ป่ะป๊าจ๋า หนูมาแล้ว - ตอนที่ 69 ป่าปี้ ทำนายได้แม่นมาก
เยี่ยจิงเฉินยังคงไม่ไหวติงและถามด้วยท่าทางรังเกียจ: "หูหนวกรึไง?"
“เยี่ยจิงเฉิน คุณทำเกินไปแล้ว ทำไมคุณถึงทำกับฉันแบบนี้”จ้าวหลินมองไปที่เยี่ยจิงเฉินอย่างไม่สามารถควบคุมสีหน้าได้
“ดีมาก เธอทำให้ฉันพูดเป็นครั้งที่สามได้สำเร็จ ไสหัวไป”
ทำไมคุณทำ…….ฉันจะไม่ไปไหน คุณคิดว่าร้านอาหารแห่งนี้เป็นของคุณเหรอ คุณมีสิทธิ์อะไรมาพูดแบบนี้”
“เธอพูดถูก ร้านนี้เป็นของฉันเอง”
จ้าวหลิน :………………..
เยี่ยจิงเฉิน:ในฐานะที่เป็นเยี่ยจิงเฉินเขาจึงพูดออกมาอย่างมั่นใจมาก
“ฮือๆๆๆ…….”จ้าวหลินหน้าถอดสี และร้องไห้ออกมา
เยี่ยจิงเฉินมองผู้หญิงคนนี้อย่างรำคาญ เป็นผู้หญิงแต่ให้ความรู้สึกที่ต่างกันมากเลย
เขารำคาญความจุกจิกพวกนี้ของพวกผู้หญิงมากๆ เขาหยิบบัตรจากกระเป๋าสตางค์ออกมาวางบนโต๊ะ ยืนขึ้นและแยกส่วนพับของชุดสูทที่ตัดเย็บออกมา และไม่คิดจะใส่ใจผู้หญิงคนนี้ที่ทำให้เขารู้สึกรำคาญอีกต่อไป เพราะเขาต้องกลับไปสะสางผู้หญิงคนนั้นเสียก่อน
จ้าวหลินมองไปที่บัตรเครดิตบนโต๊ะ กัดริมฝีปาก หยิบบัตรเครดิตและรีบตามเยี่ยจิงเฉินไปทันที
เยี่ยจิงเฉินยืนอยู่ที่เดิม มองผู้หญิงบ้าคนนี้
“คุณหมายความว่าอะไร”จ้าวหลินถือบัตรเครดิตของเยี่ยจินเฉินไว้ในมือ ด้วยใบหน้าที่ดื้อรั้น เธอโยนบัตรเครดิตใส่เยี่ยจินเฉิน จนไปกระทบร่างของเยี่ยจินเฉินและหล่นลงบนพื้นด้วยเสียงดัง “คุณคิดว่าตัวเองมีเงินแล้วจะดูถูกใครก็ได้เหรอ ฉันไม่ได้รวยเท่าคุณ แต่คุณก็ไม่มีสิทธ์เอาเงินมาตัดสินฉัน เอาบัตรเครดิตเน่าๆของคุณคืนไป พวกเศรษฐีใหม่อย่างคุณ ฉันไม่อยากใช้เงินสกปรกของคุณ”
การแสดงออกบนใบหน้าของเยี่ยจินเฉินดูอ่อนลงเล็กน้อย
นี้เป็นครั้งแรกที่เขาเจอคนด่าแบบนี้ แต่พฤติกรรมของเธอทำให้เยี่ยจินเฉินรู้สึกสมเพสได้สำเร็จ
เขาทั้งขำและทั้งโกรธ ผู้หญิงคนนี้ดูละครมากไปเหรอ (ในฐานะป่าปี้ที่เป็นท่านประธานระดับไฮเอนด์ พอจะรู้ว่าเป็นพล็อตในละครน้ำเน่าตอนสองทุ่ม ไม่สำนึกหน่อยหรอว่าตำแหน่งเขาเป็นถึงประธาน )
เยี่ยจินเฉินกัดริมฝีปาก สีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจเพื่อแก้ปัญหาความสับสนของจ้าวหลิน และเขาก็สอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
เห็นได้ชัดว่าเขาทำตัวพาล แต่ใบหน้าอันหล่อเหลาที่ดุร้ายของเขา พร้อมกับใบหน้าที่ไร้ที่ติของเขานั้น มันทำให้เขายิ่งเหมือนรูปปั้นมากขึ้นไปอีก
ดวงตาของจ้าวหลินมุ่งมั่นขึ้น เธออยากคบกับผู้ชายคนนี้ คนที่คู่ควรกับเธอ (ตื่นก่อนมั้ยแม่สาวน้อย)
“บัตรใบนั้นไม่ได้ให้เธอ นั่นเป็นบัตรที่ฉันจะจ่ายเงินต่างหาก” เยี่ยจินเฉินไม่แม้แต่จะมองบัตรเครดิตที่เท้า และพูดต่อว่า “แต่เธอก็หยิ่งในศักดิ์ศรีขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นค่าอาหารส่วนนั้นเธอก็จ่ายเองเถอะ ฉันคิดว่าคุณคงไม่ต้องการเงินสกปรกจากเศรษฐีใหม่อย่างฉัน”
สีหน้าจ้าวหลินซีดลงด้วยความตกใจ
เยี่ยจินเฉินยังคงเฉือดเฉือนด้วยคำพูดต่อไป “ละครพวกนั้นดูให้น้อยหน่อยก็ดีนะเพราะมันจะทำให้ไอคิวของเธอลดลง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะสายไปหน่อยแล้วล่ะนะ”
จ้าวหลิน : ฉันคือคุณหนูตระกูลจ้าวเข้าใจไหม ?
