บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 190 พูดตรง
บังเอิญ?
คุณชายเหวินไม่ใช่คนโง่เขลา เขาไม่เคยเชื่อความบังเอิญบนโลกใบนี้
เฉินตันจูตั้งใจชนเขาอย่างเห็นได้ชัด
เขาหลบเลี่ยงเฉินตันจูอย่างระมัดระวังเสมอมา แต่เฉินตันจูยังคงมาหาถึงที่ เรื่องนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ คุณชายเหวินตึงเครียดขึ้นมาในทันใด บนใบหน้าของเขาเผยยิ้มออกมา คนรีบลงมาจากรถ “คุณหนูตันจู! ช่างบังเอิญเสียจริง ท่านเป็นอย่างไร ได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
เขายกมือตบเข้าที่หน้าของคนเคลื่อนรถ “เจ้าเคลื่อนรถอย่างไร หากทำให้คุณหนูตันจูบาดเจ็บ เจ้าตายร้อยครั้งยังไม่พอ!”
คนเคลื่อนรถนั้นเดิมทีตกใจจนมึนงงไปแล้ว เมื่อถูกฝ่ามือตบเข้าที่ใบหน้า เลือดก็ไหลออกมาทางจมูกทันที เขาคุกเข่าลง ก้มกราบเฉินตันจูไม่หยุด “ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยสมควรตาย”
คุณชายเหวินคำนับเฉินตันจูอีกครั้งด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “เป็นความผิดของข้า คุณหนูตันจูท่านบอกว่าอย่างไรก็อย่างนั้น”
เฉินตันจูพิงหน้าต่างรถ พูดด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเหวิน ท่าทางยอมรับผิด ห่วงใย ขอโทษของท่านช่างไหลลื่น ข้าไม่ต้องพูดสิ่งใดแม้แต่น้อย”
คุณชายเหวินทำหน้ารู้สึกผิด “เป็นความผิดของข้า คุณหนูตันจูควรต่อว่าอย่างไร ก็ต่อว่าตามนั้น”
คุณชายผู้สง่างามพูดจาต่ำต้อย หญิงสาวนั่งอยู่บนรถด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง คนที่มุงดูอยู่ข้างทางถึงแม้เห็นกับตาว่ารถของเฉินตันจูพุ่งชนเข้ามา แต่ไม่มีผู้ใดกล้าออกเสียงเป็นพยานหรือต่อว่า ทำได้เพียงแสดงความเห็นใจคุณชายท่านนี้อยู่ภายในใจ…ช่างโชคร้ายยิ่งนัก ถูกเฉินตันจูชนเข้า
ดูจากลักษณะการแต่งกายและท่าทางการพูดของคุณชายท่านนี้ เขาคงจะเป็นชนชั้นสูงเช่นเดียวกัน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเฉินตันจู เขากลับต่ำต้อยดุจดั่งขอทาน
ช่างน่าสงสาร
เนื่องจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น บนถนนที่คับคั่งแต่เดิมยิ่งติดขัด รถม้าของหลิวเวยถูกขวางไว้ด้านนอก
พวกนางจ้องมองเฉินตันจูเพราะต้องการทักทาย ดังนั้นจึงยิ่งเห็นอย่างชัดเจนว่ารถม้าของเฉินตันจูจงใจพุ่งชนเข้าที่รถม้าของอีกฝ่าย เมื่อเห็นอีกฝ่ายขอโทษอย่างตื่นตระหนกในเวลานี้ คนเคลื่อนรถคุกเข่าก้มกราบอยู่บนพื้น อาอวิ้นและหลิวเวยสบตากันด้วยสีหน้าซับซ้อน
ได้ยินว่าเฉินตันจูมีนิสัยเหิมเกริมมานาน แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เห็นกับตา
“คุณหนูตันจู ดูเหมือนดื้อรั้น” หลิวเวยพูดอย่างตะกุกตะกัก “แต่อันที่จริงมีเหตุผลอย่างมาก”
อาอวิ้นและจางเหยารีบพยักหน้าตาม ในขณะที่กำลังจะพูดบางอย่าง เสียงของเฉินตันจูก็ดังขึ้นจากทางนั้น
“ในเมื่อคุณชายเหวินรู้ว่าตัวเองทำผิดแล้ว ข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะพูด ท่านออกจากเมืองหลวงไปเสีย”
ออกจากเมืองหลวง…
อาอวิ้นและจางเหยาหุบปากที่อ้าขึ้นลง ไม่กล้าส่งเสียงใดออกมาทั้งสิ้น ราษฎรที่มุงดูอยู่รอบด้านต่างตกตะลึง
