ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 204 ร่ำลา
หมิงเจ๋อมองดูห่อสัมภาระและกล่องอาหารบนโต๊ะ เกรงว่าในนั้นคงมีหนังสือหย่าร้างฉบับหนึ่งที่บิดาให้มารดาด้วยกระมัง! เขาสลดใจไปชั่วขณะหนึ่ง เกี่ยวกับการตัดสินใจของบิดา เขาเองก็พอได้เตรียมใจไว้แล้วเช่นกัน บิดาไม่มีทางให้อภัยมารดาได้อีก แต่เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน มารดากลับบ้านเกิดไปแล้วคงจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียที
“แล้ว…น้องหมิงจูล่ะขอรับ” หมิงเจ๋อเอ่ยถาม
หลี่จิ้งเสียนดูเหมือนลังเลใจชั่วขณะหนึ่งก่อนกล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “แล้วแต่นางแล้วกัน!”
หลังหมิงเจ๋อได้รับคำสั่งการเป็นที่เรียบร้อยจึงยกสองมือขึ้นคารวะและกล่าวล่า โดยมีผู้ดูแลจ้าวถือกล่องอาหารและห่อสัมภาระเดินตามหลัง
ปากทางเข้าออกจวน รถม้าสองคันเตรียมพร้อมสำหรับการออกเดินทาง คู่สามีภรรยาหมิงอวินและหลั้วเหยียนต่างมารอส่งอยู่ด้านหน้า
“พี่ใหญ่ ระมัดระวังตัวให้มากๆ นะขอรับ” หมิงอวินยกสองมือขึ้นคารวะและกล่าวกำชับ
หมิงเจ๋อส่งเสียง ‘อืม’ แล้วเตรียมขึ้นรถ
หลินหลันเห็นในมือของผู้ดูแลจ้าวถือกล่องอาหารและห่อสัมภาระ จึงหันไปเอ่ยถามหลั้วเหยียนด้วยเสียงกระซิบ “พี่สะใภ้ ของเหล่านั้นท่านเป็นคนเตรียมไว้ให้หรือเจ้าคะ”
หลั้วเหยียนส่ายหน้า “น่าจะเป็นของที่ท่านพ่อเตรียมไว้ให้กระมัง เห็นทีว่าท่านพ่อคงไม่อยากให้ท่านแม่กลับมาบ้านนี้อีกแล้ว…”
หลินหลันฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ในใจ เป็นธรรมดาที่พ่อผู้ไร้ยางอายจะไม่อยากให้แม่มดชรากลับมาเหยียบที่นี่อีก การส่งสัมภาระของใช้ส่วนตัวไปให้ด้วยจึงเป็นอะไรที่พอเข้าใจได้ ทว่าการที่พ่อผู้ไร้ยางอายถึงขั้นเตรียมอาหารไว้ให้แม่มดชราด้วยนี่มันออกจะแปลกประหลาดเกินไปหน่อยหรือไม่
หลินหลันมองหมิงอวิน หมิงอวินขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับกำลังลังเลใจ
เบื้องหน้าเห็นว่ารถม้ากำลังเคลื่อนตัวออกไปแล้ว หลินหลันจึงรีบเดินตามขึ้นไปพร้อมร้องเรียกหมิงเจ๋อไว้ “พี่ใหญ่ พาหมิงจูกลับมาด้วยเถอะเจ้าค่ะ!”
