้เองๆ..พอจะเข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเธอแล้วละ..แต่ว่าเธอไม่มองข้างหลังไปตอนนี้จะดีเหรอ? แม่สาวเสียงหวานเลศเปี้ยน”
ด้านหลังของเจมินี่มีเมดอีก2คน กำลังชี้ดาบมาทางเจมินี่อยู่ เพื่อเตรียมสังหารเจมินี่เมื่อมีโอกาศ
“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้วละ ไม่ต้องให้คนอย่างนายมาเตือนหรอก”
“โฮ่ ใจกล้าดีนี้ แล้วทีนี้เธอจะทำยังไงดีละ ถ้าฆ่าฉันพวกเธอ2คนก็ตาย แต่ท่ายอมปล่อยฉันไปแต่โดยที่ดี ฉันจะไม่ทำอะไรพวกเธอ2คน เพียงแค่พวกเธอจ่ายค่าเสียหายให้ฉันเล็กน้อยเท่านั้น แน่นอนว่าเป็นการจ่ายบนเตียงนะ”
“ฉันจะบอกนายแบบไทเอลละกัน ว่าถ้าแค่เรื่องเงินฉันมีให้แต่เรื่องอื่นฉันทำให้นายไม่ได้หรอกนะ ไอ้คนบ้ากาม”
“แล้วเธอจะทำยังไงต่อไปละ ถ้าเธอฆ่าฉัน ไทเอลก็ต้องตายแน่นอนอยู่ดี ต่อให้เธอหนีไปได้เหล่าเมดที่น่ารักของฉันก็ไล่ล่าเธอต่อ ทางรอดของเธอมีเพียงไม่กี่ทางหรอกนะ แม่สาวเสียงหวาน”
“เฮ้อ~”
เจมินี่ถอดหายใจเบาๆ พร้อมกับมองไปที่ไทเอลที่ยังคงยิ้มตลอดเวลาแม้จะอยู่ในสถานะการณ์แบบนี้ก็ตาม.
“ถึงขั้นถอดหายใจเลยเหรอ นึกว่าเธอจะมีลูกเล่นมากกว่านี้ซะอีก”
“ที่ฉันถอดหายใจก็เพราะนายเล่นบื้อไม่รู้สถานะตัวเองต่างหาก แบบนี้จะมันน่าเหนื่อยใจนะ”
“ว่าไงนะ”
“ก็แหม ฉันเข้าข้างหลังนายมาได้โดยที่เมดพวกนั้นไม่รู้ตัวคิดว่าฉันจะไม่เตรียมอะไรไว้รับมือพวกเธอเลยรึไง”
“จะบลั๊ฟกันรึไง? ท่าเธอทำแบบนั้นเธอคงไม่มาจับฉันเป็นตัวประกันหรอก”
“จะคิดแบบนั้นก็แล้วแต่นาย..แต่ว่าขอบอกไว้ก่อน..ทุกๆคนที่อยู่ในห้องนี้นะ อยู่ใน’รัง’ของฉันแล้วละนะ”
“กรื้ดดด!!”
“!!!”
เจมินี่ขยับมือนิ้วข้างที่ล็อคคอของมิราจเล็กน้อย ร่างของเมดทั้ง2ก็ถูกตรึงไว้บนอากาศทันที อาวุษของเธอที่เคยชี้มาที่เจมินี่เองก็ร่วงลงไปกับพื้นรีบร้อย และปากของพวกเธอก็ถูกมัดเอาไว้อย่างหนาแน่นด้วยด้ายเพื่อป้องกันการร่ายเวทอีกด้วย
“เห็นไหมละ? แค่นี้ก็ไม่มีใครเข้าข้างหลังฉันได้แล้ว”
“ถ้าเธอทำอะไรกับผู้หญิงของฉันเรื่องนี้ไม่จบแน่!!”
“ใจเย็นสิ พวกเธอไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรแน่นอน ตราบใดที่เธอไม่ออกแรงดิ้นมากเกินไป ด้ายพวกนั้นก็ทำได้แค่ตรึงพวกเธอเอาไว้อยู่เฉยๆ เท่านั้นแหละ…นั้นสินะ ถึงพูดไปนายก็หันกลับไปมองไม่ได้อยู่ดีนี้น่า.. ถ้าให้ยกตัวอย่างละก็เอาเป็นเมดหูกระต่ายกับคุณเมดที่ยืนอยู่ตรงนั้นละกัน”
เจมินี่ขยับนิ้วอีกครั้งร่างของนาฟกับมิเนล่าก็ลอยขึ้นเหนือพื้นทันที
“นี้แก!! ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!!!”
