บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 413 อยู่ต่อ
สถานที่แห่งหนึ่งบนแผ่นดินในคืนที่มืดมิดเกิดความสว่างเป็นพิเศษ เมื่อยืนดูอยู่บนกำแพงเมืองของเมืองหลวงแล้วเหมือนไฟกำลังลุกไหม้
“นั่นเป็นจวนขององค์ชายหก” ชิงเฟิงขมวดคิ้วพูด “เกิดอันใดขึ้น”
โจวเสวียนยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่พูดอะไรสักคำ เมื่อเขาเสนอหูไต้ฟูแล้ว มั่นใจว่าฮ่องเต้จะทรงฟื้นขึ้นมา เขาจึงไม่ได้เฝ้าอยู่ในวังหลวงอีก หากแต่นั่งบัญชาการอารักขาเมืองหลวงเหมือนเคย
ชิงเฟิงอดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง “ต้องไปดูหรือไม่ขอรับ หากมีอันใดเกิดขึ้นกับองค์ชายหก…”
โจวเสวียนส่งเสียงไม่พอใจ “อันใดจะเกิดขึ้นกับเขาได้ เขามีเพียงจะทำให้คนอื่นเกิดเรื่อง”
องค์ชายหกผู้อ่อนแอและขี้โรคมาเมืองหลวงไม่นานเท่าใดก็ก่อปัญหามากมายขึ้น เขาทำลายแผนการขององค์รัชทายาทก่อน จากนั้นทำให้ฝ่าบาททรงโกรธจนประชวร แม้แต่คนโง่ยังมองออกว่าองค์ชายหกไม่ใช่คนดี
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เขาก็โกรธมาก เฉินตันจูแย่ยิ่งกว่าคนโง่เสียอีก
ตอนนั้นเขาปฏิเสธการพระราชทานงานแต่งจากฮ่องเต้เพื่อนางด้วยความจริงใจ แต่นางกลับคิดว่าเขาหลอกใช้
ส่วนการหลอกใช้ขององค์ชายหกที่เห็นได้ชัดอย่างนี้ นางกลับคิดว่าเขาเป็นคนดีอย่างนั้นหรือ มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับเขา อีกทั้งยังจะติดตามเขากลับเมืองซีจิง เวลานี้นางจึงต้องถูกใส่ร้ายไปด้วย
รองแม่ทัพเดินเข้ามาทำความเคารพ “ท่านโหว…”
โจวเสวียนส่งสัญญาณให้ชิงเฟิง “เจ้าไปลาดตระเวนแทนข้า”
ชิงเฟิงตอบรับ เขาเดินออกไปสองสามก้าวก่อนจะหันกลับไปมอง เขาเห็นรองแม่ทัพผู้นั้นกำลังกระซิบกับโจวเสวียน โจวเสวียนเคยบอกว่าเขาต้องการกำลังคนจำนวนมาก ไม่อาจปล่อยให้เขาทำงานอยู่คนเดียว แต่เวลานี้ดูท่าทางไม่เพียงไม่ให้เขาทำงาน หากแต่ยังไม่ให้เขารู้ด้วย นายน้อยกำลังจะทำอันใด
ไม่ว่าจะทำอันใด เขาก็เป็นคนที่ฮ่องเต้คัดเลือกออกมาจากกองทัพเหนือเพื่อโจวเสวียนโดยเฉพาะ เขาติดตามและปกป้องโจวเสวียนนับแต่ที่เขาเข้าไปในค่ายทหาร เวลาผ่านไปนานเพียงนี้แล้ว เหตุใดนายน้อยจึงกีดกันเขาออก
ชิงเฟิงรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย ในขณะที่กำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย เขาก็เห็นโจวเสวียนวิ่งลงจากกำแพงเมืองพลันตะโกนหลังจากฟังรองแม่ทัพมารายงานจบ “ผู้ใดก็ได้ ผู้ใดก็ได้…”
ชิงเฟิงตะโกนเรียกนายน้อย แต่โจวเสวียนกระโดดขึ้นม้าไปแล้ว อีกทั้งยังนำคนกลุ่มหนึ่งถือคบเพลิงพุ่งเข้าสู่คืนอันมืดมิด พวกเขาไม่ได้เดินทางไปยังจวนองค์ชายหก หากแต่เป็น…
