ป่ะป๊าจ๋า หนูมาแล้ว - ตอนที่ 169 : ท่านประธานเข้าโรงพยาบาล
“ถ้าแกยังเดินออกไปอีกหนึ่งก้าว ของทั้งหมดของแกมันจะสูญสิ้นไปหมด” เยี่ยแจว๋พูด
จิงเฉินไม่ได้หันกลับหลังมา เหมือนทำเป็นไม่ได้ยิน
พ่อของเขาตอนหนุ่มๆเป็นคนที่มากฝีมือมาก แต่ว่าพ่อแก่มาแล้วก็ยิ่งมึนไปกันใหญ่ ในขณะเดียวกันก็เอาความคิดเห็นตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางด้วยเหมือนกัน
เขายังคิดว่าตัวเองทรงอิทธิพลแข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อนที่จะเรียกฟ้าเรียกฝนได้ แค่คำพูดคำเดียวก็คิดว่าจะหยุดจิงเฉินได้ แต่ว่าตอนนี้ชะตาชีวิตของจิงเฉินต่างก็อยู่ในกำมือของตัวเองแล้ว
จิงเฉินไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงงๆในเมื่อเป็นแบบนี้ แล้วทำไมจึงต้องมาแสดงละครโง่ๆกับคนพวกนี้อยู่ อีกอย่างทุกครั้งที่มาแสดง ก็แสดงได้ครึ่งเดียวเท่านั้นเอง
เมื่อเยี่ยแจว๋เห็นจิงเฉินเดินออกไป ก็นั่งลงบนโซฟาอย่างไม่มีเรี่ยวมีแรง เหมือนกับตัวเองแก่ลงไปอีก 10 ปี
“พ่อครับ พ่อไม่เป็นไรใช่ไหมครับ? พ่อดูสีหน้าที่เย่อหยิ่งของมันนั่นสิ มันไม่สนใจพ่อเลย” จิงซิงทนดูสีหน้าท่าทางการกระทำอันป่าเถื่อนนั้นของจิงเฉินไม่ได้เลย และพูดกับเยี่ยแจว๋ขึ้น
ในสายตาของจิงซิง พ่อของเขายังเป็นคนที่มีอำนาจเด็ดขาดอยู่
“หุบปาก บริษัทเกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ แกจะจัดการยังไง?” เยี่ยแจว๋มองไปที่หน้าลูกชายของตัวเอง
สายตานั้นมันดูน่ากลัวมากจริงๆ
“พ่อครับ พ่อให้จิงเฉินกลับมาช่วยงานผมก็ได้แล้ว พ่อก็รู้ว่าเมื่อก่อนเป็นจิงเฉินที่ดูแลจัดการมาตลอด บริษัทที่ใหญ่ขนาดนี้ผมยังไม่ค่อยคุ้นชินกับระบบภายในของงานอะไรมากมาย ตอนนี้บริษัทก็เกิดเรื่องขึ้นกะทันหัน เพราะงั้นผมจึงยุ่งไปหมดไม่รู้ว่าจะทำยังไง เพียงแค่ให้เวลาผมอีกซักหน่อย ให้ผมค่อยค่อยที่จะเรียนรู้การจัดการภายในตลอดจนถึงงานทั้งหมดของบริษัท ผมรับรองว่าผมต้องทำออกมาได้อย่างดีแน่ ผมจะไม่ทำให้พ่อผิดหวังอีก พ่อเชื่อผมเถอะนะ” จิงซิงยืนอยู่หน้าพ่ออันเป็นที่รักของเขาและพูดขึ้น
สำหรับจิงเฉินแล้ว เยี่ยแจว๋อาจจะไม่ใช่เป็นพ่อที่ดีนัก แต่สำหรับจิงซิงแล้ว เขาเป็นพ่อที่ดีเอามากๆ
“เมื่อไหร่แกจะโตเป็นผู้ใหญ่ได้จริงๆห๊ะ! เมื่อไหร่ที่จะไม่ทำให้ฉันต้องเป็นห่วงอยู่แบบนี้” เยี่ยแจว๋พูดอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
“พ่อครับ ผมขอเวลาอีกซักหน่อย ผมจะไม่ทำให้พ่อผิดหวังแน่” จิงซิงพูดรับประกัน
“เรื่องนี้ฉันจะไปช่วยแกจัดการเอง” เยี่ยแจว๋พูด
