ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก - ตอนที่ 40: ผลตัดสินศึกสุดอลหม่าน
———— ก่อนหน้านี้เล็กน้อย
หลังศึกระหว่างอัศวินผู้ปกครองฝรั่งเศสอย่างเคย์ได้พ่ายแพ้ให้กับพวกของชงหยวนทั้งหกคน สนามรบก็อยู่ในสภาพที่ไม่เหลือเค้าเดิม
จากพื้นที่เคยราบเรียบตามผังโครงสร้างเก่ากลับกลายเป็นกระจัดกระจาย เต็มไปด้วยเศษซากของตึกรามบ้านช่องและสาธารณูปโภคจำพวกเสาไฟฟ้า คล้ายกับเพิ่งโดนพายุเข้าจนวินาศสันตะโรไปทั้งแถบยังไงอย่างงั้น
“เล่นใหญ่มากเลยนะคะเนี่ย หู่” หญิงสาวผู้สวมหน้ากากหนู… สู่เอ่ยในขณะที่ยิ้มแห้ง ๆ หลังยลสภาพแวดล้อมรอบกายที่ถูกทำให้เป็นแบบนี้โดยหู่
“ทำไงได้ล่ะ ในสถานการณ์แบบนั้น ผมคิดแผนที่ดีที่สุดได้เท่านี้แหล่ะ”
“ก็ไม่ได้บอกว่าแย่สักหน่อยนี่นา”
สู่ว่าพลางตบไหล่หู่ที่กำลังถอนหายใจ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอเองก็เห็นด้วยกับวิธีการที่เขาทำ
ส่วนเรื่องของศัตรูที่แน่นิ่งไปแล้ว คนที่ไปทำการตรวจสอบเพื่อยืนยันก็คือหนิวกับทู่ที่กำลังยืนต่อหน้าร่างแน่นิ่งของเซอร์เคย์
“เหมือนจะยังไม่ตายนะคะ” ทู่ยืนยันแบบนั้นหลังจับสัญญาณชีพที่ลำคออันแผ่วเบาของเคย์ได้
“เอายังไงดี?” หนิวเอ่ยถามหาความเห็นจากสมาชิกคนอื่น แต่โดยส่วนตัวเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้กระหายจะเห็นเลือดจากการปลิดชีพศัตรูขนาดนั้น
และถ้าจะพูดให้ถูก… ทุกคนในที่นี้เองก็ไม่ได้ต่อสู้เพื่อเข่นฆ่าอีกฝ่าย แม้แต่หู่เองที่เคยสังหารโอลิเวียที่อยู่ในร่างของโกลเด้นด็อกมาแล้วก็ตาม เพราะในกรณีนั้นเขาทำเพราะจำเป็นต้องทำมากกว่าอยากทำเพื่อปิดปากพยาน
ใช่… สิ่งที่พวกเขาทำ ก็แค่การสู้อย่างเต็มที่ แม้จะเป็นความจริงที่เจตนาถึงตาย แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมามันไม่ถึงตาย พวกเขาก็ไม่คิดจะตอกย้ำผลลัพธ์นั้นเพราะมันไม่ใช่จุดประสงค์หลัก
“ท่านชงหยวนเองก็บอกว่าให้ทำตามใจเราด้วยสินะคะ” โหวเตือนความจำทุกคนถึงคำสั่งที่ชงหยวนเคยให้
ซึ่งนั่นก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าคำสั่งปกติอย่าง ‘ให้ตัดสินใจเอาเองตามสมควร’ นักหรอก แต่ก็ต้องขอบคุณเรื่องนั้นแหล่ะ ทุกคนจึงตัดสินใจปล่อยผ่านเคย์ไว้อย่างนั้นพร้อมกันอย่างเคย โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีใครสักคนพูดยืนยันด้วยซ้ำ
และเหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้พวกเขามีสิ่งที่จำเป็นต้องรีบทำมากกว่า เพราะเป็นคำสั่งอันดับหนึ่งของชงหยวน หรือก็คือเป็นเหตุผลให้พวกเขามาอยู่ที่นี่
“ถ้างั้น พวกเรามารีบทำสัญญาชิงดินแดนกันเถอะ————”
ทว่า พริบตาที่ตัดสินใจดำเนินการตามแผนเดิม กลับเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาจับสัมผัสตัวตนอื่นนอกจากพันธมิตรของตัวเองในที่แห่งนี้ได้ พวกเขาทั้งหกคนถึงพลิกตัวเอาหลังชนกันหมดทุกคนอย่างคล่องแคล่วพร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมาย
…และไม่นานนักพวกศัตรูก็ปรากฏตัว
“สายัณห์สวัสดิ์ทุกท่าน… นี่มีงานเลี้ยงซ้อนเหรอครับเนี่ยถึงมาอยู่ที่นี่กันหมดเลย?”
ชายคนแรกที่ปรากฏตัวบนซากปรักหักพังที่สูงที่สุดและเป็นจุดที่มองเห็นได้ชัดที่สุด คือบุคคลที่พวกหู่ไม่คิดว่าจะโผล่หน้ามาที่นี่ได้ นั่นคือวลาด… ราชาของประเทศเขต 66 ที่พวกเขาบุกโจมตีไปหลายวันก่อนเพื่อเบี่ยงเบนด้วยเป้าหลอก กลับกลายเป็นว่ามันทำให้วลาดเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเป้าหมายที่แท้จริงได้อย่างไรก็ไม่ทราบได้
“…”
แถมในจุดที่อยู่ห่างถัดออกไปอีกจากฝั่งของวลาดยังมีชายคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาด้วย ระยะที่ห่างกันทำให้ทุกคนรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นพวกของวลาดเลยวางใจได้เปราะนึง แต่พอสบกับรูปลักษณ์ภายนอกอันเป็นเอกลักษณ์ที่เป็นหน้ากากกะโหลกมีเข็มฉีดยาปักอยู่เต็มศีรษะ พวกหู่ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือขุนพลเอกของรัสเซีย… สคัล
และนั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด…
“ดูแลเพื่อนเราไว้ดีเลยนี่นาพวกนายน่ะ”
“แต่ก็ต้องขอบคุณที่ไม่ฆ่าล่ะนะ”
ชายสองคนในชุดเกราะอัศวินสีแดงและดำ ในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์กว่าของเซอร์เคย์ กอปรกับคำพูดเห็นได้ชัดเลยว่าเป็นพวกพ้องของเคย์ แต่ถึงอย่างไรเสียสำหรับพวกเขาแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกอันโดดเด่นนำมาก่อนชื่อเสียงของพวกเขาเสียอีก
นั่นมัน… เซอร์มอเดร็ดและเซอร์ลานเซลอต ขุนพลเอกของราชันย์อาเธอร์แห่งอังกฤษ
ตัวอันตรายดันโผล่มาสมทบซะได้
โหวผู้รู้สถานการณ์มองสลับระหว่างชายสวมเกราะแดงและดำตามลำดับทำให้รู้ตัวตนของพวกเขาในทันที แต่เรื่องที่เธอรู้ ยิ่งทำให้รู้สึกเสียเปรียบในสถานการณ์นี้เข้าไปใหญ่
…นี่ยังไม่นับชายปริศนาที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันในจุดที่ห่างออกไปและไม่รู้ว่าอยู่ฝ่ายไหนอีก
“เอายังไงดี… สถานการณ์โคตรน่ากลัวเลย” หนิวกระซิบข้าง ๆ ทุกคน เหมือนต้องการคำสั่งที่จะรอดพ้นสถานการณ์อันหนักหน่วงนี้ไปให้ได้ ในขณะที่คนส่วนใหญ่ยกเว้นหลงกับหู่กระวนกระวายจะแย่กับสถานการณ์นี้
“บ้าเอ้ย… ยังไงตอนนี้ก็ต้องหาทางหนีออกจากที่นี่อย่างเดียว” โหวตอบทันทีแบบไม่ต้องคิด
“ถูกต้อง เราไปทำสัญญาชิงดินแดนที่อื่นก็ได้… อยู่ที่นี่มีแต่เสียเปรียบ”
พี่ใหญ่ของกลุ่มอย่างหลงเองก็เห็นด้วย เพราะอย่างไรเสีย มันก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าทั้งกลุ่มเพิ่งจะผ่านศึกอันหนักหน่วงและเอาชนะมาได้อย่างยากลำบาก ความเหนื่อยล้าทั้งทางกายและใจของทุกคนใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว
แต่ดูเหมือนเรื่องมันจะไม่เป็นอย่างนั้นง่าย ๆ เพราะอย่างน้อยวลาดกับอีกคนที่มาด้วยก็กำลังเล็งพวกเขาเป็นเป้าหมายอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่สคัลและอัศวินของอาเธอร์อีกสองคนยังแค่ดูท่าที
“ฉันคงไม่ปล่อยให้พวกนายหนีไปง่าย ๆ หรอกนะ”
ชายปริศนาคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้นในตำแหน่งที่ทุกคนมองเห็นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ดูโครงสร้างทางร่างกายแล้วคงเป็นผู้ชายที่สวมชุดสีดำสนิททั้งตัวด้วยแขนเสื้อและขากางเกงที่ยาวปิดบังผิวทั้งหมด นั่นยังแสดงความลึกลับที่เขามีไม่มากพอเท่ากับหน้ากากสีดำสนิทที่เขาสวมจนแทบจะกลมกลืนไปกับท้องฟ้ายามราตรี มีเพียงส่วนดวงตาเท่านั้นที่เป็นสีขาว
ว่าแล้วนั่นยังไม่ใช่เอกลักษณ์อย่างเดียวที่เขามี… เพราะสิ่งที่ทำให้พวกหู่มองพวกเขาไม่วางตา คือสิ่งที่ปรากฏขึ้นหลังจากนั้น ในขณะที่เขาค่อย ๆ ยกมือขวาขึ้นแสดงสิ่งที่อยู่ตรงหลังมือให้เห็น
มันคือรอยสักรูปมงกุฎ หรือตราราชันย์ที่ไม่แสดงหมายเลข… พริบตานั้นสายตาของทุกคนจะทั้งฝั่งอัศวินนักษัตรของชงหยวน อัศวินของราชันย์อาเธอร์หรือสคัลก็เปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกหวาดกลัวและขนลุกคล้ายกับเห็นผียังไงอย่างงั้น พร้อม ๆ กับที่เพ่งสายตามายังชายปริศนาคนนี้อย่างพร้อมเพรียง
แต่ถ้าคำนึงถึงความหมายเบื้องหลังตราสัญลักษณ์นั่นก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนจะรู้สึกแบบนั้น เพราะมันหมายความว่าเจ้าคนปริศนานี้คือราชันย์คนที่ 8 ที่ทุกคนคิดว่าตายไปแล้วจากเหตุการณ์กวาดล้างเผ่าแวมไพร์เมื่อหลายสิบปีก่อน แถมเขาคนนี้ยังเป็นแวมไพร์ที่น่าจะแข็งแกร่งที่สุดเพราะเป็นอดีตองค์รัชทายาทของอาณาจักรแวมไพร์อีกด้วย มันจึงไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นความจริง
วูม!!!
