บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 68 แยกจาก
อีกสองวันหลังจากนั้น เฉินตันจูไม่ได้ลงเขาอีกเลย ด้านบนภูเขานอกจากเหล่าองครักษ์อย่างจู๋หลินแล้ว ก็ไม่มีคนแปลกหน้าเดินทางมา นางเดินไปเดินมาอยู่บนภูเขาสำรวจสมุนไพร ดูว่ามีสิ่งใดสามารถใช้ได้…
อีกทั้งยังมักจะยืนอยู่บนทางภูเขามองดูคนผ่านไปผ่านมาด้านล่าง คนที่ผ่านไปผ่านมา มีมากกว่าแต่ก่อน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นรถม้าที่เดินทางไกล…
คนที่ผ่านไปผ่านมามักนำข่าวใหม่ล่าสุดมาด้วย ท่านอ๋องอู๋หรือเวลานี้ควรเรียกว่าท่านอ๋องโจว ออกเดินทางจากเมืองอู๋ไปเมืองโจวในที่สุด
เฉินตันจูไม่ได้ไปดูเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ในการจากไปของท่านอ๋องอู๋
นางไม่ได้ดูแม้แต่ราชรถผ่านด้านล่างภูเขา ได้ยินว่าคึกคักต่อเนื่องสามวันยังไม่สิ้นสุด คนที่จะไปมีจำนวนมาก สนม ขันที นางในทั้งหมดล้วนต้องติดตามไป…ไม่มีคนกล้าไม่ไป จางเหม่ยเหรินร่วมสุขสมกับฮ่องเต้หนึ่งคืนยังถูกเฉินตันจูป่วนจนอยู่ต่อไม่ได้ คนอื่นยิ่งไม่กล้ามีความคิดนี้
นอกจากคน สิ่งของภายในพระราชวังอู๋ที่สามารถขนย้ายได้ล้วนขนย้ายไปด้วย อาเถียนกลับมาเล่าว่า ทางด้านล่างเขาถูกรถบดเบียดจนเกิดเป็นรอยลึก
ตามติดมาด้วยเหล่าขุนนางของท่านอ๋องอู๋ เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของราชรถ รถม้าของเหล่าขุนนางมีจำนวนน้อยอย่างมาก คนก็ไม่มากเท่าที่จินตนาการเอาไว้ แม้กระทั่งราษฎรธรรมดาที่ติดตามไปยังมีมากกว่า
“คุณหนู คนจำนวนมากล้วนไม่ติดตามไป” อาเถียนนั่งอยู่บนหิน แกะเมล็ดแตงโมให้เฉินตันจูกิน เล่าเหตุการณ์ที่เห็นเมื่อหลายวันนี้ให้อีกฝ่ายฟัง “พวกเขาไม่แสร้งป่วยแล้ว เพียงแต่ไม่ไป อีกทั้งยังบอกว่าไม่ใช่ขุนนางของท่านอ๋องอู๋อีกต่อไป…พวกเขาต้องขอบคุณนายท่าน”
ขอบคุณท่านพ่อ? เฉินตันจูไม่หวังอย่างนั้น ขอแค่พวกเขาไม่ตำหนิท่านพ่อก็พอแล้ว เมื่อไปเมืองโจวชีวิตของทุกคนจะเป็นอย่างไรนางไม่รู้ เพราะชาติก่อนท่านอ๋องอู๋ตายไป แต่ชาติก่อนขุนนางและราษฎรเมืองอู๋ล้วนมีชีวิตที่ไม่ดีนัก โดยเฉพาะหลังจากราชสำนักอพยพมา
ขุนนางชั้นสูง เชื้อสายราชวงศ์ของราชสำนักต่างหลั่งไหลเข้ามา พวกเขาเป็นชนชั้นสูงที่แท้จริง ชนชั้นสูงของเมืองอู๋อยู่อย่างยากลำบาก จวน ที่ดินต้องมอบเป็นของขวัญหรืออาจถูกแย่งชิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยังมีขุนนางโหดเหี้ยมดั่งหลี่เหลียงที่คิดจะเหยียบย่ำพวกของท่านอ๋องอู๋เพื่อคุณงามความดี…