“ถามว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันเองก็ให้คำตอบไม่ได้หรอกคุณเมดหูกระต่าย…แต่ว่าคุณเมดถุงมือตรงนั้นนะ ท่าคิดพยามจะถอดถุงมือนั้นออกละก็ทั้งนายท่านกับเพื่อนร่วมงานของเธอตายแน่”
“คุณรู้ว่าอะไรอยู่ในถุงมือของดิฉันด้วยเหรอคะ?”
“ไม่รู้หรอก แต่ฉันก็แค่รู้สึกว่าท่าเธอถอดถุงมือเมื่อไหร่ละก็อันตรายแน่นอน”
“นั้นก็แค่การคาดการณ์ไม่ใช่เหรอค่ะ ไม่แน่ว่าหากดิฉันถอดถุงมือออกอาจจะเป็นเพียงแค่มือธรรมดาก็ได้นะคะ แถมตอนนี้ก็ถูกคุณพันธนาการไว้อยู่ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะถอดถุงมือนี้ออกได้หรอกค่ะ”
“ไม่หรอก ฉันเชื่อว่าเธอถอดมันได้ตลอดตามที่เธอต้องการจะถอดมัน ลางสังหรณ์ของฉันไม่เคยพลาดหรอกนะ เพราะงั้นล้มเลิกความคิดที่จะถอดถุงมือซะ!! ไม่งั้นฉันจะฆ่าเจ้านายของเธอเดี๋ยวนี้แหละ!!”
มิเนล่าจ้องเจมินี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น ต่างจากตอนแรกที่เธอยังคงความเยือกเย็นเอาไว้จนถึงที่สุดอยู่ แม้จะถูกตรึงอยู่ก็ตาม ทางมิราจที่ถูกจับตัวไว้ก็เริ่มไหล่สั่นเทาขึ้นแรงเรื่อยๆ
“อุ..ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างบ้าคลั้งโดยที่ไม่เกรงกลัวเลยว่าตัวเองจะถูกเข็มปักไปที่คอเลยแม้แต่น้อย
“ฮ่าๆๆ..เฮ้อ..โดนเล่นซะแล้วสิ เธอนี้สุดยอดจริงๆเลยนะ แม่สาวเสียงหวาน สามารถทำให้เหล่าเมดที่น่ารักของฉันจนมุมได้ถึงขนาดนี้ แม้จะยังขาดไปอีก2คน แต่นี้มันเกินความคาดหมายของฉันไปมากเลยนะเนี้ย!!”
“แล้วสรุปจะเอายังไงละ? จะยอมแพ้แต่โดยดี หรือปล่อยเหล่าเมดของนายมีแผลเป็นทั้วร่างกายดีละ”
“อ่า ยอมแพ้แล้วละ ชัยชนะเป็นของเธอแล้วแม่สาวเสียงหวาน ฉันไม่คิดจะทำอะไรพวกเธอสองคนอีกแล้วละ”
“งั้นก็”
เจมินี่คลายด้ายทั้งหมดออกเหล่าเมดเองจึงค่อยๆ ลงมาที่พื้นในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
“เธอปล่อยพวกนั้นไปแล้ว ไม่คิดจะปล่อยฉันบ้างรึไง”
“มันไม่มีอะไรมารับประกันว่าถ้าฉันปล่อยนายไป ฉันจะไม่โดนพวกเมดของนายฆ่าเอานะสิ”
“เรื่องนั้นเองเหรอ ท่างั้นละก็ เหล่าเมดที่น่ารักของฉันหลังจากนี้ไปห้ามโจมตีแม่สาวเสียงหวานคนนี้เป็นอันขาด!!”
“แต่ว่า นายท่านค่ะ ยัยนั้นมันเป็นตัวอันตรายนะคะ”
“นี้คือคำสั้ง!! ท่าใครขัดขืนละก็เจอดีแน่!! เข้าใจไหม!!”