ชิงเฟิงมองตามทิศทางที่โจวเสวียนไปด้วยความคุ้นเคย ระยะนี้ โจวเสวียนมักจะไปทางนั้น โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ทิศทางนั้นเป็นจวนของคุณหนูตันจู
เกิดอันใดขึ้นกับคุณหนูตันจูหรือ ชิงเฟิงยืนมองเมืองหลวงในยามค่ำคืนอยู่บนกำแพงเมือง ก่อนจะมองไปยังทางจวนองค์ชายหกที่สว่างขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าจวนทั้งหลังกำลังเผาไหม้
ถ้าเกิดอันใดขึ้นกับองค์ชายหก คุณหนูตันจูก็หนีไม่พ้น
…
เมื่อรู้ว่าโจวเสวียนปีนเข้ามา เฉินตันจูก็รีบให้จู๋หลินและพวกหยุดมือ นางยืนมองดูโจวเสวียนเดินเข้ามาอยู่นอกประตู
“ท่านมาเองเพราะได้ยินข่าวหรือ” นางถามขึ้น “หรือมาเพื่อจับข้า”
โจวเสวียนมองหญิงสาวผู้นี้ด้วยความเกลียดและความโกรธ เกลียดที่นางทำตัวเหินห่างเขา โกรธที่นางไม่ไว้ใจเขาอีก
“เฉินตันจู!” โจวเสวียนกัดฟัน “เจ้ากับฉู่อวี๋หยงทำอันใดกันแน่ เหตุใดจู่ๆ องค์รัชทายาทจึงโจมตีพวกเจ้า”
เฉินตันจูยิ้มมีนัย “มีอันใดแปลกกัน ทุกคนต่างรู้ไม่ใช่หรือว่าฝ่าบาททรงโกรธและประชวรเพราะข้าและองค์ชายหก”
แน่นอนว่าโจวเสวียนรู้ แต่หากนางไม่ยืนกรานที่จะสมรู้ร่วมคิดกับองค์ชายหก นางจะเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ได้อย่างไร!
“เช่นนั้นข้าควรจะจับพวกท่านเอาไว้ก่อน” โจวเสวียนพยายามข่มความโกรธ “ไม่ใช่รอฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมา นอกจากจะกลับซีจิงกับท่านก่อนแล้ว เขาพูดสิ่งใดกับฮ่องเต้อีก”
ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วหรือ เรื่องนี้ช่างแปลกเสียจริง เหตุใดฮ่องเต้จึงปฏิบัติกับฉู่อวี๋หยงเช่นนี้ เฉินตันจูส่ายหน้า “ข้าไม่รู้อะไรเลย ไม่ว่าคนที่โจมตีข้ากับองค์ชายหกจะเป็นองค์รัชทายาทหรือฮ่องเต้ก็ไม่มีสิ่งใดน่าแปลกใจ”
เนื่องจากเรื่องของเหยาฝูและถุงแห่งโชค นางและองค์ชายหกจึงกลายเป็นหนามยอกอกในสายตาขององค์รัชทายาทไปแล้ว ส่วนความโปรดปรานของฮ่องเต้ที่มีต่อองค์รัชทายาทก็เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน
นางไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น โจวเสวียนจ้องมองหญิงสาว เขาเชื่อว่านางไม่ได้หลอกเขา เหมือนกับที่นางเชื่อว่าเขาไม่ได้มาด้วยเจตนาร้าย…
“คุณหนู” จู่ๆ จู๋หลินก็ตะโกนขึ้นมา “มีทหารและม้ากำลังเดินทางมา ไม่ใช่ทหารยามขอรับ”
เฉินตันจูต้องการพูดบางสิ่ง แต่โจวเสวียนเหลือบมองนาง ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
“ถ่ายทอดคำสั่งของข้า หากไม่มีพระราชโองการของฝ่าบาท บังอาจบุกจวน ประหารอย่างไม่มีข้อยกเว้น!”