“คุณหนู! อาเถียนตะโกนออกมา คนก็ลุกขึ้นยืน เมล็ดแตงโมที่วางไว้บนเข่าหกเต็มพื้น “คุณหนูใหญ่มา”
เฉินตันจูที่เหม่อลอยผงะไป รีบมองไปยังเชิงเขา พบว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งเดินขึ้นมาภายใต้การพยุงของสาวรับใช้
“ท่านพี่” เฉินตันจูรีบวิ่งลงไปรับ ตะโกนเสียงดัง “ท่านพี่…”
เฉินตันเหยียนหยุดลง เงยหน้ามองหญิงสาวที่วิ่งลงมา นางหวีผมน่ารัก สวมชุดกระโปรงรัดอกสีเหลืองอ่อน ผิวขาวปากแดง ดวงตาเป็นประกาย ยืนอยู่ท่ามกลางป่าไม้ที่เงียบสงบ สดใสดุจดั่งแสงอาทิตย์…เฉินตันเหยียนรู้สึกว่าไม่ได้พบน้องสาวคนนี้มานานแล้ว
นางมองเฉินตันจูวิ่งเข้ามา ก่อนจะหยุดลงเมื่อเข้าใกล้ บนใบหน้าเผยให้เห็นความไม่สบายใจ ราวกับไม่กล้าเข้าใกล้ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น เดินขึ้นหน้าอีกหลายก้าวอย่างรีบร้อน…
“ท่านพี่” นางถาม “ในจวนเกิดเรื่องหรือ”
เฉินตันเหยียนถอนหายใจภายในใจ น้องสาวยังคงเป็นกังวลเรื่องของตระกูลอยู่เสมอ
“ในจวนไม่มีอะไร” นางพูด “ข้ามา…เยี่ยมเจ้า”
เมื่อได้ยินว่ามาเยี่ยม มือที่อยู่ด้านหน้าของเฉินตันจูคลายออก หัวไหล่ที่ตึงเครียดก็ผ่อนคลายลง นางอ้าแขนกอดเฉินตันเหยียนเอาไว้
เฉินตันเหยียนเอนตัวไปด้านหลัง เสี่ยวเตี๋ยรีบพยุงเอาไว้ เรียกขานคุณหนูรอง “ร่างกายของคุณหนู…”
เฉินตันจูรีบกระเด้งตัวออกทันที หลังจากที่นางพุ่งตัวเข้ามาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ เวลานี้เฉินตันเหยียนกำลังตั้งครรภ์
“ท่านพี่” นางมองอีกฝ่ายอย่างกังวล “ท่าน ท่านยังดีหรือไม่”
เฉินตันเหยียนยิ้ม “ข้าก็ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี…” นางก้มมองท้อง “หากพูดถึงร่างกายข้า ยังดี”
เด็กคนนี้…เฉินตันจูพูดอย่างไม่ลังเล “ท่านพี่ เขาเป็นลูกของท่าน ท่านดีเขาก็ดี”
นางรู้ความดีของพี่สาว พ่อของเด็กคนนี้ทำให้การมีอยู่ของเด็กคนนี้อยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก
แต่เด็กบริสุทธิ์ อีกทั้งเด็กถูกเลี้ยงดูด้วยมารดา
เฉินตันเหยียนเงียบไป ก่อนจะเงยหน้ามองเฉินตันจู “หญิงสาวคนนั้นเป็นอะไรกับหลี่เหลียง”
เฉินตันจูใจเต้นผิดไปหนึ่งจังหวะ นางรู้ว่าปิดบังคนในตระกูลไม่ได้ เพราะฉางซาน ฉางหลินยังขังไว้ในจวน
“นางเป็นหญิงของหลี่เหลียง” นางพูด “แต่ข้าไม่มีหลักฐาน ข้าจับนางไว้ไม่ได้…”
นางยังพูดไม่ทันจบ มือของเฉินตันเหยียนก็ลูบคลำที่คอของนาง จับไปยังผ้าที่พันเอาไว้
“ได้รับบาดเจ็บตอนที่จับนางหรือ” นางถาม