และในจังหวะที่ทุกคนกำลังสงสัยว่าตราราชันย์นั่นเป็นของจริงหรือไม่ พริบตานั้นตราราชันย์ก็ขยายใหญ่ขึ้นและเปล่งแสงสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ออกมาซึ่งแตกต่างจากของทุกคนในที่นี้ เป็นพริบตาเดียวกับที่จิตโดยรอบเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติอันเป็นเอกลักษณ์ของตราราชันย์ที่กำลังปล่อยจิตที่สะสมไว้ออกมา
เท่านั้นจึงเพียงพอแล้ว ที่จะยืนยันว่าตราราชันย์ไร้หมายเลขนี่… คือของจริง
“ทะ ท่านชงหยวน! เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ!”
ด้วยเหตุนั้น โหวจึงรีบติดต่อหาชงหยวนในทันทีที่รู้ข่าวร้าย
❖❖❖❖❖
———— ย้อนกลับไปช่วงดึกของเมื่อวาน , ตึกไร้ผู้คนอันเป็นจุดนัดพบระหว่างชินกับอัลเฟรด
หลังจากที่ชินและโอลิเวียถูกตามล่าค่าหัวอย่างหนักเลยต้องรีบกลับไปยังจุดนัดพบที่อัลเฟรดนัดไว้ก่อนแล้ว ชินก็ได้แสดงเจตจำนงให้เห็นว่าเขาแคลงใจในตัวอัลเฟรดที่เก็บความลับอะไรหลายอย่างแต่ทำทีเป็นไม่รู้ อย่างน้อยก็เรื่องที่ชินมีตราราชันย์ จึงต้องการให้อัลเฟรดแสดงความจริงใจออกมาไม่อย่างนั้นก็ตัดขาดความเป็นพันธมิตรกันเสียตรงนี้ให้ชัดเจน
และไม่ว่าจะดีหรือร้าย แต่อัลเฟรดนั้นเลือกอย่างแรก เขาจึงเริ่มอธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้ฟัง
“ก่อนอื่นคือ… เจตนาที่ผมไม่บอกท่านว่าผมรู้ตัวจริงของท่านสินะครับ” อัลเฟรดเริ่มด้วยเรื่องที่ชินสงสัยมาตลอด ซึ่งก็เป็นอย่างที่ชินต้องการเขาเลยไม่ขัดอะไร
“ถ้าให้พูดตรง ๆ ก็คือ… มันยังไม่สบโอกาสแล้วก็ยังไม่ถึงเวลาที่ผมวางแผนเอาไว้ล่ะนะครับ”
“ไม่สบโอกาสน่ะพอเข้าใจ แล้วที่ว่ายังไม่สบกับแผนที่วางเอาไว้ล่ะ? กำลังวางแผนอะไรอยู่?”
ชินถามจี้ตรงจุด และอันที่จริงชินก็พอจะเดาได้อยู่แล้วว่ามันคงจะเป็นแบบนั้นเพียงแต่ไม่รู้ว่าแผนของอัลเฟรดคืออะไรเท่านั้นเอง ซึ่งนั่นแหล่ะคือสิ่งที่ชินอยากรู้
“ก่อนอื่น… คุณชินพอจะรู้ไหมครับว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าทุกคนรู้การมีอยู่ของราชาคนที่แปด?” อัลเฟรดถามชินกลับในสิ่งที่ไม่ยากแก่การคาดเดานัก
“ก็คงถูกเพ่งเล็งนั่นแหล่ะ จากราชาทุกคน” ชินตอบแบบย่อ ๆ แต่ก็เข้าถึงแก่นของคำถาม
อย่างน้อยก็ในประเด็นหลัก คือ ราชาคนที่แปดผู้เป็นแวมไพร์สายเลือดแท้ที่เหลืออยู่ แถมอาจจะเป็นองค์รัชทายาทโดยตรงย่อมแข็งแกร่งเหนือราชาคนอื่น จึงถูกคิดให้เป็นภัยอันดับหนึ่งเหนือแองกริคราวน์เสียด้วยซ้ำ
“ใช่เลยครับ… มองในแง่หนึ่งมันอาจเป็นข้อเสียที่กลายเป็นจุดเด่นจนสร้างศัตรูกับทุกฝ่าย แต่ถ้าใช้เรื่องนี้ถูกจังหวะมันจะเป็นข้อได้เปรียบนะครับ”
“ยกตัวอย่างเช่นแผนของนายน่ะเหรอ?” ชินถามกลับ ทำให้อัลเฟรดพยักหน้ารับก่อนอธิบายต่อ
“ท่านชินยะคิดว่าวิธีไหนที่จะจบศึกนี้ได้เร็วที่สุดกันครับ?”
แต่สิ่งที่ได้กลับมาจากอัลเฟรดกลับเป็นคำถามอีกครั้ง พอเจอแบบนั้นบ่อยเข้า ขนาดโอลิเวียที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ชินยังหาวออกมาอย่างรำคาญใจ (ซึ่งเป็นการจงใจอย่างเห็นได้ชัด)
ในตอนนี้… วิธีปกติที่เห็น ๆ กันอยู่ คือการชิงดินแดนให้มากที่สุด เพื่อให้ศัตรูมีเขตแดนน้อยที่สุด
เพราะยิ่งราชาคนไหนมีเขตแดนมาก ก็ยิ่งสามารถสร้างอัศวินได้มากตาม และนั่นคือความได้เปรียบ
แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เป้าหมายของสงครามนี้มีเพียงแค่อย่างเดียว… นั่นคือการโค่นราชันย์คนอื่นยกเว้นตัวเองให้หมด แล้วยึดครองเขตแดนทั้งหมดให้ได้
แต่ในทางปฏิบัติ การทำแบบนั้นมันเสี่ยงเกินไป และหวังผลสำเร็จยาก จึงต้องสั่งสมกองกำลังให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้… นั่นแหล่ะคือสิ่งที่ทุกคนคิด และเป็นเหตุผลให้เกิดศึกชิงดินแดนขึ้นอย่างยืดเยื้อ
เพราะงั้น ถ้าจะถามว่าวิธีไหนที่จะจบศึกได้เร็วที่สุด… มันก็ต้องเป็นการทำเป้าหมายสุดท้ายของสงครามตั้งแต่แรก
“ให้ราชาบุกไปจัดการราชาคนอื่นตรง ๆ ไปเลยสินะ”
“ถูกต้องครับผม สมแล้วล่ะครับ” อัลเฟรดว่าพลางตบมือชื่นชม ไม่รู้นั่นมาจากใจไหม แต่ชินก็ไม่ได้สนใจมากนัก
“ผมเองก็ไม่คิดจะปล่อยศึกให้ยืดเยื้อนักหรอก เพราะยิ่งผ่านไป เจ้าพวกที่ยึดได้หลาย ๆ ที่มาก่อนแล้วอย่างรัสเซีย จีนหรือสหรัฐที่เป็น 3 ยักษ์ใหญ่ในตอนนี้ก็จะยิ่งได้เปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ… เพราะงั้นสู้เราบุกไปจัดการศัตรูตรง ๆ ทันทีตอนนี้เลยมันง่ายกว่าเยอะครับ” อัลเฟรดว่าแบบนั้น แล้วก็ทำให้ชินคิดตามด้วยความที่จำนวนศัตรูมันน้อยกว่า
และจนถึงตอนนั้น ชินก็เข้าใจเสียที ว่าอัลเฟรดคิดจะใช้การปรากฏตัวของราชาคนที่แปดเพื่อความเหนือกว่ายังไง และในจังหวะแบบใด
“อย่างนี้นี่เอง… นายคิดที่จะร่วมมือกับฉันไปรุมโจมตีราชันย์คนอื่นเพื่อปิดฉากสงครามสินะ”
“แต่ว่า… ถ้าเกิดทำแบบนั้น ราชาที่เหลือก็รวมกันโจมตีเราแทนสิคะ?” โอลิเวียเอ่ยถามอย่างสงสัย ซึ่งก็ถูกอย่างที่โอลิเวียว่า ชินเลยพยักหน้ารับ
“เพราะแบบนั้นถึงต้อง ‘รอเวลา’ ใช่ไหมล่ะ” ชินเน้นเสียงตรงคำสำคัญที่อัลเฟรดใช้อ้างไม่บอกความจริงกับชิน ก่อนจะพูดต่อ