หมิงเจ๋อและหมิงอวินต่างตะลึงงัน
หลินหลันเอ่ยอธิบาย “ตอนนี้ท่านย่าป่วย พี่สะใภ้ก็ต้องดูแลเรื่องในบ้าน ทางด้านร้านยาข้าก็ทิ้งไม่ได้ด้วย ดังนั้นก็ให้หมิงจูกลับมาคอยดูแลท่านย่าอย่างใกล้ชิดอย่างไรล่ะเจ้าคะ”
เมื่อหลั้วเหยียนได้ไตร่ตรองดูจึงคิดได้ว่าหลินหลันพูดถูกอย่างยิ่ง ท่านย่ากลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง คนคอยปรนนิบัติข้างกายก็มีเพียงไม่กี่คน หลายวันมานี้นางกับหลินหลันต่างเหน็ดเหนื่อยกันอย่างยิ่ง ดังนั้นการให้หมิงจูมาอยู่ปรนนิบัติท่านย่าก็ดีเหมือนกัน
“นั่นสิ! ให้นางกลับมาเถอะ! ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเจ้า” หลั้วเหยียนกล่าวเสริม
หมิงเจ๋อพยักหน้าด้วยความซาบซึ้งใจ เขาเอ็นดูหมิงจูเสมอมา เมื่อคิดว่าหากหมิงจูต้องกลับบ้านเกิดไปพร้อมมารดาเช่นนี้ คงไม่มีทางได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเป็นแน่
“ข้าจะเกลี้ยกล่อมนางให้ได้”
ทั้งสามคนมองดูรถม้าเคลื่อนตัวออกไปไกลแล้วค่อยๆ ลับหายไปจากสายตา เนิ่นนานพอตัว หลินหลันจึงกล่าวขึ้น “พี่สะใภ้ กลับเข้าไปข้างในเถอะเจ้าค่ะ! พี่ใหญ่จะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยได้แน่นอนเจ้าค่ะ”
หลั้วเหยียนถอนสายตาอาลัยอาวรณ์ ยามนี้ภายในใจนางรู้สึกถึงความสับสนและความหวาดกลัว
หลินหลันมองดูหลั้วเหยียนที่อยู่ในอาการเศร้าโศก จึงอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนนางชั่วขณะหนึ่งแล้วจึงกลับเรือนหลั้วเซี๋ยจาย
หลี่หมิงอวินยืนมองสระบัวจากบริเวณริมหน้าต่างห้อง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของหลินหลัน เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงถอนหายใจ “อีกสองวันก็เป็นเทศกาลชีซี[1]แล้ว…”
เช่นนั้นหรอกหรือ อะไรจะรวดเร็วปานนี้! เมื่อปีที่แล้วในช่วงเวลานี้ พวกเขาเพิ่งมาถึงเมืองหลวง เขาถูกกักบริเวณ ส่วนนางถูกบีบบังคับให้ต้องระหกระเหินไปอยู่ที่จวนจิ้งปั๋วโหวหลักจากนั้นก็ฝ่าฟันอะไรต่อมิอะไรกันมาจนถึงวันนี้ ยามนี้คงได้เวลาฟ้าเปิดแล้วสินะ
หลินหลันเดินไปหยุดข้างกายเขา เงยหน้ามองพระจันทร์เสี้ยวบนท้องนภาที่กำลังฉายแสงสีเงินอร่ามเคียงคู่ดวงดาวระยิบระยับ ท้องนภาผืนกว้างที่แต่งแต้มไว้ด้วยดวงดาวภายใต้ความเงียบสงบนี้ เพราะเรื่องราวความรักของหนุ่มเลี้ยงโคกับสาวทอผ้าจึงทำให้มันดูอบอุ่นขึ้นมา
“ว่ากันว่าในตำนานชีซีทั้งสองพบเจอกันด้วยสะพานนกกระเรียน[2] แต่ก็ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นหนุ่มเลี้ยงโคกับสาวทอผ้าข้ามดวงดาวมาพอเจอกันสักครั้ง” หลินหลันกล่าว
หลี่หมิงอวินอมยิ้มเล็กน้อย แสงจันทร์อ่อนกำลังสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาจนเกิดเป็นแสงอันอ่อนโยน “ก็แค่ความปรารถนาอันงดงามของผู้คนเท่านั้น อย่างน้อยๆ ก็คงดีกว่าให้พวกเขาต้องอยู่กันคนละฟากโดยไม่มีวันได้พบเจอกันละนะ!”