“”””ค่ะ นายท่าน””””
เมดทั้งหมดขานรับคำสั้งของมิราจพวกเธอทั้งหมดวางอาวุษลงและกลับไปอยู่ในท่าเตรียมปกติตามเดิมของพวกเธอ
“เธอชื่ออะไรเหรอ? แม่สาวเสียงหวาน”
“นั้นสินะ..ในเมื่อไม่ใช่ศัตรูกันแล้วละก็ จะขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการหน่อยละกัน ชื่อของฉันคือ เจมินี่ เป็นช่างตัดเย็บและเจ้าของร้านลาฟฟี่ที่หมู่บ้านบอเดอร์วูฟนะ คิดว่าเร็วๆ นี้จะมาเปิดสาขาที่นี้ ฝากอุดหนุนร้านของฉันด้วยละ ชุดเมดเราก็มีบริการตัดเย็บด้วยนะ”
“นี้เธอ..ทำอาชีพสุจริตจริงๆเหรอเนี้ย.. ไม่ค่อยน่าเชื่อเลยแหะ”
“แล้วคิดว่าฉันทำอาชีพอะไรละ”
“ก็เธอเล่นมีฝีมือจนสามารถลงมือโดยที่ฉันไม่รู้ตัวได้เลยนี้น่า ก็เลยหลงนึกว่าเธอเป็นพวกนักฆ่าซะอีก”
“จะมีฝีมือขนาดไหนฉันก็ไม่คิดจะไปทำงานสกปรกแบบนั้นหรอก แค่ฉันได้ทำชุดดีๆออกมาทำให้ผู้คนมีความสุข ฉันก็พอใจแล้วละ”
“พูดได้โดนใจฉันดีนี้ ถ้าเธอไม่มีไทเอลเป็นคู่แล้วละก็ ฉันคงจะเอาเธอเป็นหนึ่งในผู้หญิงของฉันแล้วละนะ”
“นายนี้พูดจาบ้าบอสิ้นดีเลยนะ ทั้งๆที่ยังไม่เห็นหน้าของฉันเลยแท้ๆ แต่กลับจะเอาฉันเข้าฮาเร็มนายแล้วเนี้ยนะ?”
“งั้นก็ลองใบ้หน้าตาของเธอมาคร่าวๆหน่อยสิ แม่สาวเสียงหวาน เผื่อฉันจะได้จิตนาการใบหน้าของเธอได้ถูกต้อง”
“ของแบบนั้นฉันเองก็อธิบายไม่ถูกหรอกนะ.. แต่ถ้าให้ยกตัวอย่างที่ใกล้เคียงคงมีหน้าตาน่ารัก เหมือนคุณเมดถุงมือตรงนั้นละมั้ง”
“กล้าเคลมว่าตัวเองน่ารักเทียบเท่ากับมิเนร่าอย่างงั้นเหรอ ใจกล้าดีนี้ ท่างั้นให้ฉันชมใบหน้าของเธอหน่อยสิ ว่ามันจะเหมือนที่เธอพูดไหม”
“จ้าๆ แล้วก็อย่ามาผิดหวังซะละ ที่หน้าตาของฉันมันสู้กับสาวๆในฮาเร็มของนายไม่ได้เลยนะ”
เมื่อพูดจบเจมินี่ก็ปล่อยมือออกจากคอของมิราจและถอยห่างออกไปเล็กน้อยเพื่อเว้นช่องว่างเอาไว้ ทางมิราจเองก็ค่อยๆ หันกลับไปมองตามที่เขาพูดเอาไว้ทันที
“แม่สาวเสียงหวานนี้เธอ!!..”
“มีปัญหาอะไรกับหน้าตาของฉันรึไง ถ้ามาบอกว่าไม่น่ารักละก็ นายโดนตบแน่ ฟังนะต่อให้ต้องโกหก ก็ต้องบอกว่าผู้หญิงคนนั้นน่ารัก นั้นนะมันเกี่ยวความมั้นใจในตัวเองของผู้หญิงเชียวนะ ผู้ชายอย่างนายคงไม่เข้าใจมันหรอก”
“ไม่หรอก ฉันเข้าใจแล้วละ.. เธอนะน่ารักมากๆ เลย แม่สาวเสียงหวาน”
“อะไรกันก็เข้าใจดีนี้น่า ถ้างั้นพวกฉันขอตัวกลับก่อนนะ เดี๋ยวละครมันก็จบแล้ว ฉันต้องรีบไปหาเด็กๆแล้วละ เอาไว้อย่าลืมมาอุดหนุนร้านของฉันด้วยนะคะ คุณลูกค้าในอนาคต”
ในขณะที่เจมินี่กำลังจะเดินไปหาไทเอลที่ยังคงนั้งยิ้มอยู่กับที่ไม่ไปไหนเลย เธอก็ถูกคว้ามือไว้ก่อนโดยมิราจ
“มีอะไรอีกละ ท่าจะเรื่องของที่แบล็คขโมยนายไปละก็ เอาไว้ฉันเจอหน้ายัยนั้นเมื่อไหร่ ฉันจะจัดการให้ ไม่ต้องห่วงไปหรอก นายจะได้ของคืนแน่ๆ ถึงจะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ก็เถอะ”
“เรื่องนั้นยังไงก็ช่างเถอะ ตอนนี้มันมีเรื่องที่สำคัญนั้นต้องบอกเธอ”
“อะ..อะไรของนาย จู่ๆ มาทำหน้าตาจริงจังแบบนี้ คิดจะทำอะไรกันแน่”
“แม่สาวเสียงหวาน..ไม่สิ เจมินี่”
เขาค่อยๆ คุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้าเจมินี่ ซึ่งทำให้เธอสับสนและยิ่งระแวงยิ่งกว่าเดิม เธอจึงสร้างเข้มเวทมนต์ขึ้นมาไว้ในมือ เพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน
“แต่งงานกันเถอะ”
“ห๊า?”