“ในตอนนี้ยังไม่มีราชาคนไหนออกจากเกม… ดังนั้น จำนวนทั้งหมดรวมฉันด้วยก็จะมี 8 คน และที่อัลเฟรดเล็งไว้คือพยายามจะทำให้ศึกระหว่างราชาที่ฉันเข้าร่วมเพื่อปิดเกมได้อย่างแน่นอนเป็นการต่อสู้แบบ 2 ต่อ 1” ชินว่าแล้วก็ชูนิ้วประกอบการอธิบายให้โอลิเวียฟัง
“เพราะงั้น จำนวนของราชันย์ที่เหลือจึงมีความสำคัญ เพราะไม่งั้นเขาก็อาจจะเป็นฝ่ายเข้ามารุมแทนนั่นเอง ดังนั้น จังหวะเวลาที่อัลเฟรดรอก็คือ ในกรณีที่มีราชาเหลืออยู่สี่คน ก็จะจัดการรุมราชาคนนึงที่เหลือซะ พอเหลือศัตรูอีกคนเดียวก็สามารถใช้วิธีเดิมรุมจัดการได้เพราะไม่เหลือราชาอีกคนไว้เป็นพันธมิตรแล้ว หรือจะเป็นกรณีที่เหลือราชาอีกห้าคน ก็จะต้องเป็นกรณีที่สองในสามของราชาเป็นศัตรูที่ไม่มีทางร่วมมือกันได้แน่ ๆ เราก็จะจัดการราชาอีกคนที่เหลือซะ… เท่านี้แม้จะเหลือ 2 ต่อ 2 แต่อีกฝ่ายที่ร่วมมือกันไม่ได้ก็จะถูกเราแยกกันจัดการอยู่ดี”
“โห… สมบูรณ์แบบมากครับ นั่นแหล่ะที่ผมคิด”
อีกครั้งที่อัลเฟรดส่งเสียงชื่นชมออกมา แต่ก็เหมือนหลาย ๆ ครั้งที่อ่านไม่ออกว่ามาจากใจจริงหรือไม่
แต่อย่างไรก็ตาม นั่นก็ทำให้ชินรู้แล้วว่าอัลเฟรดวางแผนจะทำอะไร
“โอเค ถ้าเป็นงั้นก็พอรับได้” ชินตอบกลับไปแบบขอไปที เพราะเรื่องที่ได้ยินมา ที่จริงมันก็ไม่ได้ทำให้การปิดความลับเรื่องที่รู้จักชินอยู่แล้วชอบธรรมแต่อย่างใด
พูดให้ง่ายเข้าก็คือ ต่อให้วางแผนแบบนั้นเอาไว้ แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการบอกหรือไม่บอกว่าตัวเองรู้แล้วว่าชินเป็นใคร แต่ก็ตอบแทนเรื่องที่อัลเฟรดยอมบอกแผนการระยะยาวให้ฟัง ชินเลยยอมรับความเชื่อใจจากเขาอีกครั้ง
“ขอบคุณมากเลยครับท่านชิน” อาจเพราะรู้แบบนั้น อัลเฟรดเลยก้มขอบคุณชิน หากไม่ติดเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ชินคงรู้สึกว่านี่เป็นการขอโทษจากใจจริง
“ถ้างั้น… เรื่องแผนของท่านชงหยวนที่ผมอยากจะคุย ตอนนี้ก็คงเชื่อผมได้แล้วสินะครับ”
“เรื่องนั้นก็เหมือนเดิม… ฉันจะตัดสินใจเองว่ามันเชื่อได้ไหม”
ถึงชินจะกลับมาเชื่อใจ แต่แน่นอนว่าไม่ได้ปล่อยผ่านทุกเรื่อง เจอแบบนั้นเข้าไปแม้แต่อัลเฟรดเองก็รู้สึกเศร้าใจแบบแปลก ๆ จนยิ้มแห้ง ๆ ออกมา
แต่อย่างน้อยชินก็ยอมฟังแล้ว… อัลเฟรดปลอบใจตัวเองแบบนั้น ก่อนจะเริ่มพูดถึงแผนการของชงหยวน ซึ่งเป็นธุระหลักที่เขานัดพบกับชินและโอลิเวีย ณ ที่แห่งนี้
“งั้นเพื่อความบริสุทธิ์ใจอีกครั้ง ผมจะพูดละกันนะครับว่า ผมทราบว่าท่านชงหยวนเป็นอดีตคู่หมั้นของท่าน”
“เอาเถอะ… เรื่องนั้นถ้าเป็นคนที่เคยอยู่อาณาจักรแวมไพร์เก่าที่เขต 40 ก็ต้องรู้จักอยู่แล้ว” ชินบอกปัดอัลเฟรดที่พยายามซื้อใจ ดูเหมือนในสถานการณ์แบบไหนชินก็ไม่คิดจะปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำ
และถึงแม้อัลเฟรดจะลำบากเพราะมัน แต่ในขณะเดียวกันอัลเฟรดก็ชื่นชมจุดนี้ของชินเหมือนกัน
“เพราะงั้นแหล่ะครับ ผมเลยคิดว่าเธอคงเข้าหาท่านเพราะอยากตรวจสอบว่าท่านชินเป็นราชาคนที่แปดรึเปล่า?”
“อืม” ชินพยักหน้ารับ เพราะคิดแบบเดียวกันซึ่งเป็นอื่นไปไม่ได้อยู่แล้ว
“ก่อนอื่นเรื่องที่แองกริคราวน์ถูกตั้งค่าหัวนั้น ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นฝีมือของท่านชงหยวนที่สงสัยในความเกี่ยวข้องระหว่างท่านชินกับตัวแองกริคราวน์ แต่เพราะอะไรเธอถึงสงสัยแบบนั้นผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน” อัลเฟรดว่าแล้วก็ส่ายหัวพั่บ ๆ เสมือนจนปัญญา
“เรื่องนั้นช่างเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”
แต่เรื่องนั้นชินก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะขนาดเขาเองก็ยังไม่รู้เลย ว่าอะไรทำให้ชงหยวนสงสัยว่าเขากับแองกริคราวน์เป็นคนเดียวกัน
“ส่วนเรื่องวิธีที่ท่านชงหยวนจะใช้ตรวจสอบท่าน อันนี้ผมพอจะเดาได้ครับ” แล้วอัลเฟรดก็เปิดประเด็นในเรื่องที่ชินสงสัยเสียที ทำให้ทั้งเขาและโอลิเวียกลับมาตั้งใจฟัง
“ท่านชินรู้ใช่ไหมครับ… ว่าผู้ปกครองดินแดนสามารถระบุลักษณะของผู้คนและตำแหน่งได้”
“ใช่ และฉันก็ ‘รู้แล้ว’ว่าผู้ปกครองดินแดนสามารถตรวจสอบตราอัศวินและตราราชันย์ของคนในอาณาเขตได้ด้วย” ชินว่าแบบนั้น โดยแอบเน้นคำที่ทำให้อัลเฟรดรู้สึกสำนึก เพราะว่าอัลเฟรดเคยปิดบังข้อมูลนี้ แต่อัลเฟรดก็แค่หัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะพูดต่อเท่านั้น
“เพราะงั้นแหล่ะครับ… แผนการของท่านชงหยวนที่ผมคิดว่าคงไม่ผิดไปจากนี้ก็คงเป็นการยึดครองฝรั่งเศส แล้วใช้พลังของผู้ปกครองดินแดนตรวจสอบคุณชินนั่นเองครับ”
อัลเฟรดอธิบายอย่างมั่นอกมั่นใจ แต่อย่างไรซะมันก็ยังมีข้อขัดแย้งอยู่ และคนที่จับจุดนั้นได้คือโอลิเวีย
“คุณน่ะ เคยบอกไม่ใช่เหรอคะ… ว่าการจะยึดครองเขตแดนที่มีเจ้าของอยู่แล้ว จำเป็นต้องไม่มีตราราชาหรืออัศวินของพวกอื่นในดินแดนไม่งั้นก็ยึดไม่ได้ แล้วอย่างกรณีนี้ที่ชินมีตราราชาอยู่แล้ว ต่อให้พวกชงหยวนเอาชนะผู้ปกครองคนเก่าได้ ก็ยึดครองดินแดนไม่ได้อยู่ดีนี่คะ” โอลิเวียว่าจบชินก็พยักหน้าเห็นด้วยจากความสงสัยอย่างเดียวกัน
แต่พอโอลิเวียเอ่ยถามอย่างนั้นออกมา อัลเฟรดก็หน้าเสียเล็กน้อย ท่าทางของเขาเหมือนกลัวจะเสียความเชื่อใจยังไงชอบกล พอถึงจุดนั้นชินก็เลยขมวดคิ้วขึ้นมา
“อัลเฟรด… นายลืมบอกอะไรฉันอีกแล้วสินะ?”
