แฮ่ก… แฮ่ก…
เสียงหายใจหอบของชายหนุ่มสะท้อนก้องไปทั่วห้องโถงใหญ่ ความถี่ของลมหายใจแลดูขัดกับร่างกำยำใหญ่โตที่สามารถยกขวานใหญ่ได้ด้วยมือเดียว
แน่นอนว่าสาเหตุที่ทำให้เขาเหนื่อยหอบไม่ใช่เพราะขวานยักษ์ในมือ แต่เป็นคนที่ทำให้เขาอยู่ในสภาพที่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผล ถามคมขวานยังเต็มไปด้วยรอยบิ่น
กลับกันแล้ว… ผู้ที่ทำให้ชายคนนี้อยู่สภาพที่เรียกได้ว่าแทบจะหมดสภาพ กลับเป็นผู้หญิงที่ส่วนสูงน้อยกว่าเขาเท่าตัว
คือโกลเด้นด็อกที่ไร้รอยบาดแผลใด ๆ ผู้ยืนอยู่เบื้องหน้าของหนิว อัศวินอันดับต้น ๆ ของราชาจากจีน ในสภาพสมบูรณ์คงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ที่ปรากฏตัวขึ้นในหนแรก
ถึงจะรู้อยู่แล้วก็เถอะ… แต่แบบนี้นี่มันยิ่งกว่าที่เคยได้ยินซะอีก
ทู่ผู้เป็นอัศวินกระต่ายสาวอีกคนของราชาจากจีนได้แต่พึมพำอยู่ในใจในขณะที่คิ้วสองข้างขมวดเข้าด้วยกันแน่นจากความหวาดกลัวต่อปีศาจในร่างหญิงสาวตรงหน้า
“ สุดยอดเลยค่ะ โกลเด้นด็อก ” ความแข็งแกร่งระดับนั้นไม่แม้เพียงแค่ศัตรูที่ยำเกรง แม้จะเป็นพวกเดียวเองก็รู้สึกหวาดกลัวเล็ก ๆ
แต่แน่นอนว่าที่มีมากกว่าคือความรู้สึกสบายใจและโล่งอกที่ไม่ได้อยู่คนฝั่งกับโอลิเวีย นั่นคือความรู้สึกของเกวนในตอนนี้
“ ไม่รู้สิคะ ฉันอาจไม่ได้สุดยอดแต่อีกฝ่ายอ่อนแอมากกว่ากระมั้ง ” โอลิเวียพูดราวเยาะเย้ย สีหน้าภายใต้หน้ากากของเธอเป็นอย่างไรคงไม่มีใครทราบ
กับใครที่ได้ยินแบบนั้นย่อมต้องบันดาลโทสะเป็นธรรมดา ไม่เว้นแม้แต่ชายร่างยักษ์ตรงหน้าของโอลิเวีย มือที่ถือด้ามขวานสั่นระริกด้วยความโกรธาอยากจะเข้าไปฉีกกระชากศัตรูให้แหลกละเอียด แต่ใจนึงก็รู้อยู่ว่าไม่สามารถทำอะไรได้
ทั้งที่ปล่อยให้ความโกรธของศัตรูยังคงพุ่งพล่นไปแบบนั้น โอลิเวียก็เริ่มยกมือทั้งสองขึ้นอีกครั้งหวังปิดฉากเวทีมวยที่รู้ผู้ชนะแต่แรกแล้วนี้ลงเสีย แต่ว่า…
“ คำเตือน! Code_name_ID : Master ได้รับบาดเจ็บ! แขนซ้ายกระดูกหักหลายส่วนและกล้ามเนื้อมีการฉีกขาด ”
เสียงประกาศจากระบบช่วยเหลือดังผ่านเข้ามาในแก้วหูทำให้โอลิเวียถึงกับหยุดชะงัก ท่าทีนั่นผิดสังเกตถึงขนาดที่ทำให้ทุกคนในสังเวียนขมวดคิ้วแน่นระแวดระวังยิ่งกว่าเดิม
“ บันนี่รีบตามดิฉันมาค่ะ! เร็วเข้า! ”
“ อะ อืม! ”
…แต่ฝ่ายศัตรูอย่างผู้สวมหน้ากากกระต่ายและวัวก็ได้รู้ว่าตนกังวลมากเกินไปเมื่อโอลิเวียถีบพื้นวิ่งไปทางบรรไดเลื่อนที่อยู่ใกล้ที่สุดโดยมีจุดประสงค์เพื่อขึ้นไปยังชั้นบนสุด พร้อมกับบอกให้เกวนรีบตามหลังมาติด ๆ เห็นได้ชัดว่าจงใจทิ้งการต่อสู้
แต่จะเช่นไรก็ตาม นั่นทำให้หนิวกับทู่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ ผู้หญิงคนนั้นดูถูกกันเกินไปหน่อยมั้ย ” หนิวบ่นด้วยความไม่พอใจจากความโกรธที่สั่งสมมาตั้งแต่เริ่มศึกกับโอลิเวีย บวกกับการที่โอลิเวียหันหลังให้เขาราวกับหมดความสนใจไม่เหลียวแลก็ยิ่งหงุดหงิดไปใหญ่