คุณชายเหวินเหงื่อโชกไปทั้งตัว แต่ภายในใจกระจ่างอย่างยิ่ง เป็นไปอย่างที่คิด เฉินตันจูจงใจพุ่งมาหาเขา อีกทั้งยังต้องการขับไล่เขาออกไป
เพราะว่าเขาแนะนำจวนให้โจวเสวียน
เฉินตันจูไม่อาจทำอันใดโจวเสวียนได้ จึงมาแก้แค้นเขา
“คุณหนูตันจู” คุณชายเหวินสีหน้าหวาดกลัว คุณชายเมืองอู๋ถือความอ่อนแอเป็นความงาม เวลานี้ร่างกายของเขาสั่นเทา ยิ่งแสดงออกถึงความอ่อนแอ “ข้ามีความผิด คุณหนูตันจูตีข้า ด่าข้า ลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ เพียงแต่อย่าขับไล่ข้าออกจากเมืองหลวงเลย”
“ข้าได้รับความตกใจ แค่เพียงเห็นหน้าคุณชายเหวิน ข้าก็นึกถึงเรื่องที่ถูกชนในครั้งนี้…” เฉินตันจูทำท่าทางอ่อนแอเช่นเดียวกัน นางเอื้อมมือกุมหน้าอกเอาไว้ คิ้วขมวด “เพียงแค่นึกถึงเหตุการณ์นี้ ข้าย่อมต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับ มีเพียงวิธีเดียวคือไม่เห็นหน้าคุณชายเหวินอีก”
เหตุผลอันใดกัน ราษฎรที่มุงดูถึงแม้จะหวาดกลัว แต่สีหน้าของพวกเขาก็อดขุ่นเคืองไม่ได้
คุณชายเหวินกล้าๆ กลัวๆ “คุณหนูตันจู ข้าสาบานว่าต่อจากนี้ข้าจะไม่ออกจากจวนอีก ข้าจะไม่มาให้คุณหนูตันจูเห็นหน้าอีกแน่นอน”
คุณหนูตันจูส่ายหัว “ไม่ได้ ท่านอยู่ในจวน ข้ายังคงระลึกได้ว่าท่านยังอยู่ในเมืองหลวง แค่เพียงคิดว่าท่านอยู่ในเมืองหลวง ข้าก็คิดถึงเรื่องรถชน ภายในใจของข้าหวาดกลัวยิ่งนัก…”
ฟังดู เฉินตันจู เจ้าพูดเรื่องที่คนเขาพูดกันหรือ คุณชายเหวินโค้งตัวที่สั่นเทาหัวเราะเยือกเย็น ภายใต้สายตาของราษฎรในเวลากลางวัน พูดประโยคเช่นนี้ออกมา เจ้ากลัวผู้อื่นไม่รู้ว่าเจ้าไม่มีมโนธรรมหรือ
เป็นไปดังที่คาด เมื่อได้ยินประโยคนี้ ราษฎรรอบด้านหวาดกลัวอย่างไรก็อดกลั้นไว้ไม่ได้ ทันใดนั้นมีเสียงวิจารณ์ดังขึ้น อีกทั้งยังมีเสียงเบาปะปน
“ทั้งๆ ที่เจ้าชนคน”
“ไร้เหตุผลเสียจริง”
คุณชายเหวินเงยหน้าขึ้น สีหน้าสิ้นหวังและโศกเศร้า “คุณหนูตันจู ท่านพ่อของข้าติดตามท่านอ๋องไปเมืองโจวแล้ว ท่านย่าและท่านแม่ของข้าร่างกายไม่ดี ข้าจึงจำใจต้องอยู่ดูแล ข้าไม่อาจจากไปได้จริงๆ ขอให้คุณหนูตันจูปล่อยข้าเถิด”
เฉินตันจูเอนพิงหน้าต่างรถ พยักหน้าอย่างจริงจัง “ท่านวางใจ ท่านไปแล้ว ข้าสามารถดูแลคนในตระกูลของท่านแทนท่านได้” พูดพลางยิ้มขึ้น “แน่นอน หากท่านไม่วางใจจริง ท่านสามารถพาคนทั้งตระกูลไปด้วยได้”
แขนเสื้อของคุณชายเหวินร่วงลง ร่างกายสั่นไหว ยิ้มอย่างเศร้าโศก “คุณหนูตันจู ท่านจงใจหาเรื่องข้า”
เฉินตันจูไม่พอใจ “คุณชายเหวิน คนที่ยอมรับผิดก่อนคือท่าน เหตุใดเวลานี้จึงกลายเป็นข้าหาเรื่องท่าน ท่านช่างเป็นคนที่ปากไม่ตรงกับใจ”
คุณชายเหวินกุมหน้าอกเอาไว้ สูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที “ข้ายอมรับผิดคือข้ายอมรับผิด แต่ข้าไม่มีโทษ ไม่ใช่คุณหนูตันจูบอกว่าจะขับไล่ข้าก็สามารถขับไล่ได้”
เฉินตันจูตบหน้าต่างรถ คิ้วเรียวเลิกขึ้น “ไม่มีโทษ? ท่านคิดว่าชนคนแล้วไม่ต้องรับผิดหรือ เหวินจ้าน สถานที่แห่งนี้อยู่ใต้ฝ่าพระบาทของโอรสสวรรค์ สว่างโปร่งใส มีกฎมีเกณฑ์!”
