บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 53 เวลานั้น
สองเดือนนี้เขาไม่เพียงรักษาโรคจนหาย อีกทั้งยังกินอยู่ในหมู่บ้านดอกท้อจนมีเนื้อมีหนังขึ้นมา…
แต่เขาก็ไม่ได้กินดื่มไม่เสียเงินแม้แต่น้อย เขาสอนเด็กในหมู่บ้านให้รู้หนังสือ เขียนจดหมายให้คนในหมู่บ้าน ต้อนวัวเลี้ยงหมูถอนหญ้าเลี้ยงเด็ก…ทำทุกอย่าง
ร่างกายแข็งแรงขึ้นเล็กน้อย ไม่ผอมแห้งเหมือนครั้งแรกที่เจอ เผยให้เห็นกลิ่นอายของนักปราชญ์ มีความสง่างามเล็กน้อย
ตอนที่เฉินตันจูได้ยินถึงตรงนี้ ก็เปิดปากพูดกับเขาเป็นครั้งแรก “เหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าเมืองไปจวนพ่อตาตั้งแต่แรก”
ตระกูลคนมีเงินย่อมเชิญไต้ฟูดีกินยาดีได้ พักอย่างสุขสบาย กินอย่างเลิศรส ไม่แน่ว่าโรคของเขาหายได้ภายในสิบวันหรือครึ่งเดือน ไม่ต้องทนทุกข์ที่นี่นานเพียงนี้
“เพราะว่าข้าจน…ตระกูลพ่อตาข้าไม่จน” จางเหยาลากเสียงยาว ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “ข้ามีคู่หมั้นคู่หมายตั้งแต่วัยเด็ก ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามที่ข้าไปพบพ่อตา สองครั้งแรกคือ…”
เขายื่นมือนับนิ้วต่อหน้านาง
“ตอนเกิดและสามขวบ”
เฉินตันจูฟังถึงตรงนี้ก็พอจะเข้าใจ เรื่องที่โบราณและมักจะพบบ่อย หมั้นหมายแต่เด็ก สุดท้ายอีกฝ่ายร่ำรวยยิ่งขึ้น ส่วนอีกฝ่ายตกต่ำลง ตอนนี้คุณชายตกต่ำไปขอแต่งงานก็คือการตีเสมอ
อีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรยังไม่แน่นอน เขาเข้าไปด้วยร่างกายที่ป่วย อีกทั้งให้เชิญไต้ฟูมาดูอาการช่างเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม
เฉินตันจูยิ้ม หิ้วเหยือกที่กรอกน้ำเต็มแล้วเดินจากไป ต่อมาจางเหยาถึงได้พบว่า “แม่หญิงตันจู ท่านพูดได้”
เฉินตันจูหันหน้ากลับมามองเขา พูด “หลังจากที่เจ้าแต่งงานแล้ว ช่วยจ่ายค่ายาให้ข้าด้วย”
จางเหยาหัวเราะ พูด “ค่ายาข้าคงยังจ่ายให้ไม่ได้ ข้าไม่ได้ไปแต่งงาน หากแต่ขอถอนหมั้น เมื่อถึงเวลา ข้าก็ยังเป็นคนจน”
ถอนหมั้น? เฉินตันจูมองเขา พยักหน้า “ไม่เลว หากคนบนโลกต่างรู้เหตุการณ์เหมือนเจ้า คงไม่มีเรื่องวุ่นวายมากเพียงนี้”
จางเหยาหัวเราะ “ใช่หรือไม่ แม่หญิงตันจูย่อมเข้าใจ หญิงสาวในตระกูลชั้นสูงผู้ใดจะยอมแต่งงานกับชายยากจน”
หญิงสาวในตระกูลชั้นสูง ถึงแม้นางจะไม่เคยพูดคุยกับเขา แต่เฉินตันจูไม่คิดว่าเขาจะไม่รู้ว่านางคือใคร นางเป็นหญิงสาวในตระกูลชั้นสูงของเมืองอู๋ ย่อมไม่แต่งงานกับชายยากจน
เฉินตันจูเหลือบมองเขา หันหลังเดินจากไป
จากนั้นจางเหยาก็จากไป เฉินตันจูไม่มีความรู้สึกอะไร สำหรับนางแล้ว ล้วนเป็นแขกที่ผ่านไปมาบริเวณเชิงเขา