เสียงดุร้ายของชายหนุ่มดังก้องในยามค่ำคืน
…
องค์รัชทายาทยืนอยู่ด้านหน้าตำหนัก ลมกรรโชกแรงพัดมา เงาทอดยาวไหวไปมาบนพื้น
มีองครักษ์ลับคนหนึ่งกระโดดออกมา
“เป็นอย่างไรบ้าง” ขันทีจิ้นจงรีบถาม
องครักษ์ลับก้มหน้าตอบ “องค์ชายหกหายตัวไป ตอนที่พวกเราเข้าไปก็ไม่มีร่องรอยของเขาในจวนแล้ว องครักษ์ด้านนอกไม่สังเกตเห็นความผิดปกติแม้แต่น้อย บ่าวรับใช้ในจวนมีไม่มาก พวกเขาต่างหลับสนิท ไม่รู้เรื่องใดทั้งสิ้น”
ขันทีจิ้นจงถวายบังคมต่อองค์รัชทายาท “กระหม่อมไร้ความสามารถ”
องค์รัชทายาทที่เงียบเหมือนรูปปั้นดินยิ้มขึ้นในเวลานี้ “กงกงอย่าโทษตัวเองเลย เขาคือแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ท่านแม่ทัพมีความสามารถเพียงใด ครอบครองกองทัพทั้งสาม กำลังพลนับไม่ถ้วน ผู้ใดจะจับเขาได้อย่างง่ายดาย”
แม้ว่าเขาจะรู้ถึงอารมณ์ขององค์รัชทายาทในเวลานี้ แต่ขันทีจิ้นจงก็อดไม่ได้ที่จะพูด “องค์รัชทายาท หลังจากองค์ชายหกสละตัวตนแม่ทัพทิ้ง เขาก็ส่งมอบอำนาจทางทหารของเขา…”
องค์รัชทายาทพูดขัดขึ้นว่า “กงกงอย่าพูดเช่นนั้นเลย เจ้าไม่ได้ยินที่เสด็จพ่อตรัสหรือ”
ขันทีจิ้นจงติดตามอยู่ข้างกายฮ่องเต้มาหลายสิบปี เขาจะไม่เข้าใจความหมายขององค์รัชทายาทได้อย่างไร หากองค์ชายหกสละตัวตนแม่ทัพทิ้งก็ไม่เป็นภัย ฮ่องเต้จะรับสั่งให้ประหารเขาได้อย่างไร…ขันทีจิ้นจงถอนหายใจ เนื่องจากฮ่องเต้ตกใจกับอาการประชวรของตนเอง ในเมื่อไม่มีเวลาที่เพียงพอต่อการควบคุมขุนนางคนหนึ่ง ในฐานะฮ่องเต้ ความคิดแรกก็คือกำจัดทิ้งเสีย
ในเวลานั้น ภายในใจของฮ่องเต้ องค์ชายหกเป็นเพียงขุนนาง ไม่ใช่บุตรชาย
เขายังเชื่อว่าหากฮ่องเต้ทรงดีขึ้น แม้ว่าเขาจะใช้เวลาพักฟื้น เขาก็จะไม่พูดเช่นนั้นออกมา
แต่มันเป็นเพียงความคิดของเขา เมื่อฮ่องเต้ทรงคิดเช่นนั้นแล้ว องค์ชายหกรู้ดีว่าฮ่องเต้ทรงคิดอย่างไร…เฮ้อ ขันทีจิ้นจงยิ้มอย่างขมขื่น บางทีตอนที่พ่อลูกคุยกันต่อหน้าศพของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก พวกเขาก็คิดถึงวันนี้ไว้แล้ว
“องค์รัชทายาทอย่าทรงกังวลไปเลย” ขันทีจิ้นจงพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “แม้องค์ชายหกจะหนีไปแล้ว แต่การหนีของเขาทำให้ความผิดของเขาหนักแน่นขึ้น ผู้กบฏไม่อาจไม่ได้รับการยอมรับได้ มีเพียงทางตายเท่านั้น”
แต่คนยังมีชีวิตอยู่ ตราบใดที่เขายังไม่ตาย เขาก็ไม่อาจสบายใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขานึกถึงท่าทีของตนเองเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เขารู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ องค์รัชทายาทโกรธแค้นอย่างมาก
ในคืนที่มืดมิดมีคนเดินเข้ามาอีกครั้ง คนที่เดินเข้ามาก้มหน้าพูด “ท่านโหวอยู่นอกจวนเฉินตันจู มือถือตราทหารห้ามพวกเราเข้าไปด้านใน องค์รัชทายาทโปรดทรงรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
โจวเสวียน! องค์รัชทายาทกัดฟันด้วยความเกลียดชังอีกครั้ง เจ้าโง่
“บอกเขาว่าเฉินตันจูกับองค์ชายหกวางยาพิษฮ่องเต้ ยากที่จะหนีพ้นความตาย” เขากัดฟันพูด “ถามเขาว่าเขาอยากตายด้วยใช่หรือไม่”
องครักษ์ลับผู้นั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “องค์รัชทายาท พวกข้าบอกว่าการสังหารเฉินตันจูเป็นพระราชโองการของฝ่าบาท แต่ท่านโหวโจวบอกว่าเขาต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท ฟังฝ่าบาทตรัสด้วยตนเอง”