“ฉันตกหลุมรักเธอแล้วละ ได้โปรดมาเป็นเมียของฉันเถอะ”
“พูดบ้าอะไรของนายเนี้ย? ถ้าจะมาล้อเล่นก็น้อยๆหน่อยเถอะ และก็ปล่อยมือฉันได้แล้ว คนยิ่งรีบๆอยู่”
“นี้คือแหวนประจำตระกูลดาคราฟที่ฉันได้รับมาจากพ่อ พวกเราจะมอบมันให้กับผู้หญิงที่เรารักอย่างสุดหัวใจเท่านั้น จากนี้ไปแหวนวงนี้จะเป็นของเธอแล้ว”
“ไม่เอายะ!! ที่สำคัญฉันไปรักกับนายตอนไหนไม่ทราบ?”
“เธอจะเขินก็ไม่แปลก นี้ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่มาขอผู้หญิงแต่งงานแบบนี้”
“ใครเขิน? ถามจริง นายบ้ารึเปล่า ก็บอกไปอยู่หยกๆ ว่าฉันไม่ได้รักนาย ฉันมีคนรักของฉันอยู่แล้ว แถมยังมีลูกแล้วด้วย นายเอาสมองที่ไหนมาคิดว่าฉันจะแต่งงานกับคนที่พึ่งเจอกันไม่ถึง1ชม.นะ”
“เรื่องเวลากับอดีตไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญตอนนี้ก็คือฉันรักเธอก็พอ”
“คิดจะทำอะไรของนายเนี้ย!! เอาแหวนของนายออกไปเดี๋ยวนี้นะ!! ไอ้บ้ากาม!!”
เจมินี่โวยวายออกมาทันทีที่มิราจใส่แหวนไปที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ ซึ่งใส่แหวนเอาไว้อยู่แล้ว
“ก็รู้อยู่นะครับ ว่าคุณกำลังมีความสุข แต่ผมคงต้องขอตัวคู่ของผมคืนแล้วละครับ”
บึ๋ม!!!
“ตาช้านนน!!!!!”
หลังจากที่ไทเอลพูดจบก็เกิดเสียงดังขึ้นและแสงสว่างจนทำให้คนรอบๆ รวมถึงเหล่าเมดสูญเสียการมองเห็นไปสักพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมามองเห็นอีกครั้งก็พบว่าไทเอลกับเจมินี่ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
“”””นายท่านค่ะ!!””””
เหล่าเมดพูอย่างพร้อมเพรียงและกู่มาทางมิราจทันทึ
“มะ..ไม่เป็นไรก็แค่แสบตานึดหน่อยเท่านั้น ไม่ใช่ปัญหาอะไรมากหรอก”
“แต่เมื่อสักครู่นายท่านร้องเสียงดังมากเลยนะคะ แน่ใจจริงๆเหรอ ว่าไม่เป็นอะไร”
“โฮ่ นี้เธอเป็นห่วงฉันขนาดนี้เลยเหรอมิเนล่า?”
“ดิฉันก็แค่เป็นห่วงในฐานะเมดประจำตระกูลเท่านั้นค่ะ ไม่มีอะไรอย่างอื่น–ว้าย!!!”
มิเนล่าที่พยามอธิบายอยู่นั้น ก็ถูกดึงให้เข้ามาซบที่อกของมิราจทันที
“แน่ใจเหรอ? ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนที่หึงฉันที่สุดจนปล่อยจิตสังหารใส่เจมินี่เลยไม่ใช่รึไง”
“ดิฉันไม่ได้–อุ๊บ!!!”