แต่หนึ่งเดือนหลัง จางเหยากลับมาแล้ว อีกทั้งมีชีวิตชีวากว่าเดิม เขาสวมชุดยาวแขนกว้าง บนหัวสวมหมวก เท้าเหยียบรองเท้าไม้สูง ลักษณะเหมือนคุณชายตระกูลใหญ่
“แปลก พวกเขาไม่ยอมถอนหมั้น” คุณชายจางเหยาขมวดคิ้ว
“เห็นได้ชัดว่าตระกูลเขาสง่างาม ไม่เหมือนตระกูลทั่วไป” เฉินตันจูพูด “ก่อนหน้านี้เจ้าใจแคบเกินไป”
จางเหยาส่ายหัว “หลังจากที่ข้าไปถึง คุณหนูนั้นก็เดินทางไปเยี่ยมท่านยาย จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่กลับ ถึงแม้บิดามารดาของนางยินยอม แต่เห็นได้ชัดว่าคุณหนูนี้ไม่ยินยอม ข้าไม่มีทางบังคับคนอื่น การหมั้นหมายนี้ ท่านพ่อท่านแม่ข้าเดิมทีต้องการทำให้ชัดเจนโดยเร็ว เพียงแต่ป่วยตายอย่างกะทันหัน แม้แต่ที่อยู่ก็ไม้ทิ้งไว้ให้ข้า ข้าเองก็ไม่รู้ต้องเขียนจดหมายส่งไปที่ใด”
รอจนกระทั่งเวลานี้ถึงได้ที่อยู่จึงเดินทางมา
เฉินตันจูสงสัย “เจ้ามาทำอันใดเวลานี้”
“ถอนหมั้น จะได้ไม่เป็นการเดือดร้อนคุณหนูท่านนั้น” จางเหยาพูด
เฉินตันจูหัวเราะเยาะออกมา
จางเหยายิ้ม “หญิงสาวชั้นสูงหยาบคายเช่นนี้”
เฉินตันจูพูดถึงฐานะของตนเองเป็นครั้งแรก “ข้าเป็นหญิงสาวชั้นสูงอะไร”
“สูงส่งในกระดูก” จางเหยาพูด “ไม่ใช่ฐานะ”
เฉินตันจูยิ้มเย็นยะเยือก “สูงส่งในกระดูกมีประโยชน์อันใด”
จางเหยาตอบ “ราวกับไม่มีประโยชน์อันใดจริงด้วย”
เฉินตันจูทั้งโกรธทั้งตลก หันหลังเดินจากไป
จางเหยาโบกมือตะโกนอยู่ด้านหลัง “ข้ามีเรื่องพูด ข้ามีเรื่องพูด”
อาจเป็นเพราะเขารู้นิสัยของเฉินตันจู ไม่รอนางตอบรับและหยุดลง เขาก็พูดขึ้น
“อันที่จริงข้ามาเมืองหลวงเพื่อเข้าศึกษาใน กั๋วจื่อเจียน [1] มีเพียงเข้ากั๋วจื่อเจียน ต่อไปข้าจะเป็นขุนนางได้”
ขุนนางใหญ่ของราชสำนักต้าเซี่ยล้วนมาจากการคัดเลือก ส่วนใหญ่ล้วนมาจากตระกูลใหญ่ บุตรหลานของตระกูลเล็กอย่างมากก็เป็นได้แค่ขุนนางชั้นผู้น้อย
แต่หากสามารถเข้ากั๋วจื่อเจียนได้ บุตรหลานของตระกูลเล็กก็มีโอกาสเป็นขุนนางใหญ่
บุตรหลานของตระกูลเล็กเข้าโรงเรียนสูงสุดในต้าเซี่ยได้ ฐานะย่อมไม่ต่ำ
“ต้องขอบคุณอาจารย์ของท่านพ่อข้า” จางเหยาพูดอย่างดีใจ “อาจารย์ของพ่อข้ารู้จักกับ จี้จิ่ว [2] ของกั๋วจื่อเจียน เขาเขียนจดหมายแนะนำให้ข้า”
เฉินตันจูตอบรับ ก่อนจะหันหลังเดินต่อไป ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง
“เจ้าฟังข้าก่อน” จางเหยาเดินตามขึ้นไปอีกครั้ง ใบหน้าดีใจเป็นอย่างยิ่ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าอยากเป็นขุนนาง”
เฉินตันจูคิดหยอกล้อเขา หันกลับไปยิ้ม “เพื่อแต่งงานกับหญิงสาวชั้นสูง?”