หลินหลันส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนเอนกายเข้าไปแนบอิง หลี่หมิงอวินจึงโอบรั้งนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแล้วใช้ปลายคางถูไถไปบนเส้นผมสลวยของนาง บางครั้ง เขาคาดหวังให้นางไม่รู้เรื่องรู้ราวเสียบ้าง ทว่าตอนนี้ เขาประทับใจในความฉลาดหลักแหลมและความมีจิตใจงามของนางอย่างยิ่ง นาทีที่มองเห็นกล่องอาหารนั่น เขาก็เป็นอันเข้าใจความนึกคิดของบิดาทันที การที่บิดากระทำเช่นนี้ต่อแม่มดชราไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเขา ทว่า…หมิงจูแม้จะนิสัยเกเร แต่สิ่งที่นางกระทำผิดไว้ไม่ถึงขั้นต้องรับผลเป็นความตาย ดังนั้น ในนาทีนั้น เขาจึงเกิดความลังเลใจ…หากเอ่ยออกไป เขาอาจนึกตำหนิที่ตนเองใจอ่อนและมีเมตตา หากไม่เอ่ยออกไป เขาอาจรู้สึกเสียใจภายหลังไปชั่วชีวิต ดังนั้น เขาซาบซึ้งใจอย่างยิ่งที่หลินหลันช่วยตัดสินใจแทนเขา เขารู้สึกขอบคุณสวรรค์จริงๆ ที่ส่งมอบหลินหลันมาให้เขา ยามที่เขามีความสุข มีหลันเอ๋อร์ร่วมสุขด้วย ยามที่เขาทุกข์ยาก หลันเอ๋อร์ไม่เคยทอดทิ้งเขา ยามที่เขาสับสนมืดมน มีหลันเอ๋อร์คอยอยู่เคียงข้าง เขาจึงไม่หลงไปในทางที่ผิด…เขาเอ่ยด้วยเสียงบางเบา เอ่ยความปรารถนาแท้จริงลึกสุดภายในใจของเขาในขณะนี้ “พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป มองดูพระอาทิตย์ขึ้นและพระจันทร์ลาลับท้องนภาไปด้วยกันทุกๆ วัน”
หลินหลันโอบกอดรอบเอวเขา ภายในใจสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและอ่อนโยน แม้ว่าเขาไม่เคยเอ่ยสามคำที่ทำให้สตรีหัวใจเต้นแรงได้มาก่อน ทว่าคำพูดจากความรู้สึกเช่นนี้ก็ทำให้นางรู้สึกหลงใหลได้เช่นกัน!
ทั้งสองโอบกอดกันและกันอย่างเงียบๆ ราวกับต้องการทะนุถนอมช่วงเวลาแสนสงบอันมีค่านี้ การได้ชื่นชมแสงจันทรานวลผ่องภายใต้ความเงียบสงัดนี้ช่างเป็นอะไรที่ดีงามเหลือเกิน
หลี่หมิงเจ๋อรีบมาถึงไป่ซงโปก่อนเวลานัดหมายประมาณครึ่งชั่วโมง รถม้าจอดสนิทในบริเวณที่ห่างจากจุดนัดพบประมาณหนึ่งร้อยเมตร หลี่หมิงเจ๋อเดินไปพร้อมตั๋วเงินจำนวนแปดแสนตำลึงเงินแล้วหยุดยืนอยู่ใต้สนต้นหนึ่ง ไม่ไกลออกไปคือสุสานฝังศพจำนวนหนึ่ง ระหว่างนั้นมีเสียงแมวป่าส่งเสียงร้องขึ้นมาเป็นระยะๆ ชวนให้รู้สึกหวาดกลัวไม่น้อยทีเดียว หลี่หมิงเจ๋อถึงกับขนลุกขนพอง ขาทั้งสองข้างรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเล็กน้อย เขาก้าวถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเอนหลังพิงเข้ากับต้นไม้ตลอดเวลา ในอกถึงค่อยๆ สงบลง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามสะกดความกลัวที่เกิดขึ้นภายในใจและรอคอยด้วยความกระวนกระวายต่อไป