มิราจก็จับเธอมาจูบก่อนที่เธอจะได้พูดจบ ลิ้นของของเขาสอดใส่เขาไปในปากของเธอและละเลงมันไปทั้ว มือของเขาก็บีบไปที่ของเธออย่างนุ่มนวล จนทำให้มิเนล่าครอบเคลิ้มกับมันจนไม่อาจถอนตัวได้
“ช่างเป็นเด็กไม่ดีเลยนะมิเนล่า ท่าหึงก็แค่บอกมาตรงๆสิ เธอก็น่าจะรู้ดีนี้ ว่าฉันไม่ชอบคนโกหกนะ”
“ขออภัคด้วยค่ะ นายท่าน.. ดิฉันได้ทำผิดพลาดไปอย่างใหญ่หลวง ได้โปรดลงโทษมิเนล่าคนนี้ด้วยเถอะค่ะ”
“มิเนล่า ขี้โกง!! วันนี้เป็นวันของฉันนะ!! เมื่อวานเธอก็สนุกกับนายท่านจนเช้าแล้วไม่ใช่รึไง!!”
“ใช่แล้ว!! ต่อให้เป็นพี่สาวมิเนล่าพวกเราก็ไม่ยอมให้ลัดคิวหรอกนะ”
“…..”
เหล่าเมดโวยวายใส่มิเนล่าที่พยามจะลัดคิวพวกเธอ เกิดประท้วงนั้นเกิดขึ้นโดยที่มีมิราจอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง
“พอถึงเรื่องนี้พวกเธอชอบทะเลาะกันอยู่เรื่อย ให้ตายสิ.. หัดฟังสิ่งที่เจ้านายตัวเองจะพูดกันหน่อยสิ”
“”””ค่ะ””””
“ก่อนอื่นเลยนะ มิเนล่ากับนาฟพวกเธอปล่อยให้ตัวไปตามอารมมากเกิน จนละเลยไทเอลที่จ้องหาโอกาสจากพวกเธออยูู่ จนทำให้พวกเธอหนีไปได้ หากตอนนั้นเจมินี่ใช้โอกาศนั้นฆ่าฉันละก็ฉันคงไม่รอดแล้วละ รู้รึเปล่า”
“เรื่องนั้นต้องขออภัคด้วยค่ะ นายท่าน ถ้าตอนนั้นฉันไม่เผลอลดมีดไปละก็…”
“ไม่ค่ะ คุณทำหน้าที่ได้ดีแล้ว ดิฉันที่ควรจะจับตามองท่านไทเอลก็เผลอปล่อยตัวตามอารมเกินไป จนเผลอละสายตาไปพักใหญ่ นี้ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของดิฉันค่ะ”
“เอ้าๆ อย่าพึงเถียงกันสิ ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ”
“”ขออภัคด้วยค่ะ นายท่าน””
“ส่วนวีวี่กับมีมี่ แม้พวกเธอ2คนจะพลาดถูกเจมินี่ตรึงไว้เหมือนคนอื่นๆโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ในจุดอื่นๆถือว่าทำได้ดีมาก”
“ขอบคุณค่ะนายท่าน จากนี้ไปพวกเราสองพี่น้องจะปรับปรุงให้ดีกว่านี้ค่ะ!!”
“อือๆ”
“ดีมาก แต่ถึงอย่างงั้นความผิดที่พวกเธอทำพลาดยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นคืนนี้พวกเธอเตรียมใจเอาไว้ให้ดีละ”
“””ค่ะนายท่าน”””
“อือๆๆ!!”
เหล่าเมดพูดอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยเฉพาะมีมี่ที่แม้จะพูดไม่ได้แต่กลับดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ
“นายท่านค่ะ ดิฉันมีเรื่องที่อยากจะถามท่านสักข้อได้ไหมค่ะ”
“ว่ามาสิมิเนร่า”
“ตอนที่ท่านไทเอลใช้เวทแสงนั้น ดิฉันสัมผัสได้ถึงพลังเวทอันน้อยนึด แต่นั้นไม่ใช่เวทแสงแน่นอน นั้นมันอะไรกันค่ะ นายท่าน”
“นั้นสินะ เรื่องนั้นเองฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันคงเป็นสิ่งประดิษเวทมนต์ละมั้ง”
มิราจพูดพร้อมหยิบแผ่นยางสีดำที่เคยเป็นทรงกลมมาก่อน
“อย่างงั้นเหรอค่ะ ไม่คิดเลยว่าเจ้าลูกกลมๆ นั้นจะสามารถทำให้พวกเราตาพร่าไปชั่วขณะได้ คงต้องประเมินท่านไทเอลใหม่แล้วสินะคะ”
“ชอบจริงจังอยู่เรื่อยเลยนะ มิเนร่า หัดผ่อนคลายซะบ้างสิ”
“อร๊าง…นะ..นายท่าน ตรงนี้ไม่ได้นะคะ”
มิราจล้วงมือเข้าไปในผ้ากันเปื้อนของมิเนร่าและลูบไล้หน้าอกของมิเนร่า จนทำให้เธอเผลอครางออกมา
“เจมินี่..ผู้หญิงคนแรกที่เข้าข้างหลังฉันได้และเป็นคนแรกที่ทำให้ฉันคนนี้ต้องเอ่ยปากขอเธอแต่งงาน.. ในสักวันฉันจะทำให้เธอกลายเป็นเมียของฉันให้ได้ เตรียมใจไว้ดีเถอะ เจมินี่!! ฉันไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆแน่!!”