“องค์รัชทายาท” ขันทีจิ้นจงรีบพูด “เรื่องตัวตนขององค์ชายหกไม่อาจให้ผู้อื่นรู้ได้ มิฉะนั้นจะไม่ใช่กบฏแล้ว”
องค์ชายหกทำเพื่อความมั่นคงของต้าเซี่ย เขาสวมตัวตนเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กมาเป็นเวลานาน เป็นขุนนางที่มีความดีความชอบ เมื่อถึงเวลาถึงแม้ฮ่องเต้จะตรัสว่าเขามีความผิด แต่การสังหารเขาก็ไม่ง่ายดาย เพราะต้องเผชิญกับการซักถามของบรรดาขุนนาง สิ่งสำคัญคือเมื่อฮ่องเต้ทรงดีขึ้น ยังไม่แน่ว่าพระองค์ยังจะรับสั่งให้สังหารคนอีกหรือไม่ องค์รัชทายาทรู้จักเสด็จพ่อของตนเองอย่างดี…
“เฉินตันจูจะป่าวประกาศให้ทุกคนรู้อย่างแน่นอน” เขาพูดด้วยความโกรธ “หญิงผู้นี้เก็บเอาไว้ไม่ได้”
ขันทีจิ้นจงส่ายศีรษะ “องค์รัชทายาท เฉินตันจูไม่รู้ตัวตนขององค์ชายหกพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่รู้หรือ เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างเฉินตันจูกับแม่ทัพหน้ากากเหล็กในอดีต ก่อนจะนึกถึงเรื่องที่องค์ชายหกเข้าใกล้เฉินตันจูทันทีที่มาถึงเมืองหลวง เฉินตันจูจะไม่รู้หรือ องค์ชายหกจะไม่บอกนางหรือ องค์รัชทายาทไม่เชื่อ
“องค์รัชทายาท โปรดทรงเชื่อกระหม่อม เฉินตันจูไม่รู้เรื่องจริงๆ มิฉะนั้นเฉินตันจูคงแตกแยกกับองค์ชายหกนานแล้ว” ขันทีจิ้นจงพูดด้วยความจริงใจ “องค์ชายหกไม่มีทางบอกเรื่องนี้กับเฉินตันจู…”
เพราะองค์ชายหกเคยรับปากกับฮ่องเต้ เพราะองค์ชายหกบอกว่าเมื่อแม่ทัพหน้ากากเหล็กตาย ทุกอย่างในอดีตจะถูกฝังไปด้วย…
แต่ประโยคนี้ไม่จำเป็นต้องพูด เพราะพูดไปองค์รัชทายาทก็คงไม่เชื่อ
“องค์รัชทายาท อย่าเพิ่งสังหารคุณหนูตันจูเลย จับนางเอาไว้ก่อน ประการแรก เพื่อไม่ให้นางแพร่ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ประการที่สอง ทำให้ผู้คนยิ่งเชื่อในความผิดของนาง หากสังหารนางจะยิ่งอธิบายไม่ได้” ขันทีจิ้นจงพูดเสียงแผ่ว “ประการที่สาม องค์ชายหกที่กำลังหลบหนีก็จะหวาดกลัวด้วย”
เวลานี้ไม่สมควรทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ มิฉะนั้นจะก่อเกิดปัญหามากมายหากเกิดการปะทะระหว่างทหารยามกับองครักษ์ลับ อีกทั้งยังต้องสิ้นเปลืองน้ำลายมากขึ้น องค์รัชทายาทโกรธแค้น เอาเถิด เมื่อเทียบกับฉู่อวี๋หยง หญิงชั้นต่ำอย่างเฉินตันจูตายช้าหน่อยก็ไม่สำคัญ
“บอกโจวเสวียนให้จับนางเข้าวัง!”
…
ค่ำคืนอันมืดมิดค่อยๆ จางหายไป เฉินตันจูลงจากรถ เห็นทหารยามที่เฝ้าอยู่ด้านนอกวังหลวงมีจำนวนมากกว่าที่เคย
เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ ฮ่องเต้ทรงดีขึ้นหรือไม่ดีกัน เหตุใดจึงคิดจะสังหารนางกับองค์ชายหก
“เข้าไปเถิด” โจวเสวียนกระซิบ “เข้าวังหลวงยิ่งปลอดภัย”
เข้าวังหลวงยิ่งปลอดภัยสำหรับนางอย่างนั้นหรือ
มีทหารรักษาพระองค์คุมตัว ด้านหน้ามีขันทีแปลกหน้าเดินนำ นอกจากเสียงฝีเท้าแล้วก็มีเพียงความเงียบ เฉินตันจูเหมือนเดินอยู่ท่ามกลางหมอกหนาทึบ
“ตันจู”
ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอกหนาข้างหน้า เรียกขานชื่อนางแผ่วเบา
เฉินตันจูมองฉู่ซิวหยงที่ยืนอยู่ข้างหน้า ดังนั้น วังหลวงในเวลานี้เป็นของผู้ใดกัน