“ ช่างเถอะ ถึงจะเจ็บใจแต่ก็ต้องยอมรับแหล่ะว่าเราสู้ไม่ไหว ”
ทู่เองก็ใช่ว่าจะไม่เจ็บใจ เพียงแต่ยอมรับสภาพความเป็นจริงได้ง่ายกว่า แต่ส่วนนึงก็เพราะเธอไม่ได้เป็นฝ่ายเผชิญหน้ากับโอลิเวียด้วยตัวเองนี่แหล่ะถึงได้ไม่รู้สึกว่าต้องโกรธ
รวมถึงไม่รู้สึกถึงความหวาดกลัวจากโอลิเวียตรง ๆ ด้วย
“ แล้วอีกอย่าง… ถ้าขืนตายก่อนที่จะได้เห็นโลกใหม่ของท่านฮ่องเต้ก็แย่สิ ”
“ … ”
กับคำพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนของทู่คงคล้ายกับเป็นคำแก้ตัวเสียมากกว่า
แต่เช่นไรก็ตาม หนิวผู้ที่รู้สถานการณ์ของเธอกลับได้แต่นิ่งเงียบ เพราะใจนึงเขาเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันจึงเถียงคำพูดนั้นกลับไปไม่ออก
❖❖❖❖❖
ทั้งที่ห้องโถงชั้นล่างของห้างสรรพสินค้าเย็นลงจากศึกที่โอลิเวียรามือ กลับเป็นชั้นบนสุดของห้างเสียอีกที่อุณหภูมิกลับร้อนระอุขึ้นจนแทบจะปะทุได้ทุกเมื่อ
จากการที่ราชาทั้งสองคนเผชิญหน้ากันโดยมีแองกริคราวน์อยู่กึ่งกลาง
ทั้งอัลเฟรดที่อยู่ในสภาพของวลาดจอมเสียบหรือชงหยวนที่อยู่ภายใต้สมญานามฮ่องเต้ ต่างสร้างแรงกดดันราวสายน้ำหลากซัดใส่ชินที่ถูกประกบจากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
ต้องขอบคุณจังหวะที่ชงหยวนสะบัดมือที่ถูกอัลเฟรดจับอยู่ทิ้งก่อนจะถีบพื้นถอยไปตั้งหลัก ถึงทำให้ชินได้พักหายใจเสียบ้าง
“ ไม่เป็นไรนะครับแองกริคราวน์ ” ทันทีที่ศัตรูถอยห่างอัลเฟรดก็เอ่ยถามชิน แต่จะด้วยความเป็นห่วงหรือไม่ก็สุดแท้แต่
“ …ขอบใจที่ช่วย ”
…ในมุมมองของชิน เขาคิดเพียงแค่ว่าต้องระวังอัลเฟรดเท่านั้น จึงตอบกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะกลับไปจดจ้องราชาของศัตรูที่ยืนตระหง่านห่างออกไปด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจราวกับนี่เป็นถิ่นของตน
“ ก่อเหตุจลาจลขนาดนี้เดี๋ยวตัวยุ่งยากก็โผล่มาหรอกครับ ” อัลเฟรดพูดในขณะที่ยักไหล่พร้อม ๆ กับที่เดินนำหน้าชินขึ้นไป เป็นสัญญาณบ่งบอกกับทุกฝ่ายว่าศึกนี้เขาจะรับมือเอง
แต่ถึงอัลเฟรดจะไม่ทำแบบนั้น ทุกคนในห้องนี้รวมถึงชินก็ตระหนักดีอยู่แล้ว ว่าคนที่จะรับมือกับราชาด้วยกันได้ ก็มีแต่ราชาด้วยกันเพียงเท่านั้น
“ หมายถึงพวกพิราบเหล็กน่ะเหรอ? ”
ทว่าท่าทางยำเกรงที่แสดงออกมาไม่มีผลใด ๆ ทั้งสิ้นกับชงหยวน
กลับกัน… น้ำเสียงของเธอกลับจองหองขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก รวมกับท่าทางที่ปัดเรือนผมในขณะที่พูดเชิดอกก็ยิ่งแล้วใหญ่
ใครแคร์สวะพรรค์นั้นกัน? รังสีและบรรยากาศที่เจ้าตัวแผ่ออกมาสื่อแบบนั้น มือซ้ายเลื่อนขึ้นเผยให้ฝ่ายอัลเฟรดเห็นหลังมือ
“ ก็แค่เศษเหล็กลอยได้ จะมีกี่ชิ้นรวมกันก็ยังเป็นแค่เศษเหล็กอยู่ดีนั่นแหล่ะค่ะ ”
วูม!