.
.
.
.
.
.
“ฮัดจิ้ว!!!”
เจมินี่จามออกมาในขณะที่กำลังเดินอยู่ที่ตลาดกับไทเอล
“เป็นหวัดเหรอครับคุณเจมินี่”
“ไม่หรอกหม่าม๊า แม่ยังสบายดี ที่จามสกสัยจะเพราะโดนนินทาโดยพวกคุณเมดพวกนั้นละมั้ง”
“ถ้าประเมินจากสายตาจากเหล่าเมดที่มองคุณละก็ ก็อาจจะเป็นไปได้นะครับ”
“ใช่มะสายตาพวกนั้นน่ากลัวมากๆเลยละ ขนาดหม่าม๊ายังไม่ค่อยมั้นใจเลย ว่าพวกนั้นจะแอบตามมารึเปล่า”
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ผมยิ่งกังวลเรื่องนั้นอยู่ด้วย”
“นั้นสินะ ก็พวกนั้นเล่นปราบหม่าม๊าซะอยู่หมัดเลยนี้น่า เอาซะหม่าม๊าทำอะไรไม่ได้เลยนี้นะ”
“ก็ผมไม่รู้ ว่าพวกนั้นจะอันตรายขนาดนั้นนี้ครับ”
“นั้นก็เพราะหม่าม๊าประมาทเกินไปยังไงละ พอเห็นอะไรน่าสนใจเข้าหน่อยก็พุ่งเข้าใส่ตลอด ไม่ได้สนใจว่ามันอันตรายเลยว่ามันอันตรายขนาดไหน ก็เพราะมีนิสัยแบบนั้นก็เลยทำให้แม่เป็นห่วงอยู่เรื่อย หัดห้ามใจให้มากกว่านี้หน่อยสิ ถ้าแม่ไม่ไปช่วยป่านนี้หม่าม๊าโดนไอ้บ้ากามนั้นลวนลามไปแล้วนะ”
“อุ..เรื่องนั้นก็ต้องขอโทษด้วย..”
“แค่ขอโทษยังไม่พอหรอกนะ รู้ไหมว่ามันลำบากขนาดไหนกว่าจะคล้องดายไปทั้วห้องได้โดยที่พวกนั้นไม่รู้ตัวได้นะ แถมยังโดนไอ้หมอนั้นใส่แหวนทับแหวนแต่งงานของพวกเราอีก น่าเจ็บใจชะมัด”
“จะว่าไปแหวนที่ท่านบารอนให้ไปไหนแล้วละครับ?”
“วางทิ้งไว้แถวๆนั้นตอนที่ออกมานั้นแหละ ขืนเอากลับมาด้วยมีหวังโดนตามไม่เลิกแน่ๆ”
“ก็คงอย่างงั้นละมั้งครับ ว่าแต่คุณอาการดีขึ้นรึยังครับ”
“ก็จิบซุปเปอร์โพชั่นไปแล้วยังไงก็ต้องดีขึ้นอยู่แล้วละ ใครจะไปรู้ละว่าหมอนั้นจะไวถึงขนาดนั้นนะ ทั้งที่เป็นแค่ไอ้บ้ากามโรคจิตแท้ๆ”
เจมินี่พูดพร้อมลูบไปที่ท้องน้อยของเธอเบาๆ ในตอนที่เธอล็อคตัวมิราจได้เธอถูกเขาจู่โจมเข้าที่สีข้างอย่างจังจนกระดูกร้าวไปนึดหน่อย
“ไม่คิดเลยนะครับ ว่าจะมีคนที่สามารถตอบโต้คุณทันทีได้ น่าเหลือเชื่อมากๆเลยละครับ”
“เลิกพูดเรื่องของหมอนั้นเถอะ หม่าม๊าเองก็บาดเจ็บอยู่ไม่ใช่รึไง ไม่จิบโพชั่นสักหน่อยจะดีเหรอ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ก็แค่แผลมีดบาดเล็กน้อยไม่ได้นลึกอะไรมาก เดี๋ยวอีกสักพักก็คงหายแล้วละครับ”
“ให้ตายสิหม่าม๊าดื้อไม่เข้าเรื่องอีกแล้ว อย่างน้อยก็เอาน้ำลายแตะๆมันหน่อยก็ยังดี”
“แม้น้ำลายจะช่วยฆ่าเชื่อและยับยั้บเชื่อโรคได้ก็จริง แต่นั้นก็เพียงในช่องปากเท่านั้น ถ้าเอาน้ำลายมาป้ายกับแผลภายนอกอาจจะทำให้แผลติดเชื่อเอาได้นะครับ”
“งั้นคงต้องลองพิสูจน์ซักหน่อยแล้วสิ”