เสียงของหญิงสาวเล็กแหลม ปกคลุมเสียงที่ดังอยู่รอบด้าน กระแทกเข้าไปในหูของทุกคน กระแทกจนทุกคนต่างมีสีหน้าตกตะลึง และมึนงง…กฎเกณฑ์? คุณหนูเฉินตันจูยังรู้กฎเกณฑ์!
หลิวเวยนั่งอยู่ในรถ อยากปล่อยม่านรถลง นางไม่อยากวิจารณ์สหายของตนเอง แต่ก็ไม่อยากฝืนมโนธรรม…ช่างยากลำบากเหลือเกิน
คุณชายเหวินหัวเราะออกมา “ได้ คุณหนูตันจู หากท่านต้องการพูดถึงกฎเกณฑ์ พวกเราไปฟ้องร้อง! ให้กฎเกณฑ์ตัดสิน ข้าสมควรถูกลงโทษหรือไม่”
ฟ้องร้องมีอันใดน่ากลัว เฉินตันจูผายมือ “ได้ เจ้าไปฟ้อง ไป”
ราษฎรรอบด้านต่างเดินตาม มีคนตะโกนขึ้น “พวกข้าเป็นพยาน…”
เฉินตันจูได้ยิน มองข้ามไป เอ่ยถาม “ผู้ใด เป็นพยานเรื่องใด”
ตามสายตาของนางที่มองไป ฝูงชนทางนั้นดุจดั่งถูกหมัดกระทบ หลบหลีกไปทันที
เฉินตันจูส่งเสียงไม่พอใจ “เป็นพยานก็เป็นพยาน ผู้ใดเป็นพยาน ผู้นั้นย่อมเป็นพรรคพวกของเขา!”
จากนั้นถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวงด้วยกันหรือ
ราษฎรหนึ่งคนนางขับไล่ได้ หากสองคน สามคน นับร้อยคนเล่า? ทุกคนยืนออกมาพร้อมกัน หรือว่าเฉินตันจูมีความสามารถคับฟ้าหรือ คุณชายเหวินตะโกนอยู่ในใจ แต่เรื่องที่น่าเสียดายคือ บริเวณรอบด้านถึงแม้จะเสียงดัง แต่ไม่มีคนกล้าตะโกนหรือยืนออกมาอีก…
พวกคนขี้ขลาดที่ไร้มโนธรรม คุณชายเหวินก่นด่าอย่างขุ่นเคืองภายในใจ สมควรแล้วที่จะถูกแย่งชิงจวนและแปลงนา
เขาไม่นั่งรถม้า เดินไปทางที่ว่าการอย่างรวดเร็ว แน่นอน ก่อนเดินทางเขากำชับคนเคลื่อนรถเสียงเบา “รีบไปหาคุณหนูสี่ตระกูลเหยาและคุณชายโจว”
…
ขันทีชะโงกหน้าอยู่ด้านนอกประตูพระตำหนักของพระชายาองค์รัชทายาท ไม่นานนักก็เห็นเหยาฝูเดินออกมา
“ต่อจากนี้เจ้ามาหาข้าโดยตรง ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ” เหยาฝูมองขันที สั่งสอนอย่างหงุดหงิด “พระชายาให้ข้าช่วยองค์ชายห้าดูจวน เรื่องที่มาหาข้าเกี่ยวข้องกับองค์ชายห้า ไม่อาจล่าช้าได้”
ขันทีรีบตอบรับ “ข้าตกใจจนเลอะเลือน”
เหยาฝูถามอย่างเรียบเฉย “มีเรื่องใด”
“คุณชายเหวินนั้นส่งคนมารายงาน เนื่องจากเรื่องการขายจวนของเฉินเลี่ยหู่ให้โจวเสวียนถูกเฉินตันจูรู้ว่าเขามีส่วนร่วม ดังนั้นจึงต้องการขับไล่เขาออกจากเมืองหลวง” ขันทีพูดเสียงเบา “ขอให้คุณหนูเหยายื่นมือช่วยเหลือ”