“ขอบคุณครับพ่อ” ใบหน้าที่เหมือนกระดี่ได้น้ำของจิงซิงพูดขึ้น
“เอาล่ะเอาล่ะ เรื่องนี้ก็เป็นอันจัดการเสร็จแล้ว” คุณนายหญิงแห่งตระกูลเยี่ยที่เมื่อกี้หดหัวไม่ยอมออกมาในที่สุดก็พูดออกมาแล้วสินะ เธอยังพูดต่อว่า : “จิงซิง ในใจของพ่อเขาลูกสำคัญที่สุดนะ ลูกต้องพยายามตั้งใจให้มากๆ อย่าทำให้พ่อเขาผิดหวังอีกล่ะ พูดเรื่องซีเรียสมานานขนาดนี้ ทุกคนคงจะหิวแล้วแหละ ให้คนใช้ไปทำกับข้าวที่พ่อของลูกชอบซะหน่อย ถือซะว่าเป็นมื้อดึกแล้วกัน”
“เอาสิ” เยี่ยแจว๋โบกมือ เมื่อได้ยินจิงซิงรับประกันแบบนี้เขาก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
ในที่สุดพายุโหมกระหน่ำเมื่อกี้ก็จบลงแล้ว หลิวแสว่และจิงซิงสองแม่ลูกก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา
ตอนที่กินมื้อดึกนั้น สามารถใช้คำว่า’อบอุ่น’มาบรรยายได้
รถที่จิงเฉินขับเป็นรถแข่งระดับพรีเมี่ยม ไม่ใช่แค่เอาไว้อวดความรวยแต่มันยังเอาไว้ซิ่ง
เป็นเพราะตอนกลางคืน รถบนถนนจึงไม่มากนัก แสงไฟข้างทางส่องกระทบไปบนถนน มันทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวเย็นยะเยือกอยู่หน่อยหน่อยบรรยากาศแบบนี้มันเหมือนกับสภาวะจิตใจของจิงเฉินตอนนี้เอามาก
เห็นได้ชัดว่ารถของจิงเฉินมันวิ่งด้วยความเร็วที่เกินลิมิต แต่ว่าเมื่อเห็นป้ายทะเบียนรถของเขาแล้ว กลับไม่มีตำรวจคนไหนที่จะกล้ามาหยุดรถเขาเลย
ที่เขาบอกเยี่ยแจว๋ว่าจะไปโรงพยาบาลนั้น เขาก็ไปโรงพยาบาลจริงๆ
ที่บอกว่าบริษัทเยี่ยหวงเป็นบริษัทที่ใหญ่ต้นต้นของเมืองBนั้นไม่ได้พูดเล่นเลย เพราะไปที่ไหนต่างก็เป็นหุ้นของเหยื่อหวงหมด
รวมไปถึงโรงพยาบาลเอกชนที่แพงที่สุดในเมืองBนี้ด้วย เยี่ยหวงมีหุ้นอยู่ในนั้นประมาณ 20% เป็นผู้ถือหุ้นที่ใหญ่มากจริงๆ
สำหรับผู้ถือหุ้นรายใหญ่แบบนี้แล้ว แน่นอนว่าจะต้องมีห้องVIP
เมื่อจิงเฉินถึงโรงพยาบาล ทันใดนั้นเขาก็ได้รับการรักษาที่ดีที่สุด มีคุณหมอที่เก่งที่สุดมาตรวจเขาและช่วยเขาทำแผล
“ท่านประธานเยี่ยครับ แผลของท่านไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมาก ตอนนี้ก็สามารถออกโรงพยาบาลได้แล้ว” คุณหมอพูดกับจิงเฉินอย่างเคารพนอบน้อม
จิงเฉินกึ่งนอนอยู่บนเตียง เอามือสองข้างสอดประสานกันและเอาไว้ข้างหน้าพร้อมพูดกับคุณหมอด้วยสีหน้าที่อมทุกข์ว่า : “ผมรู้สึกว่าผมไม่ค่อยจะรู้สึกดีสักเท่าไหร่ ส่วนหัวเป็นส่วนของมนุษย์ที่มันซับซ้อนมากที่สุด บางครั้งหากเกิดปัญหาขึ้น เทคโนโลยีปัจจุบันก็ยังไม่สามารถที่จะตรวจหาได้ เพราะงั้นผมจึงคิดว่าควรจะรอดูอาการอยู่ที่นี่อีกซักสองสามวัน ไม่ควรที่จะรีบออก หัวหน้าฉี่คิดว่าอย่างไร?