เจมินี่เขย่งเท้าเนื่องจากส่วนสูงที่แตกต่างกันของพวกเธอ เจมินี่ค่อยๆ ใช้ลิ้นของเธอเลียไปที่แผลที่คอของไทเอล ก่อนที่จะค่อยใช้ริมฝีปากของตัวเองดูดไปต้นคอของไทเอลจนมีรอยแดงเล็กๆ เกิดขึ้น โดยที่ไม่ได้สนใจคนที่ผ่านไปมาเลยแม้แต่น้อย
“คุณเจมินี่ที่นี้มันที่สาธารณะนะครับ”
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย นี้ก็ผ่านมาตั้งเดือนกว่าๆแล้วนะที่เราไม่ได้ทำกัน แค่นึดๆหน่อยเองให้แม่คลายเหงาหน่อยไม่ได้รึไง”
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่แบบนี้จะไม่แย่เอาเหรอครับ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ยังไงพรุ้งนี้เราก็จะกลับกันแล้ว คนพวกนั้นจำเราไม่ได้หรอก ถือซะว่าเป็นรางวัลที่แม่ช่วยหม่าม๊าออกมาได้ไง อืมม~”
เจมินี่ไซไปที่ต้นคอของไทเอลอีกครั้ง และใช้มือข้างหนึ่งจับไปที่หน้าอกของไทเอล ผู้คนที่สัญจรต่างก็หยุดมองพวกเธอกันเกือบทั้งหมด แต่ถึงยังไงตัวไทเอลเองก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีอารมร่วมเท่าไหร่นัก
“ก็จริงอยู่ที่คนพวกนั้นอาจจะจำเราไม่ได้ แต่คนที่ต้องกลับไปกับเรามันก็อีกเรื่องนะครับ”
“เอ๋?”
เมื่อได้ยินดังนั้นเจมินี่เองก็หันกลับไป ก็พบกลุ่มมีเรียที่กำลังปิดตาคาลและดรีมอยู่พร้อมกับหัวเราะแห้งๆ ส่วนเรย์แม้จะทำเหมือนปิดตาอยู่แต่ก็แอบมองสถานการณ์ผ่านร่องนิ้วของตัวเองอยู่ เทลเองก็มองทั้งสองที่กำลังคนด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อและดูสนใจเป็นพิเศษกับการกระทำของทั้งสองเป็นพิเศษ
“เอ่อ..ไม่ใช่ว่าตอนนี้กำลังอยู่กันที่โรงละครกันเหรอค่ะ คุณมีเรีย”
“ฉันกับพวกเด็กๆเป็นห่วงคุณเจมินี่กับคุณไทเอลที่กลับมาช้านะคะ หลังจากละครจบก็เลยลองมาหาที่ตลาดดูเผื่อทั้งสองกำลังซื้อของฝากกันอยู่ ไม่คิดมาก่อนเลยนะคะ ว่าคุณเจมินี่จะเป็นคนที่ใจกล้าแบบนี้..”
“มะ..ไม่ใช่นะคะ!! นั้นไงคะ!! ไทเอลเธอโดนแมลงที่มีพิษกัดเข้าที่ต้นคอ ฉันก็เลยดูดพิษให้เท่านั้นเองค่ะ!! ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเลย!! จริงๆนะคะ!!”
“ผมว่าคุณยิ่งพูดยิ่งแย่นะครับ”
“หุบปากไปเลยหม่าม๊า!! ถ้าไม่คิดจะช่วยกันก็อยู่เฉยๆไปเลย!!”
“ครับ..”
ไทเอลดูจ๋อยทันทีที่โดนเจมินี่ดุ แม้เธอจะไม่ได้ทำอะไรผิดเลยก็ตาม
“เดี๋ยวฉันจะพาพวกเด็กๆกลับไปที่โรงแรมก่อนนะคะ เชิญพวกคุณเที่ยวกันให้สนุกกันเถอะค่ะ”
“ไม่ไรเป็นค่ะ!! เที่ยวด้วยกันสนุกกว่าตั้งเยอะ!! อีกอย่างพวกเด็กๆเองดูละครเสร็จคงอยากกินของหวานแล้วใช่มั้ยจ๊ะ? อยากกินอะไรก็เต็มที่กันเลยเรื่องเงินเดี๋ยวฉันจ่ายเอง!! ว่าไงสนใจไหมจ๊ะ!!”