เฉินตันจูรู้สึกว่าไม่ต้องพูดอันใดทั้งสิ้น น้ำตาหลั่งไหลลงมา
“ใช่” นางร้องไห้
…
เฉินตันจูนั่งอยู่บนหิน เฉินตันเหยียนยืนอยู่ข้างนาง แกะผ้าที่พันอยู่ออก
“นี่” เฉินตันจูเอียงคอ ชี้ให้นางดู “ตรงนี้ ตรงนี้ รอยยาวขนาดนี้…เจ็บมากเลย”
นางใช้นิ้วชี้
เสี่ยวเตี๋ยมองรอยแผลเล็กนั้นอย่างระอา คุณหนูใหญ่มาช้าอีกสองวันก็คงไม่เห็นแล้ว
เฉินตันเหยียนมองแผลนี้อย่างตั้งใจ “มีดนี้จ่อเอาไว้ที่คอ นางคิดจะฆ่าเจ้า”
เฉินตันจูไม่กล้าออดอ้อนอีก ปลอบเฉินตันเหยียน “แต่ข้าหลบเร็ว นางฆ่าข้าไม่ได้” พูดจบก็ดึงมือของเฉินตันเหยียนเอาไว้ “เดิมทีนางมาเพื่อทำให้พวกเราตายอยู่แล้ว”
บทสนทนาย้ายมาอยู่บนตัวของหญิงสาว เฉินตันเหยียนจึงถาม “นางเป็นใคร”
“นางเป็นคนของราชสำนัก แต่เป็นใครข้ายังไม่รู้ แต่หลี่เหลียงถูกนางเกลี้ยกล่อมได้ ตำแหน่งไม่ต่ำอย่างแน่นอน” เฉินตันจูพูด “อาจเป็นองค์หญิง”
องค์หญิง ย่อมต้องสูงส่งกว่าบุตรสาวของขุนนางท่านอ๋อง อนาคตย่อมดีกว่า เฉินตันเหยียนสีหน้าโศกเศร้า หัวเราะเยาะตนเอง
เฉินตันจูจับมือของนางส่ายไปมา “หลี่เหลียงทำเพื่อความมั่งคั่งร่ำรวย เขาไม่มีหัวใจ ท่านพี่อย่าได้เสียใจให้คนไม่มีหัวใจ”
เฉินตันเหยียนหลุบตาต่ำ ถาม “พวกเขามีลูกใช่หรือไม่”
มือของเฉินตันจูสั่นเทา ทำเพื่อความมั่งคั่งร่ำรวยสามารถแสร้งทำเป็นรักใคร่ แต่หากมีลูกย่อมต้องเป็นความรักที่แท้จริง…
“ตุ๊กตาหัวโตนั้นแตกต่างจากของข้า ของข้าเก็บรักษาเอาไว้ แม้ผ่านไปหลายปีก็เหมือนใหม่ แต่ของที่จวนนางมีรอยกระแทก เห็นได้ชัดว่าถูกคนเล่นอยู่บ่อยครั้ง” เฉินตันเหยียนพูด เงยหน้ามองเฉินตันจู “มีลูกใช่หรือไม่ หลี่เหลียง ชอบเด็กมาก”
เฉินตันจูจับมือของนาง “ชอบเด็กก็ใช่ว่าจะชอบคน ท่านพี่ก็มีลูกของเขา เขาก็ยังไม่เห็นชอบท่านพี่เลยไม่ใช่หรือ”
เสี่ยวเตี๋ยถลึงตาอยู่ด้านหลัง วิธีการเกลี้ยกล่อมคนของคุณหนูรองช่าง…
เฉินตันเหยียนผงะ ก่อนจะหัวเราะออกมา ความเศร้าที่สะสมภายในใจก็สลายไป
“เจ้าเนี่ยนะ” นางจิ้มหน้าผากของเฉินตันจู ก่อนจะลูบใบหน้าอ่อนนุ่มของเฉินตันจู “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว จากนี้เจ้าอย่าได้เสี่ยงอันตรายไปจับนาง เพราะอย่างไรพวกเราอยู่ในที่แจ้งนางอยู่ในที่มืด เวลานี้พวกเราแตกต่างจากแต่ก่อน พวกเรารับมือกับคนอื่นได้ยาก แต่คนอื่นทำร้ายพวกเราได้ง่าย”
เฉินตันจูพยักหน้าตอบรับ จูงมือของเฉินตันเหยียน ทั้งที่จับหญิงสาวคนนั้นไม่ได้ อนาคตคงเป็นอันตรายอันมหันต์ แต่นางก็ยังรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง…ท่านพี่เชื่อนาง