ในเมื่อเขาพูดแบบนี้แล้ว จะให้หัวหน้าฉีตอบว่าอะไรได้
“ใช่ครับ ท่านประธานพูดถูก” หัวหน้าฉีเช็ดไปที่เหงื่อบนหน้าผากของตัวเองที่ไหลออกมาพร้อมกับผงกหัวตอบ
รู้สึกว่ามือถือในกระเป๋ากางเกงของตัวเองมันสั่นขึ้น จิงเฉินจึงยิ้มไปที่มุมปากและหัวเราะออกมาอย่างบริสุทธิ์เบาเบาพร้อมกับพูดว่า : “เอาล่ะ คนเยอะเกินไปทำให้ผมปวดหัว พวกคุณออกไปได้แล้ว อาการป่วยของผมต้องการรักษาแบบเงียบเงียบ ไม่ต้องการให้ใครมารบกวน คนที่มาตรวจสอบอาการก็ไม่ต้องให้มารบกวนผมแล้ว”
“ครับ ท่านประธานพักผ่อนเถอะครับ”
รอจนถึงในห้องนั้นมีเขาคนเดียว จิงเฉินจึงหยิบมือถือที่สั่นไม่หยุดออกมา
ตอนที่อยู่บนถนน มือถือนี้มันก็สั่นอยู่เรื่อยเรื่อยแล้ว
อารมณ์เขาไม่ดี จึงได้เปลี่ยนเป็นโหมดสั่น
เมื่อเห็นชื่อสายที่โทรเข้ามา จิงเฉินจึงยิ้มมุมปากขึ้น อารมณ์ไม่เลวเลยนะ
แต่ว่าเขาไม่ได้รับสายนั้น เห็นซินเหยาโทรเข้าอย่างไม่ขาดสาย เห็นได้ชัดว่าเธอต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ
เขาจำได้ว่าสองวันก่อนที่โทรหาซินเหยา มันสั่นไปประมาณสองรอบแต่ทันใดนั้นเครื่องทางโน้นก็ปิดลง เรื่องนี้เขาจำมันได้อย่างชัดเจน ตอนนี้จึงให้บทเรียนเล็กๆน้อยๆกับซินเหยา ให้เธอได้ลิ้มลองรสชาตินี้หน่อย(ป๊ะป๋าเอาแต่ใจขนาดนี้ซินเหยารู้หรือป่าว?)
จิงเฉินจับไว้มือถือ แต่ก็ไม่ได้รับ
จิงเฉินรู้สึกว่าปัญหาในใจของเขามันก็เริ่มดีขึ้นแล้ว อีกอย่างเรื่องทางบริษัทเขาก็มีแผนว่าจะจัดการอย่างไรแล้ว ตอนนี้มันก็ง่วงได้แล้ว สามารถที่จะนอนลงอย่างสบายใจได้แล้ว
เช้าวันถัดมา เธอตื่นขึ้น ตอนนี้มันเป็นเวลาเที่ยงกว่าๆแล้ว เธอเปิดผ้าม่านออก และบิดขี้เกียจไปหนึ่งกรุบ
จากนั้นจึงเดินออกมาจากห้องนอนของเธอ วันนี้เป็นวันเสาร์ เพราะฉะนั้นโรงเรียนจึงหยุด ลั่วหลิงและเข่อหลานก็อยู่บ้านด้วย