อย่าคิดว่าตัวเองเป็นประธาน แล้วจะมาดูถูกเธอได้ตามใจชอบนะ
ถังซินเหยาใช้เวลาในช่วงพักกลางวัน อ่านเอกสารชุดนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง
ตอนนี้เธอไม่รู้ว่า เพราะคำพูดเหลวไหลของฟางอี้เฉิงและจ้าวหลิน ทำให้ป่าปี้โกรธเธออีกแล้ว
เธอเหมือนต้องลงไปอยู่ในน้ำเดือดอีกครั้ง
"เลขาถัง คุณอ่านแพลนเล่มนี้จบรึยัง คุณคิดว่าผมควรจะทำยังไง”
ถังซินเหยารู้สึกอึดใจจริงๆ เธอไม่สะดวกใจที่จะทำหน้าที่นี้แทนลี่เวยแล้วล่ะ
เธออยากจะพูดออกมาจริงๆ ว่างานเลขาของประธานใหญ่นั้นไม่เหมาะกับคนอย่างเธอเลยสักนิด
เธอเพียงแค่อยากเป็นนักออกแบบอยู่เงียบๆคนเดียวเท่านั้น
"ฉันคิดว่าแพลนของบริษัทเตียนเฟิงคิดออกมาได้อย่างสร้างสรรค์มากๆค่ะ เนื้อหาในแพลนก็มีสิ่งใหม่ๆที่น่าสนใจเยอะด้วย" ถังซินเหยาพูดในสิ่งที่เธอได้ตรวจสอบมาอย่างคร่าวๆออกไป พร้อมกับยื่นมันให้เยี่ยจิงเฉินแล้วก็พูดต่อไปว่า : "ถึงแม้ว่าการทำอสังหาริมทรัพย์มันจะเป็นที่นิยม แต่บริษัทหลายๆบริษัทก็ทำมันไม่ได้ตามเป้าที่กำหนดและไม่ได้ทำอย่างต่อเนื่องนะคะ อีกอย่างการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มันไม่ได้น่าทำแบบเมื่อหลายปีที่ผ่านมาแล้วด้วย เพราะฉะนั้นต้องคิดหาบริษัทที่เป็นหนึ่งในบริษัทที่นอกจากจะแบรนด์แล้วก็ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ด้วย แล้วถึงแม้บริษัทเตียนเฟิงจะไม่ได้โด่งดังเท่าเยี่ยหวง แต่โครงการหลายปีมานี้ของเตียนเฟิงก็ใช้ได้เลยนะคะ ฉันคิดว่าครั้งนี้บริษัทเตียนเฟิงเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยค่ะ"
เธอน่ะเก่งมาก เธอเป็นผู้หญิงที่ทั้งคิดก่อนพูดและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
เธอน่ะซึ้งจนแทบจะร้องไห้เลยล่ะ
เธอเป็นสาวแห่งโลกซาบซึ้งไปแล้วล่ะ
สายตาคมดำของเยี่ยจิงเฉินจ้องมองมาที่ริมฝีปากของเธอ เขาเม้มปากพร้อมกบใช้มือขวาของเขาบีบเม้าส์จนมันแทบจะแหลกเป็นเสี่ยงๆแล้ว
"อ๋อ?" เยี่ยจิงเฉินยกยิ้มขึ้นมาทำให้เห็นส่วนโค้งของริมฝีปากของเขาขึ้นมา เขาใช้คำพูดที่อ่อนโยนถามถังซินเหยาไปว่า : "เธอกำลังหมายความว่าฉันควรจะส่งcaseนี้ให้แฟนเธอเป็นคนจัดการงั้นหรอ? อย่างงี้เป็นการแพร่ข้อมูลให้คนนอกน่ะสิ"
ถังซินเหยาถึงกับขนลุกไปทั้งตัว ป่าปี้เป็นอะไรไปน่ะ?