จางเหยาหัวเราะออกมา “เจ้ายิ้มเป็นด้วย”
หน้าของเฉินตันจูดำลง “ข้าย่อมยิ้มเป็น”
มนุษย์คนใดยิ้มไม่เป็น เพียงแต่ผู้คนบนโลกให้นางยิ้มหรือไม่ นางในเวลานี้ไม่มีสิทธิ์และไม่มีอารมณ์ยิ้ม
จางเหยารู้ว่าคำพูดนี้ทิ่มแทงใจนาง เขาพูดขอโทษอย่างจริงจัง เฉินตันจูไม่พูดอะไร เพียงแต่ก้มหน้าเดินจากไปอย่างรวดเร็ว จางเหยาเดินตามขึ้นมา
“ข้าอยากเป็นขุนนางเพราะข้าอยากทำงาน ข้ามีวิธีการจัดการน้ำที่ดีมาก” เขาพูด “ท่านพ่อของข้าเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยมาตลอดชีวิต ข้าเรียนรู้จากเขามามาก หลังจากที่ท่านพ่อของข้าตาย ข้าใช้เวลาห้าปีไปดูแม่น้ำจำนวนมาก ภัยน้ำทางเหนือและใต้มีความแตกต่างกัน ข้าคิดวิธีในการจัดการมากมาย แต่…”
เฉินตันจูหันหน้า เห็นจางเหยาส่ายหัวด้วยความโศกเศร้า
“เหล่าขุนนางในพื้นที่ต่างไม่ฟังข้า บ้างยอมให้ข้าเป็นขุนนางชั้นผู้น้อย แต่ข้าตัดสินใจไม่ได้ ตัดสินใจไม่ได้ทำงานลำบาก ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจเป็นขุนนางชั้นสูง…”
เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาแพรวพราว เฉินตันจูหลบสายตา มองไปด้านหน้า
“เจ้าอยากให้ข้าช่วยเจ้าหรือ” นางพูด
จางเหยาหัวเราะ “เจ้าช่วยอะไรได้ เจ้าไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น”
เฉินตันจูมองเขาด้วยความขุ่นเคือง
นางไม่ใช่อะไรทั้งสิ้นแล้ว แต่ทุกคนต่างรู้ว่านางมีพี่เขยผู้เป็นขุนนางใหญ่ในต้าเซี่ย คำพูดเพียงคำเดียวก็ทำให้คนเป็นขุนนางได้
มีคนจำนวนมากอิจฉาและเกลียดหลี่เหลียง แต่ก็มีคนจำนวนมากคิดจะตีเสมอหลี่เหลียง คนที่อิจฉาและเกลียดหลี่เหลียงมักจะมาด่านางหัวเราะเยาะนาง คนที่คิดจะตีเสมอหลี่เหลียงมาหานางก็มีจำนวนไม่น้อย
จางเหยาเข้าใกล้นางเพราะเป้าหมายนี้?
“ข้าไม่มีความหมายอื่น” จางเหยายังคงยิ้ม ราวกับไม่รู้สึกว่าคำพูดนี้จะทำให้นางขุ่นเคือง “ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าช่วย ข้าก็แค่พูด เพราะไม่มีใครฟังข้าพูด แต่เจ้ามักจะฟังข้าพูดเสมอ อีกทั้งฟังอย่างดีใจ ข้าก็แค่อยากคุยกับเจ้า”
นางฟังอย่างดีใจหรือ ไม่กระมัง เฉินตันจูคิด หลายปีนี้นางแทบจะไม่พูด เพียงแต่ตั้งใจฟังผู้อื่นพูดจริง เพราะนางต้องการรู้ในสิ่งที่ตนเองต้องการจากผู้อื่น
สิ่งที่จางเหยาพูด ไม่มีเรื่องใดมีประโยชน์ต่อนาง อีกทั้งไม่ใช่เรื่องที่นางอยากรู้ นางจะฟังอย่างดีใจได้อย่างไร
“คุณหนูตันจู” จางเหยายืนอยู่ท่ามกลางภูเขา มองดูทางระยะไกล บนทางมีผู้คนที่เดินทางเหมือนมด ไกลกว่านั้นคือคูเมือง ลมบนภูเขาพัดจนแขนเสื้อของเขาพลิ้วไหว “หากไม่มีคนฟังเจ้าพูด เจ้าสามารถพูดให้ข้าฟังได้”
นางไม่มีอะไรอยากพูด นางไม่ต้องการคนฟังนางพูด เฉินตันจูเหม่อมองไกลออกไป
————————————————
[1] กั๋วจื่อเจียน หมายถึง สถาบันอุดมศึกษาระดับชาติในสมัยโบราณของจีน
[2] จี้จิ้ว หมายถึง ตำแหน่งหัวหน้าในสมัยโบราณ