เฉินตันจูไม่ขายจวนอย่างเชื่อฟังและเต็มใจเสียจริง นางไม่กล้ามีเรื่องกับโจวเสวียน ดังนั้นจึงไปรังแกผู้อื่น
เหยาฝูพยักหน้ากับขันที “เจ้าไปบอกกับคนของคุณชายเหวิน ข้ารู้แล้ว ให้เขารอ”
ขันทีรีบตอบรับ ก่อนจะวิ่งจากไป
ส่วนเหยาฝูหันหลังเดินกลับเข้าพระตำหนักของพระชายาไป นางเห็นนางในคนหนึ่งกำลังถือสำรับอาหาร รีบเดินหน้าขึ้นถาม “ท่านพี่ตื่นแล้วหรือ ถึงเวลาขนมหวานแล้ว ให้ข้านำเข้าไปเองเถิด”
นางในถาม “คุณหนูสี่ไม่ยุ่งหรือเจ้าคะ ข้าเห็นมีคนมาหาท่าน”
เหยาฝูยิ้ม “มาหาข้าก็เป็นเรื่องที่พระชายารับสั่ง ข้าจะเข้าไปทูลท่านพี่พอดี”
นางในจึงให้นางนำสำรับเข้าไป
เหยาฝูย่อมไม่มีทางพูดกับพระชายาเรื่องนี้ อีกทั้งนางย่อมไม่ช่วยเหลือ จะว่าไปเรื่องจวนของเฉินตันจูถูกขาย นางเป็นคนที่ผลักดันอยู่ด้านหลังจริง แต่เรื่องนี้ไม่อาจให้เฉินตันจูรู้ได้
ส่วนโจวเสวียน ถึงแม้บอกโจวเสวียน แต่ก็ทำให้โจวเสวียนมีโอกาสที่ดีในการสั่งสอนเฉินตันจู…แต่
โจวเสวียนเพิ่งได้จวนของเฉินตันจูไปอย่างราบรื่น เวลานี้เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ หากมีเรื่องกับเฉินตันจูอีก เกรงว่าฝ่าบาทจะปกป้องเฉินตันจู
อีกทั้งเมื่อถูกโจวเสวียนขัดขวาง เรื่องที่เฉินตันจูรังแกคนจึงไม่อาจกลายเป็นเรื่องจริง เรื่องนี้ย่อมผ่านไปอย่างไม่เจ็บไม่คัน
หากปล่อยให้เฉินตันจูกำจัดคุณชายเหวินนี้เสีย จากนั้นโจวเสวียนรับรู้ เรื่องนี้ย่อมเป็นการตบหน้าโจวเสวียนอย่างแรง โจวเสวียนย่อมต้องโกรธยิ่งกว่าเวลานี้ เขายิ่งไม่ปล่อยเฉินตันจูไป
“เจ้าจะพูดสิ่งใดกับข้า” พระชายาเดินออกมาด้วยผมที่แผ่สยาย นางหาววอด สีหน้าเกียจคร้าน
อ้วนท้วมเช่นนี้แล้วยังชอบกินของหวาน เหยาฝูเยาะเย้ยอยู่ภายในใจ หากอ้วนต่อไปอีก องค์รัชทายาทคงไม่ชอบแล้ว…เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็เศร้าโศก องค์รัชทายาทไม่เคยชอบเหยาหมิ่น แต่แล้วอย่างไร เหยาหมิ่นยังคงได้เป็นพระชายา ต่อไปยังสามารถเป็นฮองเฮาได้
เหยาฝูหลุบตาลงอย่างเชื่อฟัง “ใกล้ฤดูหนาวแล้ว ผ้าสำหรับชุดใหม่ของท่านพี่เตรียมไว้แล้ว ท่านจะดูเมื่อใดเพคะ”