“เดี๋ยวก่อน อันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจนะ! เพราะผมคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องบอกจริง ๆ” อัลเฟรดแก้ตัวแบบนั้น แต่ชินก็ไม่ได้ว่าอะไรเพิ่มเพราะอยากจะรู้เนื้อหามากกว่ามาฟังคำแก้ตัวเดิม ๆ อัลเฟรดเองก็รู้และไม่อยากเพิ่มความไม่พอใจให้ชินจึงรีบพูดในสิ่งที่ชินอยากได้ยิน
“มันมีกฎยึดครองพิเศษอยู่ครับ… ในกรณีที่เอาชนะผู้ปกครองดินแดนคนก่อนได้แต่ยังมีศัตรูไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามเหลืออยู่ในเขต หากใช้ตราอัศวินของฝ่ายที่เอาชนะผู้ครองดินแดนได้จำนวน 5 อันในการยึดครอง ก็จะสามารถละเว้นข้อจำกัดนั้นแล้วสามารถยึดครองดินแดนได้ครับ”
“หืม… เข้าใจละ”
ชินพยักหน้ารับ และคิดว่าถ้ากฎนี้มีอยู่จริงมันก็น่าเชื่อถือ และน่าเชื่อว่าชงหยวนจะใช้วิธีนี้
แม้ถ้าคิดตามหลักความเป็นจริง การใช้อัศวินถึง 5 คน แสดงว่าต้องละทิ้งดินแดนในอาณาเขตตัวเองถึงสามประเทศเพื่อที่จะชิงพื้นที่ของหนึ่งประเทศ ในกรณีปกติมันจึงไม่คุ้มเสีย แต่พอคิดว่าถ้าผลลัพธ์ออกมาเป็นการตรวจสอบหาราชาคนที่แปดที่เป็นตัวอันตรายที่สุด ในมุมมองของชงหยวนหรือราชาคนอื่นก็ตามมันคงถือว่าคุ้มค่า
และถ้าคิดถึงประสิทธิผล… หากยึดครองได้สำเร็จ ก็จะสามารถตรวจสอบตราราชาของชินได้อย่างแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วย เพราะงั้นโอกาสที่ชงหยวนจะใช้แผนการณ์นี้จึงมีเปอร์เซ็นต์สูงมากทีเดียว
“งั้นถ้ารู้แผนแล้วต่อไปก็คือวิธีการรับมือ… แต่การที่นายนัดพวกเรามาที่นี่ ก็คงจะคิดแผนไว้แล้วสิ”
“แหม ถูกรู้ทันจนได้” พอชินพูดเรื่องที่ใครก็ต้องรู้ อัลเฟรดกลับทำท่าเหนียมอายไม่สมตัวขึ้นเสียอย่างนั้น แต่นั่นก็เป็นก่อนที่เขาจะดันคานแว่นแล้วเปลี่ยนสีหน้าจริงจังขึ้นมา
“แต่แผนก็ไม่ใช่อะไรที่เข้าใจยากเลยครับ… ถ้าอีกฝ่ายตั้งใจจะยึดฝรั่งเศสเพื่อเปิดเผยตัวตนของท่าน เราก็แค่ไปขวางไม่ให้เธอยึดได้ก็พอแล้วครับ”
อัลเฟรดอธิบายแบบนั้น ซึ่งถ้าว่ากันตามหลักการ มันก็เป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะใช้ยับยั้งแผนการของชงหยวน แต่ว่า…
“แต่ว่าแบบนั้น… ชงหยวนก็จะยิ่งสงสัยในตัวฉันเข้าไปใหญ่น่ะสิ”
จริงดังที่ชินว่า หากสถานการณ์กลับกลายเป็นแบบนั้นไป ข้อสงสัยของชงหยวนย่อมจะยังไม่ถูกพิสูจน์ว่าจริงหรือเท็จ พอเป็นแบบนั้นด้วยนิสัยของชงหยวน เธอจะต้องหาทางพิสูจน์ตัวตนของชินให้ได้อยู่ดีไม่ว่าจะทางไหนหรือวิธีใดก็ตาม แถมการที่ขัดขวางแผนการของเธอได้สำเร็จ ชงหยวนคงไม่มองว่าเป็นเหตุบังเอิญแน่ ซึ่งพอเป็นแบบนั้นมันจะเหนื่อยเอามาก ๆ เพราะชินต้องระแวดระวังชงหยวนมากกว่าตอนนี้เสียอีก
“เพราะแบบนั้นแหล่ะครับ เราจะใช้วิธีสร้างตัวล่อขึ้นมา” แต่ดูเหมือนอัลเฟรดเองก็ไม่ได้มองข้ามจุดผิดพลาดที่ชินมองเห็น เขาถึงเสนอส่วนเสริมของแผนการณ์ให้ฟัง
“เราจะสร้าง ‘ราชาคนที่แปด’ ไปปรากฏตัวกลางศึก… ในขณะเดียวกับที่ใช้บุคคลที่สามที่สามารถปลอมตัวเป็นคุณได้ไปอยู่ในกลุ่มกับท่านชงหยวน เพื่อให้ทุกคนคิดว่าท่านชินกับราชาคนที่แปดเป็นคนละคนกัน เท่านั้นก็เพียงพอแล้วครับ! เพราะอย่างไรเสีย ตอนนี้คุณชินก็กำลังใช้คน ๆ นั้นปลอมตัวเป็นคุณให้อยู่ที่โรงแรมในขณะที่ตัวเองออกมาในฐานะของแองกริคราวน์นี่ครับ?”
“……”
แผนการของอัลเฟรดเข้าใจง่าย และถ้าคำนึงจากอะไรหลาย ๆ อย่างก็ดูท่าจะมีเปอร์เซ็นต์สำเร็จสูง แม้จะนำตัวแปรที่ว่าอาจถูกชงหยวนจับได้เรื่องตัวปลอมแผนนี้ก็ยังพอเป็นไปได้ เพราะแม้แต่ตอนนี้ตัวปลอมของชินที่นอนหลับในห้องส่วนตัวก็ยังไม่มีใครดูออก และเพื่อป้องกันการแสดงท่าทางมากเกินไปก็สามารถให้คนที่เล่นเป็นชินตัวปลอมนั้นอ้างว่าไม่สบายแล้วนอนพักในห้องตลอดทั้งวันก็ยังได้
แต่ยังไงก็ตาม นั่นก็เป็นแผนที่ดีที่สุดแค่สำหรับในมุมมองของอัลเฟรดที่เป็นบุคคลที่สามเท่านั้น
“ก็เป็นแผนที่ดูดีใช้ได้… ตกลงตามนั้นแล้วกัน”
“เยี่ยมเลยครับ ถ้างั้นผมคงรบกวนเวลาเท่านี้… ทั้งสองคนเองก็คงต้องใช้เวลาจัดการเรื่องของฝั่งแองกริคราวน์เหมือนกัน เพราะงั้นผมคงไม่กวนแล้ว”
“อ่าห๊ะ” ชินพยักหน้ารับเบา ๆ ในขณะที่อัลเฟรดโค้งคำนับก่อนจาก
“เรื่องเวลาและสถานที่ของวันพรุ่งนี้เดี๋ยวผมจะติดต่อไปนะครับ ผมเองก็ไม่ได้อยู่ห่างจากแถว ๆ นี้นักหรอก”
อัลเฟรดว่าแบบนั้นทิ้งท้าย ก่อนจะเดินจากไปในทิศเดียวกับที่เขาเดินเข้ามา
ทิ้งเหลือไว้แค่ชินกับโอลิเวีย
“จะดีเหรอคะ ท่านชิน?” โอลิเวียรอจนกระทั่งอัลเฟรดออกไปนอกระยะการได้ยิน จึงเอ่ยถามชินออกมาแบบนั้น
“เรื่องอะไรเหรอ?” ชินถามกลับ ทั้งที่ใบหน้ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
“ก็เรื่องที่จะทำตามแผนการของผู้ชายคนนั้นไงคะ? เราเชื่อใจเขาได้จริงเหรอคะ?” โอลิเวียเอ่ยถามคำถามสำคัญกับชินอีกครั้ง แน่นอนอยู่แล้วว่าต้นเหตุก็มาจากความเป็นห่วงนั่นแล
แต่ว่าอย่างไรก็ดี…
“ถ้าคำนึงถึงความเป็นไปได้ที่ชงหยวนจะใช้แผนการนี้ วิธีตอบโต้ของอัลเฟรดก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดี”
“แต่ว่า!”
ท่าทางที่เหมือนกับจะเห็นด้วยกับอัลเฟรดของชิน ทำให้โอลิเวียเป็นกังวลขึ้นมา เพราะจากเรื่องที่ผ่านมา โอลิเวียไม่สามารถเชื่อใจอัลเฟรดที่ปิดบังเรื่องสำคัญกับชินได้อีกต่อไปแล้ว และชินเองก็เข้าใจโอลิเวียดีว่าเธอเป็นห่วงเขาขนาดไหน
ที่ชินทำได้ จึงมีเพียงแค่การปลอบประโลมเธอด้วยการลูบศีรษะของโอลิเวียเบา ๆ หวังให้เธอคลายความกังวลที่ตอนนี้เหมือนจะมีมากเกินไปให้น้อยลงมาบ้าง
…ในขณะที่คิดอะไรบางอย่างไปด้วย
“แต่ฉันก็คิดเหมือนกับเธอนะโอลิเวีย… บางทีเจ้าหมอนั่นอาจหวังผลอย่างอื่นจากการวางแผนแบบนั้นก็ได้”
ชินถึงได้พูดแบบนั้นออกมา ซึ่งถ้าคำนึงจากเรื่องที่ผ่านมา มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่อัลเฟรดจะวางแผนอื่นซ้อนไว้ และมีสิ่งที่หวังผลนอกเหนือจากการปิดบังความลับของชิน
และถ้าผลลัพธ์ที่ออกมาจากการวางแผนของอัลเฟรด มันดันทำให้ชินเสียหายในอนาคตคงขำไม่ออกแน่
“เพราะงั้นแหล่ะ… ฉันเลยคิดว่าจะแอบเปลี่ยนแผนของหมอนั่น ‘นิดหน่อย’ ”
ชินว่าแบบนั้นในขณะที่ฉีกยิ้ม และหมายหมั้นอยู่ในใจว่าถึงเวลาออกจากกำมือของอัลเฟรดเสียที
❖❖❖❖❖
———— ปัจจุบัน , งานเต้นรำ
“เป็นอะไรรึเปล่า? ไหงอยู่ ๆ ก็เงียบไปแบบนั้นล่ะ?”