พริบตาที่ชงหยวนปล่อยบรรยากาศน่าขนลุกออกมา ตราราชันย์ที่ส่องแสงสีแดงเพลิงก็ปรากฏขึ้นที่หลังมือของเธอ มันสะท้อนออกมาอย่างหิวกระหายแลร้อนแรงเสียยิ่งกว่าของจริงที่กำลังลุกไหม้อยู่โดยรอบ
เกิดสายลมพัดออกจากร่างของชงหยวนอันมีเธอเป็นศูนย์กลางออกไปโดยรอบทำเอาทุกคนแทบจะปลิว ตามมาด้วยคลื่นกระแทกอันรุนแรงราวกับถูกคลื่นยักษ์ถาโถม
เป็นอีกครั้งที่เธอต้องการข่มขวัญศัตรูด้วยพลังที่อยู่คนละมิติ
วูม!
“ ให้ตายสิ… เอาแต่ใจแบบนั้นมันเดือดร้อนคนอื่นนะครับ ” แต่แน่นอนว่าคนที่ครอบครองพลังมหาศาลเช่นนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่ชงหยวนฝ่ายเดียว
…หลังมือของอัลเฟรดปรากฏสัญลักษณ์สีแดงโลหิตด้วยประกายแสงสะท้อนที่เจิดจ้าไม่น้อยไปกว่าอีกฝ่าย พร้อมทั้งแรงกระแทกที่พอ ๆ กัน ทำเอาบรรยากาศจุดปะทะระหว่างอัลเฟรดกับชงหยวนส่งเสียงดังลั่นคล้ายกับอากาศในจุดนั้นกำลังจะแตกละเอียดราวก้อนกรวด
พลังอะไรกันเนี่ย…
ชินที่สัมผัสแรงกดดันของทั้งคู่ในระยะประชิดเมื่อครู่คิดว่ารุนแรงแล้ว แต่พลังอำนาจแท้จริงซึ่งเป็นขุมพลังจากตราราชันย์กลับมากมายมหาศาล อัตราเร็วในการดูดซับจิตรวมถึงปริมาณที่ดูดซับและเปลี่ยนเป็นพลังกายนั้นสูงเกินกว่าอัตราที่ชินใช้ไนท์ของตัวเองอย่าง ‘เปอร์เซ็นต์เทจ’ เสียอีก
หรือหากจะพูดในอีกนัยยะนึง… อัลเฟรดและชงหยวนในตอนนี้ กำลังดูดซับจิตแล้วแปรเปลี่ยนเป็นพลังของตัวเองได้มากกว่า 100%
พอคิดแบบนั้นก็เข้าใจได้ ว่าทำไมฮ่องเต้คนนั้นถึงได้มีพลังมหาศาลขนาดนั้น
เพราะตราราชันย์สามารถมอบพลังที่เหนือกว่าขีดจำกัดได้ แถมยังไม่ใช่แค่เท่าหรือสองเท่า แต่มากกว่านั้น
กับ ‘เปอร์เซ็นต์เทจ’ ของเราที่มีขีดจำกัดอยู่ที่ 100% ไม่มีทางสู้กับพวกที่สามารถใช้พลังได้มากกว่า 100% ตั้งแต่แรกแล้วสินะ
ชินคิดแบบนั้นในขณะที่ขมวดคิ้วแน่น มือขวาที่กำแน่นนั้นมีทั้งความหวาดกลัวและดีใจ
ถ้าเป็นพลังนี้ ฉันต้องฆ่ามันได้อย่างแน่นอน… นั่นคือความคิดที่แวบเข้ามาในหัวของชินทั้งที่สถานการณ์ตรงหน้ายังไม่สงบดี ท้ายสุดชินก็ยังจมปลักกับอดีตไม่ปล่อยวาง
“ มาสเตอร์! ” ในจังหวะนั้นเป็นเวลาเดียวกับที่โอลิเวียถีบพื้นวิ่งมาถึงชั้นบนสุด
ทันทีที่มาถึง เธอก็รีบเข้าไปดูอาการของแขนขวาชินก่อนจะใช้ ‘ปาฏิหาริย์’ รักษาในทันที
และในตอนที่เกวนมาถึง แขนซ้ายที่เคยหักผิดรูปของชินก็กลายสภาพเป็นเหมือนเดิมพอดิบพอดี เห็นแบบนั้นเกวนก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมโอลิเวียถึงได้เร่งรีบขนาดนั้น(ซึ่งอันที่จริงเธอก็เดาได้ตั้งแต่ที่โอลิเวียทิ้งการต่อสู้ไปแล้วว่าต้องเกี่ยวกับชินแน่)
แล้วพอเกวนหายห่วงเรื่องชินไปได้ สติของเธอที่จดจ่ออยู่กับภาพตรงหน้าก็เริ่มเหงื่อตกด้วยความกังวลแทน
“ แบบนี้แย่แน่ ” เกวนพึมพำแบบนั้นอยู่ข้าง ๆ ทำให้ทั้งชินและโอลิเวียสนใจทางเธอ แต่ถึงแบบนั้นท่าทีตกใจเกินเหตุของเกวนมันก็ออกจะเกินไปหน่อยในความคิดของโอลิเวีย
“ ก็พอทราบค่ะว่าจิตบริเวณนี้ปั่นป่วนมาก แต่ว่า——— ”
“ ไม่มีเวลาแล้ว! ต้องรีบออกไปจากที่นี่——— ”
ตู้ม!!!!
