บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 378 เจตนา
งานเลี้ยงเลิกราเมื่อเลยยามเว่ย แต่เหล่าแขกเหรื่อไม่สลายตัวไปเพราะการเลิกรานี้
เหล่าแขกชายติดตามฮ่องเต้ไปนั่งในตำหนักด้านข้าง ผู้อาวุโสต่างรำลึกความหลัง เหล่าชายหนุ่มสนทนาพาทีทั่วไป แสดงความสามารถของตนเองต่อหน้าฮ่องเต้และเหล่าท่านอ๋อง
ส่วนพระสนมเสียนพาเหล่าแขกสตรีไปชื่นชมทิวทัศน์ที่สวนดอกไม้
ฉู่ซิวหยงยืนอยู่ด้านหน้าตำหนักใหญ่ มองเหล่าแขกสตรีเดินมุ่งหน้าไปยังวังหลังภายใต้การรายล้อมของเหล่าขันทีและนางใน องค์หญิงจินเหยาและเฉินตันจูเดินด้วยกันท่ามกลางฝูงชน ไม่รู้พูดถึงเรื่องใด พวกนางหัวเราะคิกคักกัน
พระสนมสวีเดินออกมาจากตำหนักด้านข้างอันเป็นที่ตั้งของห้องเปลี่ยนชุดอย่างช้าๆ กิริยาท่าทางยังคงสง่างามเหมือนเคย แต่สีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย
“เสด็จแม่” ฉู่ซิวหยงเรียกขาน เดินไปทางพระสนมสวี
พระสนมสวีหยุดลงเพื่อรอเขา เหล่านางในถอยไปอยู่ด้านข้าง หลีกเลี่ยงได้อย่างพอดี อีกทั้งยังเป็นการปิดบังรายล้อมทางนี้เอาไว้
“เสด็จแม่ ทรงกังวลมากเกินไปแล้ว” ฉู่ซิวหยงพูดอย่างระอา “คุณหนูตันจูนางไม่มีทางทำอันใดกระหม่อม”
ฉู่ซิวหยงสังเกตเห็นว่านางไปพบเฉินตันจู พระสนมสวีไม่แปลกใจแม้แต่น้อย หรืออาจบอกได้ว่านางต้องการให้เขารู้ ทุกสิ่งล้วนอยู่ในการคาดการณ์ของนาง เพียงแค่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเล็กน้อย…
พระสนมสวีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที ดึงสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมา มองเขา “ข้าไม่ได้กังวลกับนาง ข้ากังวลกับเจ้า นางไม่อยากทำอันใด ทว่าเจ้าไม่อยากหรือ”
ฉู่ซิวหยงครุ่นคิด ใช่ ไม่ว่าอย่างไร เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาไม่อนุญาตให้ตนเองเลือกผู้อื่น
พระสนมสวีมองเขา ท่าทางกระจ่างใจ “เมื่อถึงเวลาหากเจ้าต้องอับอายถูกนางปฏิเสธต่อหน้าผู้คน สู้ข้าทำให้เจ้าตายใจเสียดีกว่า” เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็นึกถึงเฉินตันจูขึ้นมาอีกครั้ง “อาซิว คนอย่างเฉินตันจู…”
นางเอื้อมมือกุมหน้าอก สูดลมหายใจเข้า ราวกับพูดไม่ออกเล็กน้อย
คนอย่างเฉินตันจูสามารถทำให้คนโมโหจนอกแตกตาย ฉู่ซิวหยงเม้มปากยิ้ม “นางทะเลาะกับเสด็จแม่หรือ”
“หากนางทะเลาะกับข้าจะดีกว่า” พระสนมสวีพูดด้วยความโกรธ “นางขอเงินจากข้า อ้าปากก็สามแสนก้วน”
ฉู่ซิวหยงหัวเราะ “ข้าไม่ถูกเสียจริง”
ย่อมไม่ถูก! สามแสนก้วน หญิงสาวตัวน้อยนี้รู้ว่ามันคือเงินมากแค่ไหนหรือไม่ นางกล้าเอ่ยปากได้อย่างไร!
เฉินตันจูกล้าเอ่ยขอ พระสนมสวีก็ไม่ใช่คนที่ยอมถูกผู้อื่นเอาเปรียบ!