อ่อนโยนแบบนี้มันไม่ใช่สไตล์ของคุณเลยสักนิด
"ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นค่ะ มันเป็นแค่ความเห็นส่วนตัวของฉันเฉยๆ ฉันไม่ได้ถนัดเรื่องแบบนี้มาก ฉันแค่แสดงความเห็นในส่วนของฉันค่ะ สุดท้ายแล้วผลมันจะเป็นยังไงมันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบริษัทและตัวประธานเนี่ยอยู่แล้วค่ะ" ถังซินเหยามีรางสังหรณ์ว่าถ้าหากเธอกล้าที่จะขอให้เยี่ยจิงเฉินยกเคสให้ฟางอี้เฉิงทำล่ะก็ เธอต้องเจอกับหายนะแน่ๆ
จะรอดหรือไม่รอดก็ครานี้ล่ะ
"แล้วอีกอย่างประธานฟางก็ไม่ใช่แฟนฉันด้วยค่ะ" ถังซินเหยาอธิบายอย่างหมดอาลัยตายอยาก
เยี่ยจิงเฉินเมื่อได้ยินถังซินเหยาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็ดูอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
"เขาก็แค่แฟนเก่าฉันน่ะค่ะ" เธอพูดเสริม
ใบหน้าที่อบอุ่นของเยี่ยจิงเฉินนั้นก็กลับมาเคืองอีกครั้ง
"อ๋อหรอ? งั้นตาเธอคงจะมีปัญหาแล้วล่ะนะ" เยี่ยจิงเฉินทำหน้าเย็นชาพร้อมกับพูดอย่างเย้ยหยัน
ถังซินเหยาพยักหัว : ป่าปี้ คุณพูดถูกแล้วล่ะ
เมื่อก่อนตาเธอน่ะมันคงจะมีปัญหาจริงๆอย่างที่ป่าปี้ว่าจริงๆ ตาบอดเลยล่ะโอเค๊? ป่าปี้นี่กั๊กเก่งเกินไปแล้วป่ะ?
"ประธานเยี่ยนี่รู้ดีอย่างกับเป็นเทวดาเลยน่ะ" ถังซินเหยาชมเขา
การกระจบสอพลอเจ้านายน่ะ เป็นทักษะชั้นสูงที่ควรจะเรียนรู้ไว้เลยล่ะ
แต่สายตาของเยี่ยจิงเฉินก็ไม่ได้ดีมากนักหรอกนะ แม้แต่จ้าวหลิงที่ก็ยังปฏิเสธเธอได้ ตาบอดจริงๆ
เยี่ยจิงเฉินถูกคำพูดถังซินเหยาทำให้เขาแทบสำลัก
"แล้วเธอเลิกกับเขาทำไมล่ะ?" เยี่ยจิงเฉินถามเธออย่างไม่ขอไปที
ประธานเยี่ย คุณเป็นถึงประธานใหญ่ คุณจะขี้ซุบซิบมากเกินไปแล้วนะ นี่มันทักษะที่เหล่าป้าๆแถวบ้านเขาทำกันนะ
ถ้าเธอตอบไปว่าฟางอี้เฉิงขายเธอด้วยเงินจำนวนล้านนึงล่ะ หลอกให้เธอไปนอนด้วย แล้วเงินก็ไม่ได้ ค่าห้องก็ไม่ออกให้ อีกอย่างเธอยังมีลูกลิงน้อยให้ป่าปี้อีกตั้งสองคนด้วยล่ะ…..ไม่สิ……ใช่ลูกมั้ยนะ?
ถังซินเหยาอย่างเรียบนิ่งไปว่า : "เพราะว่าเขาเป็นผู้ชายหน้าม่อค่ะ เราไปกันไม่รอด สุดท้ายเราก็เลยเลิกรากันไป"