ทว่าไม่ทันทีเกวนจะได้อธิบาย ไม่สิ… ไม่ทันที่เกวนจะเตือนทั้งสองคนได้ทัน พื้นทั่วทั้งชั้นบนสุดของห้างก็พังลงไปเสียก่อน พร้อม ๆ กับแรงระเบิดปริศนาที่พัดให้ทั้งพวกชินสามคน รวมถึงอัศวินนักษัตรอย่างหลงเองก็พลอยโดนพัดปลิวไปด้วย
ต้องขอบคุณประสาทสัมผัสและความสามารถของโอลิเวีย ทั้งสามคนจึงไม่ได้ตกลงไปชั้นล่างสุดแต่ลอยเคว้งอยู่บนอากาศในจุดที่ห่างจากที่เกิดเหตุด้วยการใช้เวทลมของเธอ
“ เมื่อกี้นี้มันอะไรกัน ” ชินถามออกมาอย่างหวาด ๆ เพราะสาเหตุที่เกิดเรื่องเมื่อกี้ชินไม่แม้แต่จะมองตามทันด้วยซ้ำ นั่นถึงเป็นสาเหตุที่ไม่มีใครป้องกันอะไรได้ทัน
“ เมื่อกี้พวกเขา น่าจะแลกหมัดกัน ”
ทว่าคำตอบที่ออกมาจากปากเกวนกลับเป็นเรื่องน่าตกตะลึงยิ่งกว่าเรื่องเมื่อครู่เสียอีก เรื่องนั้นน้ำเสียงของเจ้าตัวอธิบายได้ เสียงอันสั่นระรัวของเกวนแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเพิ่งประสบกับสถานการณ์นี้ แต่ก็ไม่เคยชินกับมันเสียที
ไม่สิ… คงไม่มีวันเคยชินเสียด้วยซ้ำ
ตู้ม!!!!
เสียงระเบิดดังขึ้นเป็นจังหวะ พร้อมเพรียงกับจังหวะที่พื้นโดยรอบแตกระแหงอีกครั้ง พริบตาถัดมากระจกที่เป็นฝ้าคลุมเพดานก็แตกกระจาย พื้นโครงสร้างหรือแม้แต่โครงเหล็กค้ำอาคารเองก็เริ่มขาดแหว่งดูแล้วสามารถถล่มลงมาได้ทุกเมื่ออีก สถานการณ์สับสนจนสนามรบย่อยทุกแห่งต้องหยุดชะงักอย่างเลี่ยงไม่ได้
…และคงมีเพียงแค่ตัวต้นเหตุอย่างราชันย์ทั้งสองคนที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่นี้เท่านั้น ที่มิได้ชะงักไปเพราะสนามรบกำลังบรรลัย
แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับยิ่งเร่าร้อนแลพุ่งพล่านขึ้นเสียด้วยซ้ำ ดุจสุนัขล่าเนื้อหิวกระหายยังไงอย่างงั้น
“ ได้แค่นี้เองเหรอ… วลาด!!! ”
ชงหยวนตะโกนลั่นราวท้าทายก่อนจะถีบพื้นปล่อยหมัดอัดอากาศในขณะที่กำลังถีบพื้นพุ่งเข้าไปหา พริบตานั้นมวลอากาศที่เป็นทางผ่านของโมเมนตัมก็ถูกแยกออกคล้ายกับมีเสาล่องหนวิ่งผ่านพวยพุ่งเข้าหาอัลเฟรด
“ นั่นมันคำพูดของผมต่างหาก… ฮ่องเต้!!! ”
อัลเฟรดมิได้ครั่นคร้ามต่อการโจมตีทางกายภาพจากการหวดลมของศัตรู เขาใช้แรงแขนมหาศาลของเผ่าแวมไพร์สะบัดมันทิ้งลงกระแทกพื้น แรงที่เขาส่งไปนั้นทำให้มวลอากาศถูกทิ้งลงไปถึงชั้นช่างสุดทะลุไปถึงลานจอดรถใต้ดินเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่เพียงแค่เขาวาดมือลงเท่านั้น แถมด้วยความเร็วที่ไม่อาจวัดได้อีก เพราะแค่ภาพรอบตัวของทั้งสองคนในตอนนี้ก็ช้าเสียจนแทบจะนึกว่าถูกหยุดเวลาเอาไว้เสียด้วยซ้ำ
ไม่เพียงเท่านั้น… ราวกับว่ามีมีแท่นเหยียบที่มองไม่เห็น อัลเฟรดที่อยู่กลางอากาศถึงทำท่าเหยียบพื้นกลางอากาศพุ่งเข้าหาชงหยวนอีกหน ระยะห่างกว่า 200 เมตรที่ถูกร่นในเสี้ยววินาทีจนเกิดคลื่นกระแทกอย่างรุนแรง ณ ศูนย์กลางของตึก
หรือพูดอีกอย่างนึงก็คือ โซนิคบูมที่เกิดจากการเคลื่อนที่กลางอากาศด้วยความเร็วเหนือเสียงอย่างไร้กฎเกณฑ์ของอัลเฟรด สร้างคลื่นอัดกระแทกสิ่งแวดล้อมโดยรอบจากที่กร่อนสึกอยู่แล้วให้ยิ่งผุพังเร็วขึ้น