ชินเอ่ยถามชงหยวนที่นิ่งไปสักพัก แต่ก็เป็นการถามเพื่อข่มแสดงความเหนือกว่า โดยพยายามไม่ให้ชงหยวนรู้สึกถึงความคิดนั้นได้ ในขณะที่ปล่อยให้ชงหยวนงงงวยกับความจริงที่ได้ยินจากหูฟัง
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมอยู่ ๆ ราชาคนที่แปดก็โผล่มากัน?
โหวไม่น่าจะแจ้งข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ เพราะงั้นเป็นความจริงแน่
ถ้างั้น… ชินที่อยู่ตรงนี้ล่ะ?
ชงหยวนหน้าเสียเล็กน้อยเพราะความสับสน แต่ก็ยังรักษาแรงที่กุมมือชินขณะเต้นรำไว้รวมถึงไม่ทำให้ฟุตเวิร์คของตัวเองในขณะเต้นรำช้าลงจนผิดสังเกตด้วย
อย่างไรก็ดี สำหรับชินที่เห็นว่าชงหยวนเงียบไป เขาคิดเพียงแค่ว่าต้องต่อบทสนทนาของเธอตามมารยาทเท่านั้น และทำลงไปเพื่อไม่ให้ผิดปกติวิสัย
“เธอถามฉันว่ายังอาลัยอาวรณ์อดีตอยู่รึเปล่าสินะ? ทำไมถึงได้ถามอย่างนั้นล่ะ?” ชินจึงเอ่ยถามถึงสิ่งที่ชงหยวนถามเขาค้างไว้
“…ก็แค่สงสัยเท่านั้นแหล่ะค่ะ เพราะมันผิดวิสัยของคุณที่ปล่อยให้พวกนั้นแย่งชิงอยู่ฝ่ายเดียว” ชงหยวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูใจเย็นที่สุด แต่ก็ยังไม่อาจรอดพ้นสัมผัสของชินได้อยู่ดี
“ฉันจะทำอะไรได้เล่า ขนาดเธอเองยังต้องแกล้งตายเลยไม่ใช่เหรอ?” ชินถามกลับในสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เหมือนพยายามชี้นำให้ชงหยวนมองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมากกว่าสิ่งที่อยากจะทำเพราะมันเป็นอุดมคติมากเกินไป
“แต่คุณก็เห็นนี่คะ ว่าฉันก็ยังยืนอยู่ตรงนี้… เพื่อเป้าหมายของตัวเอง”
“เป้าหมายเหรอ?” ชินถามกลับในจังหวะที่ชงหยวนต้องจับมือและหมุนรอบตัวเองโดยใช้มือของชินเป็นจุดหมุนจนสุดท้ายก็เป็นท่าที่ชินต้องประคองเธอ
ก่อนจะใช้มืออีกข้างช่วยพยุงร่างของชงหยวนขึ้น เป็นอันจบเพลงพอดิบพอดี
ไม่ว่าบทสนทนาหรือเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างชินกับชงหยวนจะเป็นอย่างไร แต่ก็เป็นความจริงที่การเต้นรำระหว่างทั้งสองคนนั้นน่าดึงดูด งดงามและชวนให้หลงใหลตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะแบบนั้นทุกคนในงานเลี้ยงถึงปรบมือเสียงดังชื่นชมความสามารถของทุกคู่ แต่แน่นอนว่าส่วนใหญ่ส่งให้ชินกับชงหยวน
และเพราะการเต้นรำระหว่างทั้งสองคนจบลงแล้ว ชงหยวนจึงจีบกระโปรงสองข้างบอกลาชินจากเวทีนี้ ตามมารยาท ก่อนจะค่อย ๆ เดินจากออกไปจากชิน ในขณะที่ชินเดินกลับไปรวมกลุ่มกับโอลิเวียและเกวน
“ซูซานเป็นอะไรเหรอ?” เกวนเอ่ยถามถึงชงหยวน… ซูซานที่ค่อนข้างหนีฉากอย่างรีบร้อนหลังเต้นรำเสร็จแล้ว
“แหม… เรื่องนั้นก็ไม่รู้สินะคะ”
แต่ทั้งที่เกวนหวังว่าชินซึ่งเป็นคนที่อยู่กับซูซานจนถึงเมื่อกี้จะเป็นคนตอบคำถาม ทว่าคนที่ตอบคำถามกลับเป็นโอลิเวียที่อยู่กับเธอมาตลอดซะอย่างนั้น
…แถมโอลิเวียที่พูดแบบนั้นยังแอบฉีกยิ้มออกมาเล็ก ๆ ด้วยความพึงพอใจบางอย่างออกมาอย่างเห็นได้ชัด แม้กระทั่งน้ำเสียงของโอลิเวียยังแสดงให้เห็นว่าพอใจเอามาก ๆ ที่ชงหยวนร้อนรนแบบนั้น
ถ้าจะเอาให้ชัดเจนกว่านั้นก็คงไม่พ้นคำว่า ‘สะใจเอามาก ๆ’ นั่นแล
พอเห็นแบบนั้น แม้แต่ชินเองยังได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ออกมา และสำหรับเกวนที่เห็นแบบนั้น เลยรู้สึกว่าคงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ แม้จะไม่รู้เหตุผลหรือสถานการณ์เบื้องหลังก็ตามที
ในขณะเดียวกัน ทางฝั่งของซูซาน… ชงหยวนที่รีบร้อนหนีออกมาจากงานเต้นรำนั้นกำลังมุ่งตรงไปที่ห้องส่วนตัว เพราะในตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในห้องจึงเป็นที่ที่เหมาะสมจะคุยเรื่องส่วนตัวและซ่อนท่าทีร้อนรนของตัวเอง
“โหวรายงานสถานการณ์ด้วย”
พอชงหยวนกลับเข้ามาในห้องส่วนตัวในโรงแรมแล้ว เธอก็ติดต่อกลับไปหาโหวที่ยังอยู่ในสนามรบทันที
ส่วนทางด้านของโหวนั้น…
“ไม่ดีเลยค่ะ… ตอนนี้ในสนามรบมันมะรุมมะตุ้มมั่วซั่วไปหมดเลยค่ะ” โหวตอบกลับในขณะที่หลบอยู่ในซากตึก เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงระเบิดดังมาจากรอบทิศทางเพราะเกิดการต่อสู้จากกลุ่มอื่น
ตอนนี้พวกของชงหยวนที่สามารถต่อสู้ได้มีแค่หลงที่กำลังกายผิดมนุษย์มนาเป็นเป็นเผ่าดรากูนกับหู่ที่เพิ่งมาสมทบเท่านั้น และตอนนี้พวกเขาก็กำลังออกไปสู้ถ่วงเวลาให้หนิว ทู่ สู่และโหวหาทางหลบหนีออกไปได้
แต่สถานการณ์โดยรวมยังห่างไกลจากคำว่าไว้ใจได้ เพราะอย่างน้อยที่รู้แน่ ๆ คือ วลาดพุ่งเป้ามาที่พวกของโหวอย่างเห็นได้ชัด จึงกำลังต่อสู้อยู่กับหลงและหู่ ส่วนทางด้านของอัศวินมอเดร็ดกับลานเซลอตกำลังต่อสู้อย่างชุลมุนอยู่กับทั้งสคัลและราชาคนที่แปด
คำนึงจากสถานการณ์ เห็นได้ชัดว่ามอเดร็ดกับลานเซลอตพยายามจะชิงตัวเคย์กลับไปหรือก็คือมาเพื่อช่วยเหลือพวกพ้อง ในขณะที่สคัลกับราชาคนที่แปดพยายามตัดกำลังของพวกเขาด้วยการพยายามสังหารเหล่าอัศวินให้ได้ รวมถึงไม่ยอมให้พาตัวเคย์ไปได้
และทางด้านของหลงกับหู่ที่กำลังรับมือกับวลาดเอง ก็กำลังอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แต่ต่างกันตรงความแข็งแกร่งส่วนบุคคลที่ค่อนข้างเสียเปรียบ เพราะเป็นสองตราอัศวินปะทะหนึ่งตราราชันย์
“นี่ ๆ… คิดจะไปไหนกันเหรอครับ ไม่คิดจะเล่นด้วยกันก่อนรึไง?”
วลาดว่าแบบนั้น ในขณะที่ใช้ของเหลวจำพวกแอ่งน้ำที่หาได้ง่ายจากการที่ทั้งเมืองเพิ่งถล่ม ยิ่งทำให้ไนท์ที่สามารถเปลี่ยนของเหลวให้เป็นของแข็งได้อย่างเขาได้เปรียบในการต่อสู้มากยิ่งขึ้นไปอีก
เขาจึงเปลี่ยนของเหลวทั้งหมดเป็นหอกแล้วเริ่มโจมตีหลงกับหู่จนพวกเขาได้แต่ปัดการโจมตีพวกนั้นออกและหนีไปไหนไม่ได้ เรียกว่าฝันร้ายครั้งที่เคย์ใช้ไนท์แปรเปลี่ยนลำแสงได้หวนกลับคืนมาอีกครั้ง ในรูปแบบที่ไม่สามารถขัดขวางหรือหาวิธีทำลายได้
“บ้าเอ้ย! อย่างนี้จะแพ้เมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาไม่ใช่เหรอ?” หู่พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดในขณะที่ทำได้แค่ปัดป้องการโจมตีของวลาด ส่วนหลงนั้นกลับนิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ ๆ แล้ว
ในขณะที่หู่กำลังคิดว่าเขาต้องการจะทำอะไร ก็เป็นเวลาเดียวกับที่หลงแสดงให้เห็นพอดิบพอดี
เขาเริ่มรวบรวมจิตจนออร่าสีแดงหนาเตอะเข้มข้นอีกครั้ง พร้อมตั้งท่าและขยับตำแหน่งมาแทนที่หู่ เป็นสัญญาณชัดเจนว่าต้องการจะเสียสละอยู่ที่นี่คนเดียวแล้วให้หู่ไปรวมกับพวกที่เหลือเพื่อให้ครบจำนวน 5 คนที่จะทำสัญญากับดินแดนนี้ด้วยกฎพิเศษ ซึ่งพอทำแบบนั้นได้ ชัยชนะก็จะตกเป็นของพวกชงหยวนทันที
“คิดว่าจะปล่อยให้หนีไปง่าย ๆ เหรอครับ!!!?”