ดังนั้นนางจึงวางความสัมพันธ์ระหว่างมารดาและบุตรลง พูดถึงน้ำหนักเงินเสียก่อน ส่วนเฉินตันจูก็โยนความช่วยเหลือคนอื่นให้สมความปรารถนาทิ้ง เริ่มคิดบัญชีกับนาง
พระสนมสวีเอ่ยว่าราชวงศ์ต้าเซี่ยยากจนเพียงใด แอบเสียดสีเฉินตันจูในฐานะของบุตรสาวขุนนางชั่วภายใต้เหล่าท่านอ๋องนางย่อมรู้ดี ดังนั้นนางสนมอย่างนางจะมีเงินมากมายเพียงนั้นได้อย่างไร
ส่วนเฉินตันจูบอกว่านางไม่เหลือสิ่งใดนับแต่เมืองอู๋ล่มสลาย ดังนั้นจึงต้องขวางทางเพื่อรักษาโรค อาละวาดเส้าฝู่เจี้ยน แม้แต่เงินเดือนขององครักษ์ยังไม่ยกเว้น ไปอาละวาดที่สำนักโขลนวัง ล้วนเป็นเพราะไม่มีเงิน อีกทั้งยังคำนวณว่าท่านอ๋องฉี แคว้นฉีมีรายรับมากน้อยเพียงใด…
อีกทั้งยังกล่าวว่านางชื่อเสียงไม่ดี มีเพียงท่านอ๋องฉีที่ปฏิบัติกับนางแตกต่างออกไป หากพลาดท่านอ๋องฉีไป นางคงต้องโดดเดี่ยวเดียวดายจนแก่เฒ่า…การใช้ชีวิตในวัยชราต้องใช้เงินจำนวนมาก
ทั้งสองคนไม่มีท่าทางเหมือนคุยเรื่องของบุตร แต่เหมือนการค้าขายในตลาด
อีกทั้งพระสนมสวีมองออก เฉินตันจูต้องการเงินจริง ไม่ได้เจตนาพูดเล่น หลังจากโต้เถียงกันสักพัก พระสนมสวีไม่ได้สิ้นเปลืองน้ำลาย ในที่สุดก็ต่อราคาเหลือสองแสนก้วนได้
เมื่อนึกถึงตรงนี้ พระสนมสวีก็อดถอนหายใจยาวไม่ได้ จากนั้นความโกรธก็ปะทุขึ้น มีเรื่องใดน่ายินดีกัน!
ความร้ายกาจของเฉินตันจูนางประสบพบเจอกับตนเองแล้ว มิน่าเมื่อพูดถึงนางผู้อื่นต่างหลีกเลี่ยงแทบไม่ทัน แม้แต่ฮ่องเต้ยังปวดหัว
“อีกทั้งนางยังให้ข้าจ่ายให้ครบในคราวเดียว” พระสนมสวีอดกลั้นความโกรธ มองฉู่ซิวหยง “หญิงสาวผู้นี้ นอกจากใบหน้าที่งดงามแล้ว นิสัยประหลาดเพียงนี้ เจ้าชอบนางได้อย่างไร”
ถึงแม้พระสนมสวีไม่ได้เล่าเหตุการณ์อย่างละเอียด แต่ดูจากสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของพระสนมสวี ฉู่ซิวหยงสามารถจินตนาการได้ว่าพระสนมสวีประสบกับสิ่งใดเมื่อเผชิญหน้าเฉินตันจู เขาอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “คงเพราะนิสัยแปลกที่ผู้อื่นไม่มีกระมัง”
พระสนมสวียิ้มเย็น ไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก ไม่ว่าอย่างไร เป้าหมายของนางบรรลุแล้ว…เมื่อเทียบกับการโน้มน้าวเฉินตันจู นางต้องการให้ฉู่ซิวหยงมองออกอย่างกระจ่างเสียมากกว่า
“อาซิว เจ้าเป็นผู้รู้เสมอมา” พระสนมสวีพูด “ข้าไปพูดเรื่องนี้กับเฉินตันจู นางไม่ร้องไห้ ไม่โวยวาย ไม่เงียบ พูดด้วยเหตุผลกับข้า นั่นคือท่าทีของนาง นางไม่สนใจเจ้าแล้ว ภายในใจของเจ้าคงรู้ดี ข้าไม่พูดมากแล้ว”
พูดถึงตรงนี้ พระสนมสวีกำมือกัดฟัน หันไปมองนางในใหญ่ที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด
“เจ้าไปบอกท่านลุง ให้เขาเตรียมเงินเอาไว้ เมื่อเขียนหลักฐานแล้ว มอบให้เฉินตันจูทันที”
เมื่อมีการแลกเปลี่ยนนี้ นางก็วางใจอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะพูดด้วยความรู้สึกหรือหลักเหตุผล เฉินตันจูล้วนไม่มีสิทธิ์เป็นสะใภ้ของนางอีก พระสนมสวีพูดจบก็พานางในเดินจากไป
ฉู่ซิวหยงมองแผ่นหลังของพระสนมสวี ยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้เรียกนางเอาไว้อีก เขายืนนิ่งเงียบ
เสี่ยวชวียืนห่างออกไปสองสามก้าวก็ไม่กล้ารบกวน ในขณะที่กำลังหมดหนทาง องค์รัชทายาทนำท่านอ๋องเยียนและท่านอ๋องหลูเดินออกมาจากภายในตำหนักใหญ่ เวลานี้แขกเหรื่อภายในตำหนักจากไปจนเกือบหมดแล้ว
“น้องสาม” องค์รัชทายาทเรียกขาน “ยังยืนทำอันใดอยู่ตรงนี้ รีบไปหาเสด็จพ่อเถิด”
ท่านอ๋องเยียนมองตามสายตาของฉู่ซิวหยงไปยังเหล่าแขกสตรีที่เดินไปทางวังหลัง พูดด้วยรอยยิ้ม “หรือน้องสามอยากดูให้นานขึ้น”
ท่านอ๋องหลูรีบพยักหน้าตาม สายตามองไปทางแขกสตรีทางนั้น “ใช่ พวกเราควรตามเสด็จแม่ไป ทางเสด็จพ่อมีแต่แขกชาย มีสิ่งใดน่าดูกัน”
องค์รัชทายาทหันหน้ามาตำหนิ “อย่าได้พูดเหลวไหล!”
ท่านอ๋องหลูรีบหดหัวด้วยความกลัว
องค์รัชทายาทผ่อนคลายสีหน้า พูดปลอบ “ข้ารู้ว่าวันนี้เป็นวันสำคัญของพวกเจ้า อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเจ้า” พูดพลางยิ้ม “ฟังพี่ใหญ่ เสด็จพ่อเตรียมการไว้แล้ว ให้พวกเจ้าได้เห็นชัดๆ อย่างแน่นอน”
ท่านอ๋องหลูทั้งดีใจทั้งสงสัย “จริงหรือ องค์รัชทายาท เสด็จพ่อเตรียมการอย่างไร เตรียมการอันใด”
แต่เมื่อเขาถามอีก องค์รัชทายาทกลับไม่พูด พูดเพียงประเดี๋ยวก็รู้ ก่อนจะเรียกฉู่ซิวหยง
“รีบมาเถิด ทุกคนกำลังรอเจ้าพูดเรื่องสอบคัดเลือกขุนนาง อย่าได้ทำให้เสด็จพ่อผิดหวัง”
ครานี้ตระกูลที่เดินทางล้วนเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูง สำหรับการสอบคัดเลือกขุนนางนั้น ทำให้ตระกูลขุนนางชั้นสูงไม่พอใจอย่างมาก
ฉู่ซิวหยงตอบรับ เดินตามพวกเขามาที่ตำหนักด้านข้างพร้อมกัน
ภายในตำหนักด้านข้างไม่มีการร้องรำหรือโต๊ะอาหาร ฮ่องเต้นั่งเอนพิงโต๊ะวางน้ำชา เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงต่างนั่งอยู่สองข้าง เมื่อเทียบกับในงานเลี้ยง ทุกคนใกล้ชิดกันมากขึ้น บรรยากาศผ่อนคลายลงอย่างมาก เมื่อองค์รัชทายาทนำท่านอ๋องทั้งสามเข้ามา มีนายน้อยอายุน้อยท่านหนึ่งกำลังพรรณนาบทกวีที่ตนเองเขียนด้วยใบหน้าแดงก่ำ ฮ่องเต้อมยิ้มพยักหน้า ทำให้ชายหนุ่มรอบด้านยิ่งอยากลอง
เมื่อเห็นองค์รัชทายาทเข้ามา ทุกคนต่างรีบถวายบังคม ฮ่องเต้กวักมือให้ท่านอ๋องทั้งสาม “พวกเจ้านั่งตามสบาย นั่งอยู่ตรงกลางของทุกคน”