แต่สำหรับผู้ที่กำลังจดจ่อกับศัตรู อัลเฟรดไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเพิ่งจะถล่มห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ๋แค่เพียงเพราะต้องการจะพุ่งเข้าไปคว้าคอศัตรู
“ จะเล่นไล่จับเหรอ น่าสนุกนี่! ”
ชงหยวนที่เห็นศัตรูพุ่งเข้ามาหวังปลิดชีพไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว กลับกันนั่นยิ่งสร้างความสำราญใจให้เจ้าตัวเสียอีก เธอถึงเริ่มถีบพื้นถอยหลังด้วยความเร็วที่มากกว่าอัลเฟรด คำพูดนั้นของเธอจึงเสมือนว่าเป็นสารท้ารบ
…แต่เพราะว่าห้างสรรพสินค้าที่เป็นสมรภูมิหลักได้กลายเป็นแค่ซากปรักหักพังไปแล้ว เส้นทางที่ทั้งคู่มุ่งไปจึงเริ่มแผ่ขยายออกไป
“ แย่แล้ว! ขืนเป็นแบบนี้เมืองต้องพังแน่! ”
เกวนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครืออย่างหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด และจากภาพที่เห็นตรงหน้ามันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าที่เกวนพูดนั้นไม่ได้เกินจริงไปเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่ยังไงที่ทั้งสามคนทำได้ในตอนนี้ก็มีแค่การร่อนลงพื้นไปรวมตัวกับคนอื่นเพียงเท่านั้น แน่นอนว่าทางฟากของอัศวินนักษัตรของชงหยวนเองก็ทำแบบเดียวกัน
และจากนั้นก็ทำได้แค่รอและเฝ้าดู… ขอบเขตการพังพินาศที่แผ่ขยายไปเรื่อยโดยที่ทำอะไรไม่ได้ ภาพนั้นราวกับฝันร้ายจนแม้แต่พวกหู่ที่เป็นศัตรูเยือนถิ่นยังอดสงสารไม่ได้
“ เจ้าพวกนั้นรู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ ”
กับสถานการณ์ที่ทำได้เพียงแค่นั้น… ชินเป็นคนเดียวที่พูดขึ้นมาด้วยความโกรธจนดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมกับเท้าที่ทำท่าจะก้าวพุ่งเข้าไปขัดขวางสัตว์ป่าบ้าคลั่งสองตัวที่กำลังพังบ้านพังเรือน แต่มือที่กำแน่นทั้งสองของเขาถูกกุมและดึงไว้ก่อนที่จะได้ทันก้าวออกไป
คงมีเพียงโอลิเวียที่รู้จักจิตสำนึกพื้นฐานของชินและเกวนที่มองชินในแง่ดีอยู่แล้วเท่านั้นที่เข้าใจ เพราะทุกคนที่เห็นชินแบบนั้นต่างก็แสดงความแปลกใจออกมากันหมดเมื่อเห็นว่าเครื่องจักสังหารที่จ้องแต่จะล้างแค้นอย่างชินกลับมีความรู้สึกรับผิดชอบต่อผู้บริสุทธิ์ที่อาจตกเป็นเหยื่อสงครามยามค่ำคืน
“ มาสเตอร์คะ ใจเย็นก่อนค่ะ! ” โอลิเวียเรียกแบบนั้นทำให้ชินได้สติ แต่ใช่ว่าความโกรธจะสงบลง
“ อย่างที่โกลเด้นด็อกว่านั่นแหล่ะ! เราทำอะไรไม่ได้แล้ว ” กับคำพูดของเกวนที่น่าจะผ่านศึกนี้มานานกว่าตัวเขาก็ยิ่งตอกย้ำความจริงที่ชินอยากจะปฏิเสธ
“ ช่วยไม่ได้หรอกฟ่ะ… ตอนที่เจ้าพวกนั้นสู้กันน่ะ ทุกอย่างรอบตัวมันช้าไปหมดนั่นแหล่ะ รู้ตัวอีกทีสนามรบก็เละเป็นโจ๊กไปแล้ว เพราะงั้นถึงต้องสู้กันแถวชานเมืองไง ”
ริวเองก็ทำท่าทางไม่สบอารมณ์เหมือนกับชิน แต่ท่าทางที่ใจเย็นกว่าคงชี้ให้เห็นว่าเขาผ่านสถานการณ์แบบนี้มาจนชินตาแล้ว
แต่ว่า…
แต่ถึงแบบนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องยืนดูเฉย ๆ ไม่ใช่รึไงกัน!