เวลาแห่งการรอคอยมันมักจะยาวนานเสมอ ไม่รู้เช่นกันว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงเกือกม้าล่องลอยมาตามสายลม ไม่ทันไรเขาเห็นคนผู้หนึ่งจากระยะไกลกำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมม้าหนึ่งตัว
“ฮี้…” เสียงม้าร้องดังขึ้นพร้อมกับที่คนผู้นั้นหยุดนิ่งในระยะห่างจากหมิงเจ๋อประมาณสิบฝีก้าว
หลี่หมิงเจ๋อมองผู้มาเยือนด้วยความระแวดระวัง ชายฉกรรจ์ในชุดสีดำทมิฬ ใบหน้าปกคลุมไปด้วยผ้าสีดำเผยให้เห็นเพียงดวงตาคู่คมหนึ่งคู่เท่านั้น สายตาคู่คมนั้นตวัดมองมาราวกับจะมองให้ทะลุเรือนร่างคนทั้งคนอย่างไรอย่างนั้น หลี่หมิงเจ๋อจึงห่อตัวลงตามสัญชาติญาณ
คนผู้นั้นมองดูหลี่หมิงเจ๋ออย่างสำรวจอีกครั้งแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงดุดัน “เอาเงินมาด้วยหรือไม่”
หลี่หมิงเจ๋อรีบกล่าวทันควัน “เอามาๆ ตั๋วเงินของโรงรับฝากเงินทงเป่า จำนวนเงินทั้งสิ้นแปดแสนตำลึงเงิน” เอ่ยพลางล้วงตั๋วเงินออกมาแต่กลับไม่ยื่นส่งให้ในทันที
“ท่านแม่และน้องสาวข้าล่ะ”
คนผู้นั้นยื่นมืออกไป “เอาเงินมา”
หลี่หมิงเจ๋อยืนหยัดแน่วแน่ขณะกล่าวออกไป “ข้ายังไม่ได้เห็นท่านแม่และน้องสาวข้า จะให้นำเงินนี่มอบให้เจ้าได้อย่างไรกัน”
คนผู้นั้นส่งเสียงหัวเราะเยาะ “มองไม่ออกเลยว่าเจ้าจะใจกล้ากับเขาด้วย เจ้าไม่เกรงกลัวว่าข้าจะฟันดาบลงไปที่เจ้าหรือ”
ขาทั้งสองของหลี่หมิงเจ๋อกำลังสั่นระริก น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “คนเราต้องรู้จักรักษาสัจจะ…”
คนผู้นั้นคล้ายกับตะลึงงันไปชั่วขณะ ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะลั่นประหนึ่งเสียงนาฬิกาปลุก ก่อให้เกิดเสียงสะท้อนกึกก้องไปทั่วทั้งป่า
“สมกับเป็นหนอนหนังสือจริงๆ”คนผู้นั้นเอ่ยเชิงเหยียดหยัน ทันใดนั้นเขาสะบัดบังเหียนคุมม้า ม้าตัวนั้นจึงพุ่งเข้าไปหาหลี่หมิงเจ๋อทันที
หลี่หมิงเจ๋อยืนนิ่งด้วยความตื่นตกใจ รู้สึกเพียงเบื้องหน้ามีเงาดำพาดผ่านแล้วม้าตัวนั้นกลับเลี้ยวผ่านเขาไปอย่างเฉียดฉิว
หลี่หมิงเจ๋อตื่นตกใจอย่างยิ่งและกลับพบว่าตั๋วเงินในมือหายไปเสียแล้ว เขากระทืบเท้าด้วยความเดือดดาล ส่งเสียงตะโกนไป “นี่…เหตุใดเจ้าถึงไม่รู้จักรักษาคำพูด”
คนผู้นั้นไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง “คนที่เจ้าต้องการอยู่บนรถม้าของเจ้าแล้ว”
หลี่หมิงเจ๋อไม่รู้ว่าที่คนชั่วนั่นพูดเป็นความจริงหรือไม่ ในเมื่อยามนี้ตั๋วเงินก็ถูกฉกฉวยไปแล้ว แล้วเขาจะทำอันใดได้อีก หลี่หมิงเจ๋อจึงเดินกลับไปอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาเดินไปยังไม่ทันถึงรถ ผู้คุมรถม้าก็เดินเข้ามา “ต้าเส้าเหยีย ต้าเส้าเหยีย ฮูหยินกับแม่นางหมิงจูกลับมาแล้วขอรับ…”
