บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 162 มีสหาย
ข้ารู้แล้ว
เฉินตันจูถือจดหมายเอาไว้ แค่สามคำหรือ
“คุณหนูก็เขียนให้ท่านแม่ทัพแค่สามคำไม่ใช่หรือ” จู๋หลินพูดอยู่ด้านหลัง
“เหมือนกันได้อย่างไร” เฉินตันจูพูด เอื้อมมือกุมหน้าอกเอาไว้ พลางมองไปยังจู๋หลิน “สามคำนั้นของข้ายิ่งสั้นยิ่งสามารถแสดงได้ถึงความขอบคุณของข้า คำพูดไม่สำคัญอื่นใดล้วนไม่ต้องพูด ข้ามีเพียงคำว่าขอบคุณที่จริงใจมอบให้แก่ท่านแม่ทัพ…”
จู๋หลินมองดวงตากลมโตของหญิงสาว ท่าทางอ่อนหวานเช่นนี้ราวกับไม่ได้พบเห็นมานานแล้ว…ตั้งแต่ท่านแม่ทัพจากไปกระมัง
“อีกอย่าง”เฉินตันจูจ้องมองจู๋หลิน “เรื่องอื่นของข้า เจ้าเขียนหมดแล้วไม่ใช่หรือ”
จู๋หลินหน้าแดงก่ำในทันที คิดปฏิเสธ แต่ก็พูดโกหกไม่เป็น…
“เจ้าในฐานะสายสืบของท่านแม่ทัพในเมืองหลวง ย่อมต้องเขียนรายงานอย่างละเอียด” เฉินตันจูพยักหน้าเข้าใจเขา อีกทั้งยังกระแอมไอเสียงเบาพร้อมชี้ตนเองในเวลานี้ เตือนเขา “ตอนที่เจ้าเขียนจดหมายครั้งต่อไป อย่าลืมเขียนปฏิกิริยาหลังจากที่ข้าได้รับจดหมายของท่านแม่ทัพลงไปด้วย ทั้งตื่นเต้นดีใจอีกทั้งยังมีความโศกเศร้าเล็กน้อย”
จู๋หลินตกตะลึง อะไรกัน
เฉินตันจูกวักมือให้เขาเดินเข้ามา
จู๋หลินถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างระแวง
“ข้าแค่จะถาม” เมื่อเขาไม่เดินเข้ามา เฉินตันจูจึงใช้มือป้องไว้ที่ริมปาก ดวงตากลมโตเป็นประกาย เอ่ยถาม “จดหมายที่ท่านแม่ทัพตอบเจ้าเขียนมากกว่านี้ใช่หรือไม่”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จู๋หลินก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย “ไม่มาก” ข้ารู้แล้วสามคำเช่นเดียวกัน
เฉินตันจูได้ยินจึงยิ้มอย่างเข้าใจ “ข้าเข้าใจ ไม่มากก็ไม่มาก ข้าไม่ถาม อันที่จริง เมื่อรู้ว่าท่านแม่ทัพสบายดี ข้าก็วางใจ”
เข้าใจอันใดกัน! จู๋หลินถลึงตา มีแค่สามคำจริงๆ ! แต่จดหมายที่เขาเขียนให้ท่านแม่ทัพเต็มหน้ากระดาษสามใบเชียว
เฉินตันจูใช้พัดปิดปากหัวเราะเสียงเบา ทำท่าทางราวกับเจ้าไม่ต้องพูดข้าเข้าใจ ก่อนจะถือพัดเอาไว้พลางถอนหายใจเสียงเบา “ท่านแม่ทัพจะกลับมาเมื่อใด เฮ้อ ท่านแม่ทัพไม่กลับมา ข้าอยู่ในเมืองหลวงก็ดุจดั่งจอกแหนที่ไร้ราก โดดเดี่ยวเดียวดายไร้ที่พึ่ง ชาไม่อยากดื่มข้าวไม่อยากกินนอนหลับได้ไม่สนิท...”