การต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกบ้าอะไรกัน! ถ้าต้องทำขนาดนี้เพื่อเปลี่ยนโลกให้เป็นแบบที่ตัวเองต้องการจนถึงกับทำให้ชีวิตคนบริสุทธิ์ต้องตาย คุณค่าของโลกใหม่ที่พวกแกต้องการมันก็ไร้คุณค่าสิ้นดี!
ความคิดของชินร้อนรุ่นราวกับจะปะทุได้ทุกเมื่อ บรรยากาศตึงเครียดของเขาแผ่ออกมาถึงคนโดยรอบจนสัมผัสได้เลยทีเดียว แต่ความรู้สึกของชินก็ใช่ว่าจะไม่มีคนเข้าใจ ไม่สิ… เพราะเข้าใจต่างหากถึงได้ไม่พูดอะไรออกมา ท่าทางแบบนั้น แม้แต่พวกอัศวินนักษัตรเองก็ด้วย
ทว่าท้ายสุดฟางเส้นสุดท้ายของทุกคนย่อมมีจุดที่เครียดตึงจนหย่อนขาด…
และสำหรับชิน คือจังหวะที่เขาเห็นว่าการต่อสู้ของราชาทั้งสองทำให้ถนนหลักเสียหาย เสาไฟฟ้าจราจรของสีแยกจึงเอนล้ม และจุดที่มันกำลังหล่นทับพื้นกลับมีเด็กชายและหญิงสาวผู้เป็นแม่ผู้ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อยู่ตรงจุดนั้นพอดี
“ ทางนั้นมัน——— ”
ก่อนที่เกวนจะทันได้ส่งเสียงหรือก่อนที่ทุกคนจะสังเกตเห็น ชินก็ได้ถีบพื้นเหยียบดินจนแตกละเอียดออกไปก่อนเสียอีก ปฏิกิริยาของร่างกายที่ขยับไปไวกว่าความคิดของชิน แม้แต่โอลิเวียเองก็ยังตามไม่ทัน
“ อึก! ”
ต้องขอบคุณเรื่องที่ชินเป็นแวมไพร์สายเลือดแท้ก็ด้วย ถึงได้ทำให้เขาเข้าถึงทั้งแม่และเด็กชายได้ก่อนใคร ชินที่ร่นระยะห่างเกือบ 500 เมตรในเวลาไม่นานเอาตัวเข้าไปบังเสาไฟจราจรแทนแม่ลูกได้ทันก่อนที่มันจะล้มทับ และต้องขอบคุณร่างอันทรงพลังของแวมไพร์อีกนั่นแหล่ะที่ทำให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ จากแรงกระแทก
…แต่ดูเหมือนโชคร้ายของสองแม่ลูกจะไม่สิ้นสุดเพียงเท่านี้
“ พี่ชายฮะข้างบน! ”
“ !!!? ”
เรื่องที่เสาไฟจราจรหักโค่นลงมาจากแค่ราชันย์ทั้งสองกรุยทางผ่านว่าน่าตกใจแล้ว แต่ภาพที่แผ่นผนังของตึกหล่นลงมาราวกับเทกระจาดคงน่าทึ่งกว่า และแน่นอนว่ามันมาจากการที่ตึกสูงติดถนนใกล้ ๆ ถล่มลงมานั่นแหล่ะ
แย่แล้ว ช่วยไม่ทันแน่! ในจังหวะที่ชินคิดแบบนั้นเพราะจังหวะมันกระชั้นชิดเกินกว่าจะเอาตัวเข้าไปรับแถมมุมที่เข้ามารับเสาไฟฟ้าก็ไม่สามารถใช้มันหวดผนังให้แหลกได้จากมุมที่ชินใช้ร่างตัวเองค้ำ
ฉั๊ว!!!