หลี่หมิงเจ๋อดีใจอย่างยิ่ง เขารีบวิ่งเข้าไปแล้วเลิกผ้าม่านรถเปิดดู ปรากฏว่ามารดาและน้องสาวอยู่ในรถทั้งหมดจริงๆ เพียงแต่ใบหน้าของทั้งสองต่างดูมอมแมม เสื้อผ้าขาดรุ่ย สภาพพวกนางช่างดูน่าอนาถอย่างยิ่ง
นางฮานรู้สึกราวกับได้เกิดใหม่อีกครั้ง นางโผเข้าไปโอบกอดบุตรชายทั้งน้ำตาทันทีที่พบเห็นหน้าบุตรชายอีกครั้ง ราวกับเป็นการกอดร่ำลาครั้งสุดท้าย
“ลูกแม่…แม่คิดว่าจะมิได้เห็นหน้าเจ้าอีกแล้ว…”
หมิงจูร้องไห้อย่างหนักเช่นกัน “พี่ใหญ่ ข้ากลัวเหลือเกิน…”
สามคนแม่ลูกพากันร้องไห้ขณะกอดกันกลม
“ต้าเส้าเหยีย ฮูหยิน ที่นี่ไม่ปลอดภัยนัก พวกเราออกเดินทางไปพูดคุยกันไปดีกว่านะขอรับ” ผู้คุมรถกล่าว
ทั้งสามคนค่อยๆ หยุดร้องไห้ หมิงเจ๋อเอ่ยถามถึงความยากลำบากของพวกนางในสองวันมานี้ จนได้ความว่ามารดาและน้องสาวเพียงแค่ถูกจับขังไว้เป็นเวลาสองวัน หิวท้องกิ่วอยู่สองสามมื้อ แต่ไม่ได้รับการบาดเจ็บตามเนื้อตัวร้ายแรงแต่อย่างใด เขาจึงรู้สึกวางใจ หลังจากนั้นจึงนำเรื่องราวภายในบ้านบอกเล่าให้พวกนางรับรู้
นางฮานกล่าวด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นหลังได้ยินว่าหญิงชราเป็นอัมพาต “สมควรแล้วละ นี่มันเวรกรรมของนางอย่างไรล่ะ…”
หมิงเจ๋อรู้สึกบอกไม่ถูก ผู้เป็นย่าเป็นถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดมารดาถึงพูดจาใจร้ายใจดำเช่นนี้อีก ผู้เป็นย่าแม้จะทำไม่ถูกต้อง ทว่าหลายปีมานี้นางก็ปฏิบัติต่อมารดาอย่างดีมาโดยตลอด
“ท่านแม่ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็อย่าได้เอ่ยถึงอีกเลยนะขอรับ ในนี้เป็นของใช้ที่จำเป็นและเงินอีกจำนวนหนึ่ง นี่เป็นของที่ท่านพ่อเตรียมไว้ให้ขอรับ ส่วนนี่เป็นของที่หลั้วเหยียนเตรียมไว้ให้ ลูกจะให้นายสวี่ส่งท่านกลับบ้านเกิดนะขอรับ” หมิงเจ๋อกล่าวอย่างเศร้าสลด
นางฮานรับห่อสัมภาระมาไว้ เห็นได้ชัดว่าปลายนิ้วมือของนางกำลังสั่นระริก “นี่เป็นความต้องการของเจ้าหรือเป็นสิ่งที่พ่อเจ้าทำให้ด้วยตัวเขาเองหรือ”
หลี่หมิงเจ๋อกล่าวด้วยความสัตย์จริง “เป็นความต้องการของท่านพ่อขอรับ และก็เป็นความต้องการของลูกด้วยเช่นกัน สถานการณ์ในตอนนี้ ท่านแม่กลับไปบ้านเกิดก่อนจะเป็นการดีที่สุดขอรับ”
นางฮานปล่อยหยาดน้ำตาไหลรินลงมาอีกระลอกขณะรับห่อสัมภาระนั่นมาไว้ นางมองดูห่อสัมภาระผ้าไหมสีน้ำเงินด้วยความรู้สึกมึนงงสับสน “หากแม่ไปแล้ว ไม่รู้ว่าเราแม่ลูกจะได้พบเจอกันอีกเมื่อใด”
“พี่ใหญ่ เรื่องราวมาถึงขั้นที่ไม่อาจแก้ไขได้อีกแล้วหรือ” หมิงจูกล่าวอย่างไม่ยินยอม
หลี่หมิงเจ๋อกล่าวด้วยความทุกข์ระทม “ตอนนี้ท่านย่าป่วยติดเตียง ท่านพ่อยิ่งโกรธเกรี้ยวขึ้นไปอีก เจ้าว่าท่านแม่ยังกลับไปได้อีกหรือไม่”