ดังนั้นท่านอ๋องเยียน ท่านอ๋องฉีและท่านอ๋องหลูสามคนต่างแยกกันนั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน ฮ่องเต้มององค์รัชทายาท เอ่ยถาม “ทางวัดถิงอวิ๋นเตรียมการเป็นอย่างไรบ้าง”
องค์รัชทายาททูล “คงจะเสร็จสิ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะให้คนไปรับมาบัดนี้” เขาพูดพลางหันหลังเดินออกไป
คนรอบด้านต่างสงสัย สิ่งที่ฮ่องเต้พูดถึงคือสิ่งใด
“ของขวัญที่ท่านมหาราชครูเตรียมไว้สำหรับเฉลิมฉลองการสถาปนาท่านอ๋องใหม่” ฮ่องเต้พูดด้วยรอยยิ้ม นอกจากนี้ไม่พูดสิ่งใดอีก เขาบอกชายหนุ่มตรงหน้า “มา นายน้อยตระกูลเซวีย เจ้าพูดต่อ”
ภายในตำหนักด้านข้างดังก้องไปด้วยเสียงของนายน้อย องค์รัชทายาทยืนอยู่ด้านนอกตำหนักมองขันทีใหญ่ทั้งหลายของฮ่องเต้ที่ยืนตรงหน้า
“ไปเถิด” เขาพูด สายตาจับจ้องไปยังหนึ่งในขันทีนั้น “ถามท่านมหาราชครูว่าเตรียมการเสร็จแล้วหรือไม่”
ขันทีที่ถูกองค์รัชทายาทมองไม่ได้เงยหน้า ราวกับไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทกำลังมองเขา เพียงแต่เขาโน้มตัวต่ำลง ตอบรับพร้อมถวายบังคมตามผู้อื่น
…
เหล่าขันทีจากพระราชวังเดินทางมาถึงวัดถิงอวิ๋น มีพระสงฆ์รอคอยพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว
“อาจารย์เตรียมไว้เสร็จสิ้นแล้ว” พระสงฆ์พูด “เชิญกงกงทั้งหลายรอก่อน ข้าไปนำมาให้”
วัดถิงอวิ๋นไม่ใช่สถานที่อื่น ขันทีข้างกายฮ่องเต้ก็ไม่กล้าบุ่มบ่าม เขาตอบรับพร้อมนั่งลง มีเพียงขันทีคนหนึ่งพูดขึ้น “บ่าวไปช่วยถือ”
พระสงฆ์นั้นไม่ปฏิเสธ เดินนำเขาไปหาอาจารย์ฮุ้ยจื้อ
อาจารย์ฮุ้ยจื้อนั่งสมาธิอยู่ในอุโบสถ เมื่อรู้จุดประสงค์การเดินทางมา เขาชี้ไปยังกล่องสี่เหลี่ยมที่วางอยู่ด้านหน้าพระพุทธรูป
พระสงฆ์เดินขึ้นหน้าหยิบมา ขันทีที่รอคอยผู้นั้นรีบรับมา แต่เขาไม่ได้ขอตัวถอยออกไปทันที หากแต่คำนับอาจารย์ฮุ้ยจื้อที่หลับตาอยู่
“ท่านมหาราชครู” เขาพูดเสียงเบา “องค์รัชทายาทมีเรื่องขอความช่วยเหลือ”
อาจารย์ฮุ้ยจื้อลืมตา “เรื่องใด”
ขันทีเหลือบมองกล่อง “องค์รัชทายาทอยากขอถุงแห่งโชคให้องค์ชายห้า”
องค์ชายห้าหรือ ในฐานะคนมีความผิด เขาถูกฮ่องเต้ลืมเลือนไปแล้ว ในฐานะพี่ชายร่วมมารดา องค์รัชทายาทแอบระลึกถึงก็ไม่แปลก อาจารย์ฮุ้ยจื้อสวดมนต์ “ได้ ข้าจะเตรียมถุงแห่งโชคหนึ่งใบ เขียนบทสวดหนึ่งใบให้องค์ชายห้า”
ขันทีพูด “ถุงแห่งโชคสองใบ บทสวดสองใบ”
คนเดียวแต่ต้องการถุงแห่งโชคสองใบ บทสวดสองใบ? ร่างของอาจารย์ฮุ้ยจื้อชะงัก มองไปทางขันทีผู้นี้
ขันทีนั้นก้มหน้า “เจตนาขององค์รัชทายาท ท่านมหาราชครูโปรดทำให้สมดังปรารถนา บุญคุณของท่านมหาราชครู องค์รัชทายาทจะจดจำไว้ในใจ”