ท่านพี่ไม่ห่างจากนางเพราะหลี่เหลียง
“ท่านพ่อยังดีหรือไม่” เฉินตันจูถาม “คนในจวนยังดีหรือไม่”
เฉินตันเหยียนนั่งลงข้างตัวนาง “จะพูดอย่างไรดี ต่างยอมรับในโชคชะตาแล้ว”
ยอมรับในโชคชะตาได้ก็ดี ชาติก่อนแม้แต่โอกาสที่พวกเขาจะยอมรับในโชคชะตายังไม่มี เฉินตันจูคิดภายในใจ พูดกับเฉินตันเหยียนอย่างจริงจัง “ข้าเห็นแก่ตัว ข้าอยากให้ท่านพ่อมีชีวิตอยู่ ทำให้ท่านต้องเลือกอย่างเจ็บปวด”
เฉินตันเหยียนลูบผมของนาง ไม่พูดเรื่องนี้ “ข้ามาครั้งนี้เพื่อบอกเจ้า พวกข้าจะไปแล้ว”
เฉินตันจูตะลึง ยืนขึ้น “เกิดอันใดขึ้น ไม่ใช่ไม่เป็นขุนนางของท่านอ๋องแล้วหรือ เหตุใดจึงตามเขาไปอีก”
“เจ้าตะโกนไร เฉินตันจู ไม่ใช่ข้าว่าเจ้า แต่นิสัยของเจ้านับวันยิ่งไม่ดีแล้ว” เฉินตันเหยียนมองนาง “นั่งลง”
ท่านพี่มักจะบ่นเช่นนี้เสมอ เวลาอะไรแล้วยังมาบอกว่านางนิสัยไม่ดี…เฉินตันจูไม่ยอมนั่ง กระทืบขาขานเรียกท่านพี่
“ไม่ใช่ขุนนางของท่านอ๋องอู๋แล้ว ก็ไม่ต้องอยู่ในเมืองอู๋” เฉินตันเหยียนพูดกับนาง “พวกข้าจะกลับบ้านเก่า”
เฉินตันจูผงะ “บ้านเก่า? ที่ใดกัน”
ตั้งแต่สมัยท่านทวด พวกเขาก็ย้ายมาเมืองอู๋แล้ว ไม่มีความทรงจำกับแหล่งกำเนิดของตระกูลเฉินมากนัก
พูดย่อมต้องเคยพูดถึง แต่แค่ไม่มีคนใส่ใจ เป็นขุนนางของท่านอ๋องอู๋ ต่อไปก็ย่อมต้องเป็นคนเมืองอู๋…ไม่มีใครคิดว่าจะไม่มีท่านอ๋องอู๋ในสักวัน
“ซิงจิง” เฉินตันเหยียนพูด “ตำบลไท่ผิงนอกเมืองซิงจิง”
ซิงจิงนางรู้จัก แต่ตำบลไท่ผิงนางไม่รู้แม้แต่ เฉินตันจูคิดในใจ ที่นั่นยังมีจวนหรือ อันที่จริงก็คือเป็นการจากบ้านเกิด ก่อนจะนึกขึ้นได้อีกเรื่อง
นางมองเฉินตันเหยียน “ท่านพี่มาเรียกข้าให้ไปด้วยหรือ”
เฉินตันเหยียนหัวเราะ “ไม่ใช่ ข้ามาบอกลาเจ้าเท่านั้น”
เฉินตันจูมองนาง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหน้าร้องไห้ ดังนั้น ท่านพ่อยังไม่ให้อภัยนาง ยังไม่เอานาง
“อาจู” เฉินตันเหยียนจับมือของนาง ดึงให้นางนั่งลง “เจ้าทำเรื่องที่เจ้าอยากทำ ท่านพ่อก็ทำเรื่องที่ท่านอยากทำ ในเมื่อทุกคนทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ เหตุใดจึงต้องให้ใครเข้าใจ”
เฉินตันจูมองนาง น้ำตาหลั่งไหลลงมา เฉินตันเหยียนเช็ดน้ำตาให้นาง มองเด็กที่เลี้ยงมากับมือ การจากลาทำให้คนเศร้าโศก นางไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่นางต้องสูญเสียคนรัก จากลาจากคนในครอบครัว
“อาจู” นางพูดเสียงเบา “พวกเรายังมีชีวิตอยู่ ทุกสิ่งจะดีขึ้น”