หมิงจูกล่าวทั้งน้ำตา “อยู่กันเป็นครอบครัวดีๆ แท้ๆ เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”
นางฮานรู้ดีแก่ใจว่าไม่อาจกลับไปได้อีกแล้ว นางจึงปาดน้ำตาแล้วเอ่ย “เอาละ แม่จะกลับไปบ้านเกิดก่อน หมิงเจ๋อ เจ้าต้องขยันขันแข็งให้มากๆ แม่จะรอวันที่เจ้ามีหน้ามีตาโดดเด่นขึ้นมา”
หมิงเจ๋อพยักหน้าด้วยความขมขื่น “หมิงจู เจ้ากลับบ้านกับข้าเถอะ! ตอนนี้ท่านย่าป่วยหนัก อย่างน้อยๆ เจ้าจะได้แสดงความกตัญญูสักนิด”
หมิงจูเสียดายการได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายภายในบ้าน ทว่าจะให้นางไปอยู่ปรนนิบัติผู้เป็นย่าที่กำลังป่วยอยู่ นางเองก็ไม่ยินดีเท่าใดเช่นกัน อีกอย่าง ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่เพียงนี้แล้ว นางยังไม่เคยห่างจากมารดา จึงกล่าวว่า “ข้าจะไปกับท่านแม่”
นางฮานกล่าว “พ่อที่ไร้น้ำจิตน้ำใจของเจ้าไม่ได้เห็นน้องสาวเจ้าเป็นบุตรสาวด้วยซ้ำไป คู่สามีภรรยาหมิงอวินเกลียดน้องสาวเจ้ายิ่งกว่าอะไรดี หากข้าไม่อยู่ในบ้าน ไม่รู้ว่าน้องสาวเจ้าจะถูกคนเขารังแกจนเป็นสภาพไหน หมิงจู เจ้าไปกับแม่นี่ละดีแล้ว”
หมิงจูเอนกายเข้าไปซบ “ท่านแม่ ลูกจะไปกับท่าน”
หลี่หมิงเจ๋อถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ก็ได้ เช่นนี้จะได้ดูแลกันและกันไประหว่างทาง”
หลังสามคนแม่ลูกร่ำลากันเป็นที่เรียบร้อย หลี่หมิงเจ๋อส่งมารดาและน้องสาวไปจนกระทั่งเข้าสู่เส้นทางหลัก หลังจากนั้นจึงกำชับนายสวี่ผู้คุมรถม้าให้ดูแลนายหญิงและแม่นางหมิงจูให้ดิบดี
หลังจากรถม้าค่อยๆ ลับสายตาไปตามเส้นทางหลัก หลี่หมิงเจ๋อเงยหน้าขึ้นพลางถอนหายใจ การร่ำลาครานี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะได้พบเจอกันอีกเมื่อใด
ล้อรถเคลื่อนหมุนไป นางฮานและบุตรสาวก้มหน้าซบกันและปล่อยหยาดน้ำตาให้ไหลรินออกมาภายใต้ความเงียบงัน เนิ่นนานพอตัว หมิงจูเอ่ยถึงขึ้นด้วยเสียงอ่อนแรง “ท่านแม่ ข้าหิวแล้ว..”
นางฮานมองดูกล่องอาหารที่อยู่บนรถ จึงคว้ามันมาเปิดแล้วหยิบเอาขนมอบออกมาหนึ่งชิ้นยื่นให้หมิงจู “กินขนมนี่รองท้องไปก่อนแล้วกัน ไว้รอฟ้าสางแล้วพวกเราค่อยหาโรงเตี๊ยมพักผ่อนแล้วหาอะไรร้อนๆ กินกัน”
[1]เทศกาลชีซี (七夕) คือวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด ถือว่าเป็นวันเทศกาลแห่งความรักของชาวจีน
[2]ในตำนาน “หนุ่มเลี้ยงโคกับสาวทอผ้า” ทั้งสองพบเจอกันด้วยสะพานนกกระเรียน (鹊桥相会) เพราะนกกระเรียนเกิดความสงสารในความรักของทั้งสองจึงนัดชุมนุมกันในวันที่ 7 ค่ำ เดือน7 (ตามจันทรคติ) เพื่อมารวมตัวกันต่อตัวเป็นสะพานให้หนุ่มเลี้ยงโคกับสาวทอผ้าได้พบปะกันปีละครั้งจนกลายเป็นที่มาของตำนานวันแห่งความรัก