ทว่า ผนังหนาเกือบเมตรนั่นสุดท้ายก็ไม่ได้หล่นลงมาทับคู่แม่ลูก
มันถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนอย่างเรียบเนียนราวกับเป็นเต้าหู้ที่ถูกหั่น แม่ลูกที่รอดตายหวุดหวิดต่างก็ล้มก้นจ้ำเบ้าไปกับพื้นด้วยความโล่งอกแม้ร่างจะยังสั่นระริกอย่างหวาดระแวง
“ … ” และตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นก็ลงถึงพื้นพอดิบพอดีในจังหวะที่ชินผลักเสาไฟจราจรออกไปด้านข้างไม่ให้ล้มทับคู่แม่ลูก
เขาคืออัศวินนักษัตรผู้สวมหน้ากากเสือโคร่ง… หู่ผู้ที่มีความแค้นต่อชินในฐานะที่ทำให้เสียความน่าเชื่อถือในฐานะอัศวินที่แข็งแกร่งอันดับต้น ๆ ไป
แม้นดูท่าว่าโชคร้ายจะยังไม่จบสิ้นเพราะยังคงมีเศษซากของตึกขนาดใหญ่หล่นลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่โชคร้ายของคู่แม่ลูกหมดไปแล้ว เมื่อโอลิเวียพุ่งตัวมาถึงในจังหวะที่พวกมันหล่นลงมาเป็นตอนที่เธอเข้ามาถึงระยะที่สามารถใช้เวทช่วยผลักเศษซากพวกนั้นออกไปได้พอดิบพอดี
“ คะ ขอบคุณมากค่ะ! ”
แม่เด็กไม่ลืมที่จะขอบคุณพวกชินแม้พวกเขาจะแต่งกายด้วยชุดที่ดูประหลาดตาประหลาดใจก่อนจะรีบวิ่งหนีไปทางทิศที่ไม่ได้เกิดเรื่องขึ้น ซึ่งนั่นเป็นทางเลือกที่ฉลาด
“ ขอบคุณมากครับ! ” เด็กชายส่งเสียงขอบคุณแว่วหลังตามมาในขณะที่ถูกแม่จูงวิ่งหนีไป เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ชินถอนหายใจออกมาได้อย่างโล่งอก
“ มาสเตอร์คะ ระวังค่ะ! ”
ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรกต่อ… เพราะทางหู่ที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันทำให้โอลิเวียระแวดระวังแถมเตรียมจะทำศึกมันเสียตรงนี้ เพราะตัวโอลิเวียรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของหู่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นเพราะมีไม่กี่คนเท่านั้นที่สังหารเธอได้นั่นแหล่ะถึงได้น่ากังวล โดยเฉพาะเมื่อคนแบบนั้นยืนอยู่ต่อหน้าคนสำคัญที่สุดของเธอ
จังหวะนั้นแลดูจะตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะพวกเกวนเองก็ตามมาสมทบ รวมถึงอัศวินนักษัตรคนอื่น ๆ เองก็ตามหู่มาด้วย ท่าทางของทั้งสองฝ่ายที่ระแวดระวังพร้อมเข้าไปขย้ำคออีกฝ่ายถือเป็นเรื่องปกติ
หากจะมีเรื่องที่ผิดแปลก ก็คงเป็นชินที่ยกมือขึ้นปรามโอลิเวีย ซึ่งรวมถึงพวกเกวนไม่ให้ทำอะไร
“ ขอบใจที่ช่วย ”
คำพูดสั้น ๆ ของชินที่ส่งไปยังหู่ทำให้ทุกคนถึงกับชะงัก ซึ่งนั่นก็แน่อยู่แล้วเพราะไม่ว่าใครต่างก็ทราบกันดีว่าทั้งสองคนนี้จ้องจะเอาชีวิตอีกฝ่ายมาสองครั้งสองคราไปแล้ว
และคงจะมีเพียงแค่สองคนนี้เท่านั้นที่เข้าใจ
เรื่องที่หู่เข้ามาช่วยขจัดซากตึกได้ทัน มีเพียงเหตุผลที่สามารถอธิบายๆได้ว่าทำไมเขาถึงมาก่อนโอลิเวียที่ตามติดชินตลอด นั่นเพราะเขาถีบพื้นเข้ามาเพราะหวังจะช่วยคู่แม่ลูกเหมือนกับชินนั่นเอง แต่ด้วยความที่ความสามารถทางกายภาพต่ำกว่าถึงได้ช้ากว่าชินไปไม่กี่เสี้ยววิ
ส่วนทางหู่เองก็รู้ว่าชินพุ่งเข้าไปช่วยแม่ลูกแบบไม่คิดชีวิตและไม่ได้คิดอะไรซับซ้อน เพราะเขาเป็นคนที่ตามหลังชินมาติด ๆ ถึงได้รู้ว่าเขาไม่ได้คำนึงเลยว่าจะถูกเล่นงานจากข้างหลัง แถมช่องว่างที่แองกริคราวน์ไม่เคยเปิดให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งและไม่ใช่กับดักก็อีก จึงคิดได้อย่างเดียวว่าเขาเข้าไปช่วยคนที่กำลังเดือดร้อนด้วยสัญชาตญาณและจิตสำนึกส่วนลึกของตัวชินเอง
“ …แยกกันไปคนละทิศ ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ” เหมือนกับว่าเขาเมินคำขอบคุณของชิน แต่ที่จริงเขาก็แค่คิดว่าไม่สมควรได้รับมันจากศัตรู
รวมถึงเข้าใจดีอยู่แล้วว่าชินไม่ได้ “ขอบคุณที่ช่วยตัวเอง” แต่ “ขอบคุณที่ช่วยแม่ลูกคู่นั้น” ต่างหาก
“ อะ อืม… ”
“ นั่นสิ! อย่าให้พลเรือนบาดเจ็บ ถ้าไม่อยากฝันร้ายทีหลังก็เร่งมือเข้า! ”
ด้วยคำสั่งของหู่ผู้เป็นแนวหน้าของนักษัตรทำให้ทุกคนได้สติกลับมา จะทั้งทู่ผู้เป็นกระตายที่ยังตื่นตูมอยู่หรือหนิวที่เร่งความคิดทุกคนให้ทำตาม
“ พวกเราเองก็ด้วย ถึงจะหยุดพวกนั้นไม่ได้ แต่เราช่วยคนที่กำลังเดือดร้อนเพราะพวกนั้นได้ ”
“ รับทราบแล้วค่ะมาสเตอร์! ”
“ อื้ม! จริงด้วย! ”
เช่นเดียวกับทางชิน… ทันทีที่พูดแบบนั้นออกไปโอลิเวียกับเกวนก็พยักหน้ารับในทันทีเพราะเป็นเรื่องที่พวกเธออยากจะทำอยู่แล้ว
…ด้วยเหตุนั้นศึกที่น่าจะเกิดขึ้นอีกครั้งของสองฝ่ายจึงจบลงก่อนจะได้เริ่มต้นเสียอีก แถมยังจบลงด้วยการที่ทั้งสองฝ่ายแยกกันไปช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์อีกต่างหาก แม้ว่าจะไม่ได้ร่วมงานกันก็ตามที
“ แองกริคราวน์ ”
ในตอนที่กำลังจะแยกย้ายกันอย่างสมบูรณ์ เป็นครั้งแรกที่ชินถูกเรียก
โดยศัตรูที่จ้องจะเอาชีวิตเขาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้แฝงความโกรธมาด้วย
“ ถ้าเจอกันในสถานการณ์อื่น บางที… เราคงเป็นเพื่อนกันได้ ”
ไม่รู้ว่าเจ้าตัวต้องการอะไรถึงพูดเรื่องน่าลำบากใจแบบนั้นออกมา หรือมีจุดประสงค์ใดถึงได้พูดแบบนั้นออกมาในสถานการณ์แบบนี้
แต่ด้วยความสัจจริง… ชินไม่ได้อยากจะคิดอะไรซับซ้อนไปมากกว่านี้ เพราะคนที่เข้าไปช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อนโดยที่ไม่ต้องคิดถึงผลที่ตามมากับตัวเอง คงจะมีความคิดเหมือนกับตัวเขาไม่ผิดแน่ และอย่างน้อยทัศนคติพื้นฐานคงไม่ต่างกันมาก
นั่นสินะ… เพราะแบบนั้นแหล่ะสงครามมันถึงได้น่าเศร้า
ชินคิดแบบนั้นแต่แน่นอนว่าไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปหรือแม้แต่จะหันหลังกลับไปหาทางหู่ ก่อนที่ตัวชินเองจะถีบพื้นตามโอลิเวียและเกวนที่เห็นว่าได้จังหวะ
ในท้ายสุด… สิ่งที่สงครามแบ่งแยกได้คงมีแต่ฝักฝ่าย หาได้แบ่งแยกความดีเลวของมนุษย์ไม่ เพราะหากมนุษย์ทั้งสองฝ่ายต่อสู้เพื่อสิ่งเดียวกัน เดิมทีสงครามมันอาจไม่ควรมีมาตั้งแต่แรกก็เป็นได้
นั่นคือความเห็นร่วมกันในส่วนลึกของจิตใจ ของเหล่าชายหนุ่มหญิงสาวที่ได้ร่วมศึกกันในค่ำคืนอันแสนอลหม่านนี้
MANGA DISCUSSION