เฉินตันจูกอดนางพยักหน้า รับรู้ความอบอุ่นในอ้อมกอดของพี่สาว ใช่ ถึงแม้จะจากกัน แต่ท่านพี่กับคนในครอบครัวยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งซีจิงไม่ไกลมาก หากนางอยากไป ขี่ม้าหนึ่งเดือนก็ถึงแล้ว ไม่เหมือนชาติก่อน ถึงแม้นางจะเดินทางไปทั่วผืนแผ่นดินก็ไม่อาจพบกับครอบครัวได้อีก
วันที่สามหลังจากเฉินตันเหยียนมา เฉินเลี่ยหู่กับบ่าวรับใช้ในตระกูล พาองครักษ์หลายสิบคน พี่น้องสามคน มารดา พร้อมบุตรสาวเดินทางออกจากเมืองไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
เฉินตันจูไปส่งในระยะไกล นางก้มกราบท่านพ่อที่จากไป
นางคุกเข่าอยู่เป็นเวลานาน อาเถียนพยุงให้นางลุกขึ้น “คุณหนู ลุกขึ้นเถิด”
เฮ้อ คุณหนูต้องเศร้าโศกอย่างมาก แต่เมื่อหันเห็นใบหน้าของเฉินตันจูที่ไม่มีแม้แต่น้ำตา ไม่มีความเศร้าโศก หากแต่เต็มไปด้วยความเข้มแข็ง…
เอ๊ะ?
ท่านพี่พูดถูก มีชีวิตอยู่ก็พอ สำหรับนางในเวลานี้แล้ว การมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องที่ยากลำบาก เวลานี้พวกเขาไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้อย่างสงบสุขแล้ว
มีคนจำนวนมากอยากได้ชีวิตของพวกเขา ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น หญิงสาวของหลี่เหลียงคือคนหนึ่ง
ครอบครัวออกจากเมืองอู๋กลับซีจิงก็ดี ต่อจากนี้เมืองอู๋เป็นเมืองหลวง เชื้อสายราชวงศ์ในซีจิงล้วนอพยพมา หญิงสาวคนนั้นย่อมต้องมาด้วย เช่นนี้ครอบครัวอยู่ซีจิงห่างไกลจากนาง จะปลอดภัยมากกว่า
นางย่อมตามกลับไปไม่ได้ นางต้องเฝ้าระวังในเมืองอู๋เอาไว้
เฉินตันจูตั้งสติกลับมา พยุงมือของอาเถียนลุกขึ้นยืน มองไปยังขบวนรถของครอบครัว หันหลังกลับอย่างเด็ดขาด “กลับไปเถิด”
อาเถียนกลืนคำพูดปลอบใจที่เตรียมเอาไว้ลง ในขณะที่กำลังจะเรียกจู๋หลินมาเคลื่อนรถ แต่พบว่าบริเวณที่จู๋หลินยืนอยู่มีคนเพิ่มมากขึ้น แต่ละคนล้วนสวมชุดเกราะขี่ม้าดำ คนที่สวมชุดเกราะผมสีเทาขาวสวมหน้ากากเหล็กนั่งอยู่บนพื้น จู๋หลินกำลังยื่นถ้วยน้ำชาไปให้เขา…
ถ้วยนั้นเป็นน้ำชาที่นางเตรียมไว้ให้คุณหนูบนรถ!
“คุณหนู แม่ทัพหน้ากากเหล็ก…” นางพูดเสียงเบา หันไปมองเฉินตันจู แต่ก็ต้องตกใจ เพราะคุณหนูที่มีสีหน้าเรียบเฉยเมื่อครู่น้ำตานองหน้า สีหน้าเศร้าโศกอย่างยิ่ง…
เฉินตันจูมือหนึ่งถือผ้าเช็ดหน้า มือหนึ่งดึงอาเถียน เดินมาทางแม่ทัพหน้ากากเหล็กภายใต้การพยุงของนาง
“ท่านแม่ทัพ” เฉินตันจูพูดเสียงสะอื้น “ท่านมาได้อย่างไร”