แน่นอนว่ามันไม่ยากเกินการคาดเดา วลาดจึงรีบพุ่งการโจมตีทั้งหมดไปยังหู่ที่กำลังรีบหนี ราวกับมีคมหอกนับไม่ถ้วนได้พุ่งเข้าใส่หู่
แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน หลงก็พุ่งเข้าไปแล้วทำลายการโจมตีทั้งหมดลงอย่างง่ายดาย ในขณะเดียวกันก็พุ่งเข้าไปโจมตีวลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เขาพุ่งความสนใจมาที่ตัวเองด้วย
ดูเหมือนการใช้แค่น้ำทั่วไปจะแข็งไม่พอที่จะทำลายเกล็ดของเผ่าดรากูนสินะครับ
แต่ยังไงก็เถอะ… ต้องเสียใจด้วยนะครับที่ฝั่งนี้ไม่ได้มาคนเดียว
อัลเฟรดกระหยิ่มยิ้มย่องแบบนั้นอยู่ในใจ เพราะได้วางแผนกับชินในฐานะของราชาคนที่แปดไว้แล้วว่าให้ขัดขวางแผนการณ์ยึดครองฝรั่งเศสของพวกชงหยวนให้ได้เป็นจุดประสงค์แรก ดังนั้น ในสถานการณ์ที่หู่กำลังจะหนีไปสมทบกับอีก 4 คนจนรวมกันครบจำนวนที่สามารถใช้กฎพิเศษได้นั้น ชินย่อมไม่ยอมปล่อยให้มันเกิดขึ้นแหงอยู่แล้ว
อะไรกัน!!?
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็นอย่างที่อัลเฟรดคิดวางแผนเอาไว้ เพราะชินที่เป็นราชาคนที่แปดตอนนี้ ไม่ได้มีท่าทีกระตือรือร้นที่จะเข้ามาขัดขวางหู่ที่กำลังหนีเลยสักนิด
ไม่สิ… พูดให้ถูกคือไม่สนใจเลยสักนิดต่างหาก เพราะแบบนั้นแหล่ะหู่ถึงได้อาศัยช่องว่างที่หลงดึงความสนใจไว้ให้หนีไปจากสนามรบได้อย่างงดงาม
คิดจะทำอะไรของเขากันนะ!
อัลเฟรดได้แต่คิดแบบนั้น เพราะไม่เข้าใจว่าชินจะปล่อยให้พวกชงหยวนยึดครองฝรั่งเศสได้สำเร็จไปทำไม ในเมื่อความลับเรื่องที่คนเต้นรำกับชงหยวนในงานไม่ใช่ชินรวมถึงเรื่องที่ชินเป็นราชาคนที่แปดจะแดงขึ้นมาแท้ ๆ
วูม!!!!
ในขณะที่ความสงสัยนั้นยังไม่ถูกแถลงไข ด้วยระยะที่ห่างออกไปหลายกิโลเมตรทิศเดียวกับที่หู่อาศัยจังหวะชุลมุนหนีไป ก็มีเสาแสงสีแดง Scalet พวยพุ่งขึ้นเหนือพื้นดินจรดปลายสุดของท้องฟ้า
เป็นสัญญาณชัดเจน… ว่าฝรั่งเศสตกเป็นของฮ่องเต้ไปแล้ว
❖❖❖❖❖
แสงนั่น? สำเร็จแล้วสินะ!!!
ชงหยวนที่รออยู่ในห้องส่วนตัวของโรงแรมอย่างใจจดใจจ่อจนถึงขึ้นนั่งไม่ติด มองเห็นเสาที่มีแสงแบบเดียวกับของเธอเองในขณะที่ยืนชิดติดริมหน้าต่าง
“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง ทุกคนปลอดภัยรึเปล่า?” นั่นคืออย่างแรกที่ชงหยวนเอ่ยถามโหวผ่านอุปกรณ์สื่อสาร
“ค่ะ! ทันทีที่เรายึดได้ ศัตรูทั้งหมดก็ถอนกำลังทันที พวกเราหกคนไม่มีใครเป็นอะไรเลยค่ะ!”
“ยอดเยี่ยมมากทุกคน ทำได้ดีจริง ๆ”
ชงหยวนตอบกลับด้วยรอยยิ้มและสีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรเพราะในห้องนี้มีแค่เธออยู่คนเดียว
แต่หลังจากที่ดีใจเสร็จไปแล้ว ชงหยวนก็กลับมาทำสีหน้าจริงจังอีกครั้ง เพราะมีเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องทำ
“ตรวจสอบตราราชันย์ของราชาคนที่แปดนั่นซิว่าใช่ของจริงไหม?” ชงหยวนเริ่มด้วยคำถามแรก
“ค่ะ… เขาคนนั้นเป็นบุคคลที่สามและตราที่แสดงให้เห็นเป็นของจริงค่ะ” โหวยืนยันแบบนั้น
“แล้ว… ชินยะที่อยู่ใกล้ ๆ ฉันใช่ตัวจริงไหม?” ชงหยวนถามด้วยน้ำเสียงที่ต่างออกไปจนแม้แต่พวกโหวยังสังเกตได้
มันมีความอ่อนนุ่มกว่าปกติมาก และถ้าจะให้พูด… คือเป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาดหวังบางอย่าง
“ค่ะ… คนที่ยังอยู่ในงานเต้นรำ ทั้งโอลิเวีย ลาสฟอร์เทรส และชินยะ นัวรอย โซลเลนไม่ผิดตัวแน่นอนค่ะ”
“…งั้นเหรอ ขอบใจมากสำหรับรายงานนะ”
ยิ่งพอได้ยินคำตอบแบบนั้นเข้าไป น้ำเสียงของชงหยวนก็ดูเหมือนจะอ่อนนุ่มและละมุลลงอีกหลายเท่านัก ก่อนที่ฝั่งชงหยวนจะเป็นฝ่ายตัดสัญญาณการติดต่อไปเอง ด้วยสาเหตุที่พวกโหวไม่เข้าใจ
…ส่วนทางด้านของชงหยวนนั้น พอได้ยินแบบนั้นเข้า ขาของเธอก็อ่อนระทวยจนต้องหย่อนก้นลงกับขอบเตียงที่อยู่ใกล้ ๆ เลยทีเดียว แต่ทั้งอย่างนั้นขอบริมฝีปากกลับฉีกยิ้มออกมา ราวกับอดกลั้นความดีใจที่อยู่ในอกไม่ให้ล้นปรี่ออกมาไม่ไหว
“อา… ไม่ใช่จริง ๆ สินะ” ชงหยวนพูดแบบนั้นในลำคอด้วยเสียงที่อ่อนหวานจนเกินกว่าที่ใครจะเชื่อว่าออกมาจากปากของหญิงสาวผู้หยิ่งในศักดิ์ศรีคนนี้ได้
“ดีจังเลย”
ทั้งใบหน้าที่แดงก่ำ รอยยิ้มที่ฉีกกว้างและร่างกายที่เริ่มขดตัวด้วยความดีใจ เป็นลักษณะของหญิงสาวธรรมดาที่เหมือนจะปลดเปลื้องปณิธานที่ไม่ไม่พึงประสงค์ของตัวเองได้ไปแล้ว
…จะหลงเหลือก็แต่ความรู้สึกในฐานะของหญิงสาวเท่านั้น
❖❖❖❖❖
หลังจากที่งานเต้นรำจบลง ก็มีงานเลี้ยงอำลาการทัศนศึกษาอย่างครึกครื้นสมเป็นกิจกรรมของเด็ก ม.ปลายทั่วไป งานอันรื่นเริงสนุกสนานนี้แม้แต่เคนเนธเองก็เข้ามาร่วมด้วย เพราะมันเป็นงานที่ไม่มีพิธีรีตองแบบที่เขาชอบ และเป็นงานกระชับมิตรทั่วไปที่ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมดี ๆ ปิดท้ายการทัศนศึกษาอันยาวนานและอาจจะหนักหน่วงสำหรับใครหลาย ๆ คน โดยเฉพาะชินกับโอลิเวีย
แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา… หลังปิดงานอำลาทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับบ้านในเช้าวันพรุ่งนี้ แต่ความตื่นเต้นที่ได้รับจากงานเลี้ยงอำลาคงยากที่จะทำให้ทุกคนหลับลงในช่วงเวลาแบบนี้ จึงมีนักเรียนหลายคนที่ยังไม่ยอมหลับยอมนอนและกำลังคุยเล่นกับเพื่อนในห้องส่วนตัวเป็นส่วนใหญ่ หรือแม้แต่ออกไปเดินเล่นในโรงแรมหรือร้านค้าของโรงแรมเองก็ยังมี
หากเป็นโรงเรียนอื่น เหล่าอาจารย์ก็คงจะกำชับนักเรียนและบังคับให้ทุกคนเข้านอนให้เรียบร้อยตั้งแต่หลังเลิกงาน แต่ก็อย่างที่เคยกล่าว ว่าโรงเรียนเซนต์ลอว์เรนซ์ของพวกชินนั้นมุ่งเน้นไปที่การฝีกสอนให้นักเรียนทุกคนมีความรับผิดชอบส่วนบุคคล ดังนั้น ทุกคนจึงต้องดูแลตัวเองและรักษาเวลาอันเหมาะสมที่ควรจะเข้านอนด้วยตัวเอง แต่จะว่าปล่อยปละละเลยก็ไม่ใช่ เพราะอย่างน้อยพวกอาจารย์ก็ตกลงกันไว้ว่าจะมีการตรวจเช็คในช่วงเวลาเที่ยงคืนของคืนนี้เพื่อให้มั่นใจว่านักเรียนทุกคนจะพักผ่อนอยู่ในห้องส่วนตัวของโรงแรมแล้วอยู่ดี
และสำหรับความเสรีที่โรงเรียนมอบให้นักเรียนเดินไปไหนมาไหนในโรงแรมได้ แต่นั่นก็ไม่ถึงขนาดที่มอบอิสระให้นักเรียนออกไปนอกตัวโรงแรมเพราะเวลาแบบนี้มันอันตราย