“หนูไม่หิวแล้วละ เชิญคุณเจมินี่กับคุณหม่าม๊าไปกินด้วยเถอะ จริงไหมพี่”
“อะ!! ชะ..ใช่แล้วค่ะ!! เดี๋ยวพวกหนูจะกลับไปที่โรงแรมแล้วละค่ะ เรื่องของหวานอะไรนั้นหนูกินไม่ลงหรอกค่ะ!!”
แม้จะลนลานไปหน่อยที่ถูกเทลโยนมาให้อย่างกระทันหัน แต่เธอก็ยังคงตอบได้ดีอยู่ในระดับหนึ่ง
“เอ๋!! แต่ดรีมอยากกินของหวานอ่า~!!”
“ไม่เป็นไรๆ ที่โรงแรมก็มีเค้กตั้งเยอะแยะ เดี๋ยวมาแบ่งกินกันกับคาลดีกว่านะ”
“จริงเหรอ!!”
“จริงสิ คาลไม่เคยหลอกดรีมหรอกนะ มากินแล้วมาเล่นด้วยกันดีกว่า”
“ว้ายๆๆ!! คาลใจดีที่ซู้ด!!”
คาลเองก็เหมือนจะรู้งานเบี่ยงเบนความสนใจของดรีมทันที
“เหมือนพวกเด็กๆจะอยากกลับโรงแรมกันมากกว่านะคะ ถ้างั้นฉันขอตัวพาเด็กๆกลับไปก่อนนะคะ ส่วนคืนนี้ให้คาลมานอนกับพวกฉันเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงว่าจะมีใครไปกวนพวกคุณแน่นอนคะ”
“ไม่ใช่นะคะ นี้นะก็แค่–“
“ในเมื่อเข้าใจกันตามนี้พวกฉันก็ขอตัวก่อนนะคะ”
มีเรียหันหลังกลับไปทันทีพร้อมกับพวกเด็กๆทันที โดยปล่อยให้เจมินี่ที่พยามจะแก้ตัว ทิ้งเอาไว้ให้อยู่กับไทเอลตามที่พวกเธอต้องการ
“ภาพพจน์คุณแม่แสนใจดีของฉัน..จบสิ้นแล้ว”
เจมินี่ลงไปคุกเข่าและอยู่ในท่าOvz ด้วยความรู้สึกที่สิ้นหวัง ภาพพจน์และภาพความประทับใจของเด็กๆในตัวเธอ มันคงต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลแน่นอน
“ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของหม่าม๊าคนเดียวเลย!!”
“เอ๋?”
“ยังจะมา’เอ๋’อีก ก็หม่าม๊ามาอ่อยแม่จนทำให้แม่ควบคุมตัวเองไม่ได้.. ไหนจะชุดที่เปิดเผยหน้าอกมากเกินจำเป็นนั้นด้วย ทั้งหมดมันเป็นความผิดของหม่าม๊านั้นแหละ”
“ผมเข้าใจว่าาคุณกำลังหงุดหงิด แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ แถมชุดนี้คุณเจมินี่ก็เอามาใส่ให้ผมเองนะ ผมไม่ได้อยาก–“
“หนวกหู!! แม่บอกผิดก็ผิดสิ!! ก้มหน้ารับความผิดและขอโทษมาซะดีๆ!!”
“แต่ว่า–“
“ท่ายังกล้าเถียงอีก งานนี้ไม่ใช่แค่หักกระดูกหรอกนะ”
กร๊อบ!!ๆ
เจมินี่พูดพร้อมดัดมือตัวเองจนเกิดเสียงดัง ทางไทเอลที่เห็นดังนั้นก็เริ่มหน้าซีด ความทรงเจ็บปวดที่โดนดัดกระดูกตอนนั้นย้อนกลับมา มันเป็นความเจ็บปวดที่แสนจะเกินบรรยาย และเธอไม่อยากจะเจ็บแบบนั้นอีกแล้ว
“ขะ..ขอโทษด้วยครับ!! ทั้งหมดเป็นความผิดผมเองที่ไปอ่อยคุณคร้าบบบบ!!”
ไทเอลเลือกที่จะก้มหัวขอโทษ แม้เธอจะรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย