บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 69 สนทนา
หญิงสาวที่เพิ่งลาจากคนในครอบครัวแสดงสีหน้าเศร้าโศกเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์
เสียงแหบพร่าของแม่ทัพหน้ากากเหล็กอ่อนโยนลงไปไม่น้อย กล่าวว่า “ข้ามาส่งท่านมหาราชครูเฉิน”
ภายในดวงตาของเฉินตันจูเต็มไปด้วยความตื้นตัน “ไม่คิดว่าสุดท้ายคนเดียวที่มาส่งท่านพ่อข้าจะเป็นท่านแม่ทัพ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กนั่งขัดสมาธิถือถ้วยชา ไม่รู้ว่าเดิมทีไม่คิดจะดื่ม หรือเป็นเพราะมีคนนอกอยู่ เขาจึงเทน้ำชาลงบนพื้น
“ใบหน้าของข้ากลายเป็นเช่นนี้ ก็ต้องขอบคุณท่านมหาราชครูเฉินที่ไม่ช่วยเหลือในตอนนั้น” เขาพูด “ตอนนั้นข้าถูกกองทัพของเมืองเยียนและเมืองหลูดักล้อม ท่านมหาราชครูเฉินและท่านแม่ทัพใหญ่ของเมืองโจวและเมืองฉีดูอยู่ด้านข้างอย่างมีความสุข ในเวลานั้นข้าคิดหวังว่าจะมีสักวัน ข้าจะไม่ต้องมองท่านแม่ทัพใหญ่หลายท่านนี้อย่างอกสั่นขวัญแขวนระแวง”
ความแค้นระหว่างราชสำนักและเหล่าท่านอ๋องมีระยะยาวนานมาหลายสิบปี…ก่อนหน้านี้ราชสำนักได้รับการเหยียดหยามในทุกทาง แต่เวลานี้ถือว่าสามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ สามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ เรื่องราวเปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน
ที่แท้ไม่ได้มาเพื่อส่งลา หากแต่มาดูสภาพตกต่ำของศัตรู เฉินตันจูไม่รู้สึกขุ่นเคืองแต่อย่างใด เพราะนางไม่คาดหวัง นางย่อมไม่คิดว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็กจะมาส่งท่านพ่อจริงๆ
เฉินตันจูกล่าว “การแพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาทางการทหาร ทุกสิ่งล้วนผ่านไปแล้ว ท่านแม่ทัพอย่าได้เศร้าโศก”
ฟังที่นางพูดเข้า ทั้งๆ ที่ท่านแม่ทัพมาดูความตกต่ำของศัตรู แต่เมื่อออกจากปากนางกลับกลายเป็นการเมตตาอันสูงส่ง? จู๋หลินมองนาง คุณหนูรองเฉินนี้นอกจากชอบก่อเรื่องด้านนอก แม้แต่ต่อหน้าท่านแม่ทัพก็ยโสอย่างมาก
เวลานี้แล้ว นางไม่ยอมที่จะถูกเอาเปรียบแม้แต่น้อย
แม่ทัพหน้ากากเหล็กหัวเราะออกมา “เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณหรือ”
“ท่านแม่ทัพต้องขอบคุณ” เฉินตันจูมองเขา พูดเสียงเบา “ต้องขอบคุณฝ่าบาทที่เฉลียวฉลาด อีกทั้งต้องขอบคุณท่านอ๋องอู๋ที่ย่ำแย่ลงรุ่นสู่รุ่น”
อย่างไรก็ตามไม่ใช่เขาเก่งกว่าเฉินเลี่ยหู่ หากแต่ทั้งสองคนพบกับกษัตริย์ที่ต่างกัน เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
นางสามารถอดทนให้ท่านพ่อถูกราษฎรเหยียดหยามก่นด่า เพราะราษฎรไม่รู้เรื่องที่แท้จริง แต่สำหรับแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เหตุใดเฉินเลี่ยหู่จึงกลายเป็นเช่นนี้ เขากระจ่างใจอย่างเป็นที่สุด
แม่ทัพหน้ากากเหล็กหัวเราะออกมาอีกครั้ง “ขาดไปคนหนึ่ง ข้ายังต้องขอบคุณ คุณหนูตันจูด้วย”
เขาพูดประโยคนี้จบ เฉินตันจูที่พูดจาฉะฉานก่อนหน้านี้ ดวงตาหลุบต่ำลง น้ำตาหลั่งไหลลงมา
คิ้วของแม่ทัพหน้ากากเหล็กขมวดขึ้นมา เหตุใดจึงร้องไห้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่อกี้ยังยโสอยู่ไม่ใช่หรือ…สมกับเป็นบุตรสาวของเฉินเลี่ยหู่ ทั้งดุทั้งรั้น
“เฉินตันจูไม่กล้ารับคำขอบคุณของท่านแม่ทัพ” เฉินตันจูพูดพลางร้องไห้ “ข้ารู้ว่าเรื่องที่ทำเหล่านี้ ไม่เพียงถูกท่านพ่อทอดทิ้ง ยังถูกคนอื่นเหยียดหยามรังเกียจ แต่ข้าเป็นคนเลือกเอง ข้าต้องยอมรับมัน เพียงแต่ขอให้ท่านแม่ทัพเห็นแก่ที่เฉินตันจูอย่างน้อยก็เคยแบ่งเบาความกังวลเพียงเล็กน้อยให้แก่ราชสำนัก ให้แก่ฝ่าบาท ให้แก่ท่านแม่ทัพ มีความเมตตาต่อเฉินตันจู อย่าได้พูดเสียดสีก็พอ”
นางพลางพูดพลางใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา ร้องไห้เสียงดัง
อาเถียนร้องไห้ตามอยู่ด้านข้าง
จู๋หลินและคนอื่นต่างเคยชินกับการห้ำหั่นเลือดเนื้อ เหตุการณ์เช่นนี้เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก เสียงร้องไห้ของหญิงสาวสองคนน่ากลัวเสียยิ่งกว่าเสียงตะโกนของคนจำนวนมากในสนามรบ พวกเขาต่างเหม่อมองไปรอบด้านอย่างทำตัวไม่ถูก
คนที่ผ่านไปมาจะคิดอย่างไร โชคดีที่ปิดทางเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ลำตัวที่นั่งอยู่ของแม่ทัพหน้ากากเหล็กแข็งทื่อ เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ทั้งที่หญิงสาวตรงหน้าเป็นฝ่ายเริ่มเสียดสีคนอื่นก่อน…
“ได้” เขาพูด ก่อนจะพูดเสริมอีกครั้ง “เจ้าแบ่งเบาความกังวลให้ราชสำนักคือคุณงามความดี เจ้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ท่านพ่อของเจ้า ขุนนางคนอื่นของท่านอ๋องอู๋ทำผิด ตอนนั้นจักรพรรดิเกาจู่สถาปนามหาราชครูให้แก่เหล่าท่านอ๋อง เพื่อต้องการให้พวกเขารับหน้าที่สั่งสอนเหล่าท่านอ๋อง แต่พวกเขากลับตามใจปล่อยปะละเลยทำให้เหล่าท่านอ๋องทำการโอหัง ท่านมหาราชาครูอู่แห่งเมืองหลูที่ตายไป ช่างกล้าหาญและอยุติธรรม อีกทั้งตระกูลของเขา เพราะท่านพ่อของเจ้า…เอาเถิด เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ไม่พูดถึงอีก”
ท่านพ่อทำเรื่องอันใด อันที่จริงไม่เคยบอกพวกนางแม้แต่น้อย ต่อหน้าลูก เขาก็เป็นแค่บิดาผู้เมตตา ซึ่งบิดาผู้เมตตานี้ทำให้บิดาของคนอื่น รวมไปถึงบิดามารดาบุตรหลานของคนอื่นต้องตาย…
ที่แท้การตายของตระกูลของท่านมหาราชครูแห่งเมืองหลูมีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านพ่อ หลี่เหลียงทำร้ายครอบครัวของตน นางใช้เวลาสิบปีเพื่อแก้แค้น จากนั้นเกิดใหม่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาอันน่าเศร้าของตระกูล หากบุตรหลานของท่านมหาราชครูอู่โชคดีอยู่รอดกลับมา พวกเขาอาจคิดจะสังหารตระกูลของตนใช่หรือไม่…
เฮ้อ
เฉินตันจูซ่อนความรู้สึกซับซ้อนลงไป พลางซับน้ำตา “ขอบคุณท่านแม่ทัพ มีคำพูดของท่านแม่ทัพ ตันจูก็มีชีวิตอยู่ต่อไปได้”
ไม่มีคำพูดของเขา นางก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างดี แม่ทัพหน้ากากเหล็กลุกขึ้นยืน “ท่านมหาราชครูเฉินมีโทษ แต่เห็นแก่ที่เขากลับตัวเมื่อรู้ผิด ถอดเกราะกลับคืนสู่สามัญ ฝ่าบาทย่อมไม่เอาความ”
เฉินตันจูมองแม่ทัพหน้ากากเหล็ก “จริงหรือ จริงหรือ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กมองนาง “ไม่ใช่ความเท็จ ข้า…”
“คำพูดของท่านแม่ทัพหนักดุจดั่งทองคำ!” เฉินตันจูยิ้มออกมาในที่สุด ก่อนจะมองไปยังเขา “ท่านพ่อของข้ากลับไปเมืองซีจิงแล้ว คำพูดของท่านแม่ทัพสามารถพูดให้ทางซีจิงได้ยินด้วยได้หรือไม่ ในเมืองอู๋ท่านพ่อคือขุนนางทรยศ แต่เมื่อถึงซีจิง ท่านจะกลายเป็นขุนนางราชสำนักที่ขัดขืนต่อคำสั่งของจักรพรรดิเกาจู่”
ไม่รอแม่ทัพหน้ากากเหล็ก นางก็หลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้ง
“ข้ารู้ว่าท่านพ่อมีโทษ แต่ท่านอาท่านย่าของข้าช่างน่าสงสาร หวังว่าจะเหลือทางรอดให้พวกเขา”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กตอบรับ “ข้าจะส่งคนไปบอกทางนั้น”
เฉินตันจูกล่าวขอบคุณ ก่อนจะพูดอีกครั้ง “ฝ่าบาทไม่อยู่เมืองซีจิง ไม่รู้ว่าผู้ใดบัญชาการ ข้าเติบโตในเมืองอู๋ ไม่รู้เรื่องของซีจิงแม้แต่น้อย แต่ได้ยินว่าองค์ชายหกมีจิตใจเมตตา…”
นางยังพูดไม่ทันจบ สายตาของแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่ยืนอยู่มองมาทันที
“องค์ชายหก?” เสียงแหบพร่าของเขาถามขึ้น “เจ้ารู้จักองค์ชายหก? เจ้าได้ยินว่าเขามีจิตใจเมตตาจากที่ใด”
มีคนรู้จักโอรสของฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดกระมัง เฉินตันจูไม่ตระหนก พูดอย่างจริงจัง “ข้าได้ยินคนอื่นพูดมา หลายวันนี้คนผ่านไปมาบริเวณเชิงเขามีจำนวนมาก ฝ่าบาทอยู่เมืองอู๋ ทุกคนเริ่มถกเถียงเรื่องของราชสำนัก เหล่าองค์ชายมักถูกพูดถึงบ่อยครั้ง ฝ่าบาทมีโอรสหกพระองค์ องค์ชายหกอายุน้อยสุด ได้ยินว่าปีนี้สิบเก้าแล้ว?”
สายตาด้านหลังหน้ากากเหล็กของแม่ทัพหน้ากากเหล็กพินิจนางรอบหนึ่ง ก่อนจะตอบรับ “อ่อ น่าจะใช่ ฝ่าบาทมีบุตรมาก ข้าอยู่ด้านนอกตลอดปีจำไม่ได้ว่าพวกเขาโตแค่ไหนแล้ว”
อยู่ด้านนอกตลอดปีหมายความว่าไม่คุ้นเคยกับเหล่าองค์ชาย? ปฏิเสธคำร้องขอของนางหรือ เฉินตันจูคิดภายในใจ ก่อนจะได้ยินแม่ทัพหน้ากากเหล็กถามขึ้น “ทุกคนพูดถึงองค์ชายอื่นอย่างไร”
เฉินตันจูรีบพูด “องค์ชายอื่นก็ดีเหมือนกัน” ก่อนจะก้มหน้าอธิบายเสียงเบา “ข้าเพียงแค่คิดว่าองค์ชายหกอายุน้อยสุด อาจจะพูดง่ายสุด…เพราะอย่างไรก็ตามระหว่างราชสำนักและเหล่าท่านอ๋องมีความขัดแย้งมานานหลายปี เหล่าองค์ชายที่ยิ่งอายุมากยิ่งรู้ว่าฝ่าบาทได้รับความอยุติธรรมมากเพียงใด ราชสำนักได้รับความลำบากมากเพียงใด พวกเขาย่อมเกลียดแค้นเหล่าท่านอ๋อง อย่างไรก็ตามท่านพ่อของข้าเป็นขุนนางของท่านอ๋องอู๋…”
พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของนางสั่นเครือ ราวกับจะร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง แม่ทัพหน้ากากเหล็กรีบพูด “ข้ารู้แล้ว” เขาหันหลังก้าวเท้า “ข้าจะส่งข่าวไปทางนั้น เจ้าวางใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องท่านพ่อของเจ้า”
เฉินตันจูกล่าวขอบคุณอย่างดีใจ “ขอบคุณท่านแม่ทัพ มีคำพูดของท่านแม่ทัพ ตันจูก็วางใจลงได้อย่างแท้จริง”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กตอบรับ เดินไปทางม้าของตน เฉินตันจูเดินตามอยู่ด้านหลัง
“เฮ้อ ท่านแม่ทัพ เวลานี้ข้าเป็นเหมือนที่เคยบอกกับท่านแม่ทัพเอาไว้” นางถอนหายใจ “ถึงแม้ว่าข้าจะน่าเอ็นดูเพียงใด แต่ก็ไม่ใช่สมบัติล้ำค่าของท่านพ่ออีกแล้ว เวลานี้ท่านพ่อไม่เอาข้าแล้ว…”
หญิงสาวประเดี๋ยวร้องไห้ประเดี๋ยวหัวเราะ ตอนนี้ไม่ร้องไห้ไม่หัวเราะก็พูดจำนวนมาก แม่ทัพหน้ากากเหล็กตอบรับก่อนจะจับเชือกขึ้นมา เขาได้ยินหญิงสาวยังคงพูดอยู่ด้านหลัง
นางพูด “…โชคดีที่ท่านแม่ทัพให้การดูแลข้า หรือไม่ ให้ข้ารับท่านเป็นพ่อบุญธรรมเถิด?”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กก้าวพลาด เป็นครั้งแรกของชีวิตที่เกือบล้มตอนขึ้นม้า เขาหันกลับไปมองเฉินตันจู หน้ากากปิดบังใบหน้าที่ตะลึงงันของเขาเอาไว้
อะไรกัน!