แต่ทั้งอย่างนั้น… กลับมีนักเรียนชายหญิงสองคนแอบเดินออกมาจากตัวโรงแรมได้อย่างสบาย ๆ โดยที่ไม่มีใครมองเห็นนอกจากกล้องวงจรปิด ซึ่งหากดูไปก็คงเป็นแค่นักเรียนที่อยากแอบออกมาเดินเล่นเปลี่ยนบรรยากาศข้างนอกบ้างเท่านั้น
และเรื่องน่าสนใจก็คือ ชายหญิงสองคนดังกล่าว คือชินกับโอลิเวียในชุดไปรเวทเบาสบายแต่ยังหนาพอจะต้านลมหนาวของสภาพอากาศในทวีปยุโรป
ทั้งสองคนเดินลัดเลาะไปตามถนน เยี่ยมชมแสงสียามค่ำคืนที่ถูกประดับประดาด้วยแสงเล็กน้อย
“จะว่าไป ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะชิน ที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนน่ะค่ะ” พอได้จังหวะที่ไม่มีใครอยู่ โอลิเวียก็เอ่ยกับชินที่เดินเคียงกันอยู่ ด้วยน้ำเสียงชื่นชมและยกยอปอปั้นจากใจเหมือนเคย
“ไม่ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตหรอกน่า” ชินกล่าวแบบขอไปทีเพราะรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่ถึงเขาจะพูดแบบนั้น เขาก็ยังยิ้มออกมาด้วยความพอใจอยู่ดี และโอลิเวียเองก็สังเกตได้
“เรื่องนั้นไม่จริงเลยค่ะ” โอลิเวียส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะสำหรับเธอ อย่างไรเสียชินก็ยังทำเรื่องที่สุดยอดมาก ๆ อยู่ดี
และสาเหตุที่ทำให้โอลิเวียคิดแบบนั้น ก็มาจากแผนการที่ชินซ้อนแผนของอัลเฟรด เลยทำให้ความสงสัยในตัวชินของชงหยวนหายไปอย่างสิ้นเชิงพร้อม ๆ กับที่แผนการของอัลเฟรดไม่เป็นอย่างที่เขาต้องการ
ย้อนกลับไปถึงเหตุผลที่ชินต้องสร้างตัวตนอีกคนนึงขึ้นในฐานะของราชาคนที่แปดในขณะที่ตัวเองอยู่กับชงหยวน เพื่อตบตาเธอให้เข้าใจผิดว่าราชาคนที่แปดและชินเป็นคนละคนกันซึ่งเป็นแผนดั้งเดิมของอัลเฟรด อันที่จริงชินรู้อยู่แล้วว่าถ้าหากใช้แผนนี้มันจะไม่ได้ผล เพราะคนที่รู้จักนิสัยของชงหยวนอย่างชินย่อมรู้อยู่แล้วว่า หากชงหยวนไม่ได้พิสูจน์ความจริงด้วยวิธีที่เธอต้องการ เธอย่อมจะไม่เชื่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าผลลัพธ์อะไรจะเกิดขึ้นตรงหน้าก็ตาม
และสาเหตุหลักที่สำคัญที่สุด… เฉกเช่นเดียวกับที่ชินรู้จักชงหยวนดี ชงหยวนเองก็รู้จักชินดีเช่นกัน ดังนั้น ถ้าเป็นชงหยวนล่ะก็ เธอสามารถจับสังเกตได้ง่าย ๆ หากไม่ใช่ชินตัวจริงที่กำลังเต้นรำหรือคุยกับเธอ เพราะงั้นถ้าใช้ตัวปลอมไปอยู่กับชงหยวน ยังไงแผนการก็ไม่สำเร็จแน่นอน นั่นถึงเป็นเหตุผลที่เมื่อวานนี้ชินให้ตัวปลอมของชินเอาแต่นอนอยู่ในห้องส่วนตัวของเขาเพื่อหลบเลี่ยงการพบเจอกับชงหยวน และเพราะชงหยวนเซนส์ดีขนาดนั้น ชินจึงถูกบีบแผนการเหลือแค่ตัวเขาตัวจริงต้องอยู่กับชงหยวนเท่านั้น
ซึ่งนั่นจะนำไปสู่คำถามถัดไปที่ว่า จะต้องทำยังไงถึงจะทำให้ตราราชันย์ของชินไปอยู่ที่อื่นในขณะที่ตัวเขาตัวจริงอยู่กับชงหยวน ซึ่งคิดตามปกติมันคงเป็นไปได้
แต่ข่าวดีก็คือ มันมีวิธีอยู่…
และคนที่จะทำแบบนั้นได้ก็คือคนที่แสดงเป็นชินตัวปลอมนั่นเอง และคน ๆ นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นอีกเช่นกัน นอกจากเลย์ล่า หญิงสาวผู้เป็นอาจารย์และแม่เลี้ยงของชินนั่นเอง เธอรับหน้าที่แสดงเป็นชินตัวปลอมในวันก่อน ขณะที่ในวันนี้นั้นเธอรับบทเป็นราชาคนที่แปดแล้วลงสู่สนามรบแทนที่ชิน
ส่วนคำถามที่ว่าเลย์ล่าสามารถย้ายตราราชันย์จากของชินไปไว้ที่ตัวเองได้ยังไงนั้น คำตอบก็มาจากไนท์ของเลย์ล่าที่เรียกว่า ‘การส่งผ่าน’ นั่นเอง
มันคือพลังที่สามารถย้ายสิ่งของที่ต้องการจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้อย่างไร้ข้อจำกัดในเชิงคอนเซปเหมือนกับไนท์ชนิดอื่น ๆ แต่ข้อจำกัดทางด้านการใช้งานยังมีอยู่ นั่นคือต้องสัมผัสกับสิ่งนั้นทางผิวหนังจึงจะย้ายสิ่งนั้นไปยังจุดที่ต้องการได้
ตอนแรกชินเองก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำได้หรือไม่ และถึงจะไม่สำเร็จชินก็มีแผนอื่นเผื่อไว้อยู่แล้วเช่นกัน ซึ่งก็ต้องขอบคุณที่แผนการนี้มันสำเร็จลงด้วยดี ชินเลยไม่ต้องใช้แผนอื่นที่ดูอันตรายกว่าอย่างการใช้ไนท์ ‘โอเวอร์ลอร์ด’ กับโอลิเวียเพื่อให้สามารถใช้พลังคืนชีพของเธอได้ แล้วก็แต่งตั้งให้เลย์ล่าเป็นอัศวิน จากนั้นก็ให้เลย์ล่าฆ่าชินเพื่อชิงตราราชาไปเป็นของตัวเอง
นั่นยังรวมถึงแผนการยิบย่อยต่าง ๆ แม้แต่เรื่องที่สร้างเกมทายจำนวนคนในร้านเพื่อกำหนดตัวคนเต้นรำ เพื่อตอกย้ำให้ชงหยวนเชื่อว่าคนที่คลุกคลีอยู่กับตัวเองในขณะเต้นรำเป็นชินตัวจริง ก็ยังถูกวางแผนให้ชงหยวนเป็นฝ่ายชนะตั้งแต่แรกด้วยการแกล้งแพ้ของโอลิเวียอย่างที่ได้นัดแนะกันไว้
และผลลัพธ์ของแผนการที่ชินคิดขึ้น ก็ปรากฏให้เห็นแล้วจากท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนของชงหยวนที่มีต่อเขาภายในงานอำลา ชงหยวนเข้าหาชินด้วยความสนิทสนมแบบไร้ข้อกังขา มากเกินกว่าปกติจนโอลิเวียหวนนึกถึงเมื่อก่อนเลยพาลทำให้โอลิเวียรู้สึกหงุดหงิดตามไปด้วยเลยทีเดียว ซึ่งถ้าไม่นับเรื่องนั้นแล้ว ก็จะเห็นได้ชัดเลยว่าชงหยวนหมดความเคลือบแคลงในตัวเขาแล้วจริง ๆ
ทั้งการนำหน้าอัลเฟรดที่ไม่รู้วางแผนอะไรเอาไว้เบื้องหลัง รวมถึงการไปให้เหนือกว่าแผนการซ้อนแผนการของชงหยวนที่ชินปฏิบัติมาอย่างแยบยล หากเป็นคนที่รู้เรื่องทั้งหมดนั่นอย่างโอลิเวีย เห็นทีจะไม่ชื่นชมชินก็คงจะไม่ได้
“ที่คุณทำมันยอดเยี่ยมมากจริง ๆ นะคะ เพราะงั้นให้ดิฉันได้เอ่ยชมคุณอีกครั้งเถอะนะคะ… เก่งมากเลยค่ะชิน” โอลิเวียถึงได้เอ่ยแบบนั้นออกมาอีก ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว
แล้วพอถูกชมบ่อยเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พออีกฝ่ายเป็นโอลิเวียแล้วกอปรกับรอยยิ้มในขณะที่เอ่ยชมยิ่งทำให้ชินรู้สึกเหมือนถูกปลอมประโลม ความเหนื่อยล้าจากการเผชิญสถานการณ์อันหนักหน่วงและยากลำบากมาตลอดตั้งแต่การปรากฏตัวของชงหยวนในฐานะของนักเรียนใหม่ก็หายไปในบัดดล
ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ รอยยิ้มของโอลิเวียคือสิ่งบรรเทาทุกข์สำหรับชินอย่างแท้จริง… บวกกับตำแหน่งที่พวกเขาหยุดยืนคุย แม้จะเป็นท้องถนนทางเดินเท้าที่โล่งไร้แสงไฟเว้นแสงจันทร์ แต่อาจเพราะมีแค่นั้น รอยยิ้มของโอลิเวียถึงโดดเด่นและทรงเสน่ห์มากกว่าทุกที
“แต่ว่า… ที่จริงก็มีเรื่องที่ดิฉันยังติดใจอยู่นะคะ”
อย่างไรก็ดี แม้แผนการทั้งหมดจะไปได้สวย แต่ดูท่าโอลิเวียจะไม่พอใจอะไรบางอย่างมาตลอด เรื่องนั้นชินเองก็สังเกตเห็นได้มาตลอด และอันที่จริง… มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเดาความคิดของโอลิเวียว่าเธอไม่พอใจอะไรอยู่
“เพราะดิฉันเอง… ก็อยากจะเต้นรำกับชินเหมือนกันแท้ ๆ”
โอลิเวียพูดในลำคอด้วยเสียงแผ่วเบาและเอียงอาย แม้ภายนอกจะเป็นคนเย็นชาจนอ่านอารมณ์แทบไม่ออก แต่พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชินเท่านั้นแหล่ะที่เธอจะเผยอารมณ์แท้จริงของตัวเองออกมาอย่างชัดเจนและซื่อตรงขนาดนี้
แม้ในยามปกติทั่วไป มันอาจไม่ใช่เรื่องที่เธอสามารถกล้าพูดและร้องขอออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำแบบนี้ แต่อาจเป็นเพราะช่วงนี้ชินกับโอลิเวียผ่านสถานการณ์อันยากลำบากจนเรียกว่าคับขันและเกือบจะเอาตัวไม่รอดมาแล้วหลายครั้งกระมัง
ในส่วนลึกของจิตใจของโอลิเวีย ถึงได้สั่งให้โอลิเวียทำตามหัวใจของตัวเองให้ถึงที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่รู้สึกเสียใจในภายหลังหากมีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ
…และดูเหมือนคนที่คิดแบบนั้น ก็ไม่ได้มีแค่โอลิเวียด้วย
ชินที่อ่านความรู้สึกของโอลิเวียออก จึงเดินเข้าไปใกล้จนยืนประจันหน้ากับเธอ
และพยายามตอบสนองคำขอของหญิงสาวตรงหน้าด้วยทุกสิ่งที่เขาสามารถมอบได้ในตอนนี้แม้มันอาจไม่ครบถ้วนอย่างที่เธอหวังก็ตาม
“ที่นี่อาจไม่มีดนตรีหรือแสงไฟ แต่ความงดงามของคุณมันทำให้ผมอดใจรอถึงเวลาที่แสงเทียนจะติดอีกครั้งไม่ไหวแล้ว…” ในจังหวะที่โอลิเวียกำลังสงสัยอยู่นั้น ชินก็ค้อมตัวลงเล็กน้อยในขณะที่ยื่นมือขวาไปทางเธอ
“ดังนั้น ถ้าไม่รังเกียจ… ได้โปรดเต้นรำกับผมตอนนี้เลยได้ไหม?”
และเชื้อเชิญสาวงามตรงหน้า ด้วยความกล้าหาญที่สุดที่จะมีได้ กับสถานการณ์ที่ไม่มีแม้แต่เสียงดนตรี แสงไฟ ผู้คน ไม่มีสิ่งใดเอื้ออำนวยต่อความปรารถนาของทั้งสองคนเลยสักนิด แต่ว่า…
“ยินดีอย่างยิ่งเลยค่ะ”
แต่ทั้งอย่างนั้น หญิงสาวที่ถูกเชื้อเชิญ โอลิเวียกลับยิ้มออกมาอย่างเป็นสุขจนแทบจะหลั่งน้ำตาแห่งความปิติอยู่แล้ว เธอยื่นมือออกไปคว้ามือของชินไว้และตอบรับคำเชื้อเชิญนั้นในทันทีอย่างที่ไม่จำเป็นต้องคิด
แล้วทั้งสองคนก็เริ่มเต้นรำกันทั้งอย่างนั้น ด้วยจังหวะพื้นฐานแบบที่ไม่ต้องใช้เสียงเพลง แต่ถึงเป็นแบบนั้นจังหวะของทั้งคู่กลับเข้าขากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ถึงขนาดเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบมากกว่าที่ชินกับชงหยวนแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้เสียอีก
“ดูท่าฝีมือของดิฉันจะยังไม่ตกนะคะเนี่ย” โอลิเวียโล่งใจที่ยังสามารถเต้นได้เข้ากันกับชินอยู่
“ล้อเล่นรึเปล่า สำหรับเธอแล้วมันไม่ได้ยากเย็นเลยนี่นา”
ชินว่าแบบนั้นหลังจากที่เห็นการเคลื่อนไหวของโอลิเวียที่ดูนุ่มนวลและหนักแน่น อ่อนไหวและเข้ากันได้ดีในทุกจังหวะที่ชินนำ จึงไม่รู้สึกเลยว่าโอลิเวียขาดอะไรไป
ทั้งท่วงท่าอันงดงาม สอดคล้องกับความงามของรูปร่างและรอยยิ้มในขณะที่หมุนรอบชิน ทั้งหมดนั่นสร้างความสบายใจให้ชินไปพร้อมกัน เพราะมันเหมือนโอลิเวียกำลังสื่อเป็นภาษากายว่าการได้อยู่เคียงข้างเขามันเป็นสุขเพียงใด
“ที่เข้ากันได้ขนาดนี้… สงสัยจะเป็นเพราะจังหวะหัวใจของเรามันเต้นตรงกันพอดีสินะคะ” โอลิเวียเอ่ยขึ้น ด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่คุ้นชินว่าเป็นการหยอกแกล้ง
ใครจะรู้ว่าเธอทำแบบนั้นไปเพราะพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองออกไปจากความใกล้ชิดที่มากเกินไปในตอนนี้ระหว่างตัวเองกับชิน
“กะ ก็ไม่รู้สินะ” ชินเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน เพราะเขาเองก็ถูกเสน่ห์จากหลายส่วนดึงดูด
“ที่เขาเรียกว่าคู่สร้างคู่สมสินะคะเนี่ย”
“ทะ เธอเนี่ยนะ”
ทั้งความงามทางสรีระ รอยยิ้ม รวมถึงเสียงฮัมเพลงเบา ๆ ด้วยเสียงใสกังวาลจากลำคอของเธอ มันจึงไม่ง่ายเลยแม้แต่สำหรับชินที่จะปิดบังความเขินอายนี้เอาไว้ให้ได้ทั้งหมด
แต่ว่าดิฉัน… พูดจริง ๆ นะคะ
โอลิเวียที่อยู่ ๆ ก็เงียบไป เปลี่ยนเป็นมองเข้าไปในดวงตาของชินด้วยรอยยิ้มแฝงนัยยะพิเศษพร้อมรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นยิ่งกว่าทุกที ทำเอาชินถึงกับลืมไปชั่วขณะว่าโอลิเวียที่ถูกเรียกว่าราชินีหิมะนั้นเป็นยังไง
และไม่ว่าในใจของเธอจะกำลังคิดอะไรอยู่ แต่รอยยิ้มและความสุกใสที่แสดงออกผ่านดวงตาอันงดงามของโอลิเวีย มันสื่อให้ชินเห็นและรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเธอมีความสุขขนาดไหนแม้จะเป็นการเต้นรำที่ขาดองค์ประกอบสำคัญจนเรียกไม่ได้ว่าเป็นการเต้นรำ
แต่ถึงมันจะเป็นอย่างนั้น ทั้งชินและโอลิเวีย ต่างก็รู้ดี… ว่าหัวใจและแก่นของความใกล้ชิดนี้มีความหมายยิ่งแม้จะขาดไปหลายสิ่ง แต่ทั้งหมดนั้นล้วนไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่าสิ่งที่พวกเขากำลังรู้สึกกันอยู่ตอนนี้
พวกเขาต่างรู้ว่ามันไม่จำเป็นเลยที่ต้องมีดนตรีขับกล่อมให้สำราญใจและแสงเทียนส่องสว่างให้สดใส
ไม่จำเป็นต้องมีพรมแดง ม่านขาวสีมุกประดับประดาโดยรอบหรืองานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยสีสันให้มากความ
เพราะสำหรับทั้งสองคนนั้น… แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ขอเพียงแค่แสงจันทร์สาดส่องให้เห็น ใบหน้ากัน และเพื่อให้มั่นใจได้ว่ายังอยู่ด้วยกัน เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายและสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายมีความสุข
เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว สำหรับทั้งสองคน
❖❖❖❖❖
Facebook Page : https://www.facebook.com/Topgrianprajao
Patreon : https://www.patreon.com/infinite8