นางยังพูดไม่ทันจบ อาเถียนก็ชะโงกหน้ามาจากนอกประตู “คุณหนู คุณหนูหลี่มาเจ้าค่ะ คุณหนูเวยเวยด้วยเจ้าค่ะ นำขนมและเหล้าไปที่บ่อน้ำภูเขาหรือไม่เจ้าคะ กินดื่มสนุกกว่า…”
จู๋หลินมองเฉินตันจู ภายในใจหัวเราะออกมา โดดเดี่ยวเดียวดายไร้ที่พึ่ง ชาไม่อยากดื่มข้าวไม่อยากกิน…
เฉินตันจูกระแอมไปหนึ่งที “แต่เพื่อไม่ให้ท่านแม่ทัพเป็นกังวล ข้าก็ทำได้เพียงฝืนยิ้ม…”
จู๋หลินหันหลังเดินจากไป
เฉินตันจูส่งเสียงเรียกสองที “อย่างเพิ่งไปสิ ข้ายังพูดไม่ทันจบ…เจ้าอย่าลืมเขียนสิ่งที่ข้าบอกให้แก่ท่านแม่ทัพด้วย”
อาเถียนมองจู๋หลินที่หายลับไป แลบลิ้นต่อเฉินตันจูเล็กน้อย ถามเสียงเบา “คุณหนู ข้าพูดสิ่งใดผิดไปหรือไม่เจ้าคะ”
เวลานี้นางเพิ่งเห็นท่าทางอ่อนแอของคุณหนู…
เฉินตันจูยิ้ม “ไม่ผิด พวกเรามีสิ่งใดพูดสิ่งนั้น ไม่ต้องปิดบัง”
อาเถียนกระจ่าง นางพูดผิดไปแล้ว
“ไปเถิด ไปเถิด” เฉินตันจูลุกขึ้น “ไปกินขนม”
ตั้งแต่สิ้นสุดการกักบริเวณกลับมายังอารามดอกท้อ วันรุ่งขึ้นหลิวเวยก็เดินทางมาเยี่ยมด้วยตนเอง วันที่สามหลี่เหลียนเดินทางมารักษาโรคพร้อมเยี่ยมเยือน วันที่สี่นางในขององค์หญิงจินเหยาเดินทางมา พร้อมทั้งนำขนมจากพระราชวังมาด้วย จากนั้นเหล่าคุณหนูจากตระกูลชนชั้นสูงอื่นก็เดินทางมา เพียงแต่ลองเชิงที่ด้านนอกอารามดอกท้อ เพียงแต่ครานี้ไม่มีผู้ใดแสร้งป่วย หากแต่ขอซื้อยาสามชนิดที่มีมูลค่าหนึ่งตำลึงทอง
เฉินตันจูย่อมไม่มีทางเข้ากันไม่ได้กับเงินทอง ในเมื่อพวกนางต้องการซื้อนางจึงขายให้ กระทั่งขายจนหมด
“ระยะนี้ข้ายุ่งเล็กน้อย ไม่ทำยาสามชนิดนี้ชั่วคราว” นางบอกกับคนที่เดินทางมาที่เหลือ “หากต้องการซื้อยาไม่ต้องมาแล้ว แต่หากต้องการรักษาโรคยังสามารถมาได้”
เหล่าคุณหนูมองไม่ออกว่าเฉินตันจูมีเรื่องอันใดให้ยุ่ง แต่พวกนางก็ไม่กล้าถาม อีกทั้งไม่กล้าแสร้งป่วยมารักษาโรค
คนที่มาหานางโดยไม่ต้องรักษาโรคได้มีเพียงหลิวเวย นอกจากนี้ก็มีหลี่เหลียนที่ใช้ข้ออ้างติดตามการรักษา
เมื่อเฉินตันจูเดินออกมา ทั้งสองคนกำลังนั่งสนทนากันอยู่ในศาลาพักร้อน
“พวกท่านนัดกันมาหรือ” เฉินตันจูถามด้วยรอยยิ้ม
หลี่เหลียนพูด “บังเอิญต่างหาก หากรู้ว่าคุณหนูหลิวเวยจะมา ตอนที่ข้าผ่านหุยชุนถังคงจะรอนางเสียหน่อย”
เฉินตันจูเดินเข้ามา หลี่เหลียนยื่นข้อมือออกมาอย่างเคยชิน เฉินตันจูจับชีพจรให้นาง ก่อนจะสังเกตสีหน้าของนาง พลางพยักหน้า “เสร็จแล้ว โรคของท่านหายขาดแล้ว ต่อจากนี้ไม่เป็นอันใดอีก สามารถกินอาหารได้ตามใจแล้ว”
หลี่เหลียนแสดงท่าทางดีใจ โน้มตัวขอบคุณ
“ในเมื่อมาแล้ว” เฉินตันจูเชื้อเชิญ “ก็อยู่ต่อด้วยกันเถิด ท่านยังไม่เคยเดินเล่นบนภูเขาดอกท้อของข้าใช่หรือไม่”
หลี่เหลียนกล่าวขอบคุณพร้อมตอบรับ “แต่ก่อนแค่เดินทางผ่าน รู้สึกว่าอยู่ใกล้จากเมืองหลวงเพียงนี้ อยากชมเวลาใดย่อมได้ ผู้ใดจะคิดว่าคุณหนูตันจูจะย้ายมาอยู่บนนี้”
“ท่านพูดมาโดยตรงเสียดีกว่าว่าผู้ใดคิดมาจะเที่ยวชมบนภูเขานี้ต้องได้รับอนุญาตจากคุณหนูตันจูเสียก่อน” เฉินตันจูยิ้ม ก่อนจะพยักหน้าอย่างใจกว้าง “วันนี้ข้าอนุญาตแล้ว พวกท่านสามารถเที่ยวชมบนภูเขาได้ตามสบาย”
หลี่เหลียนและหลิวเวยตอบรับพร้อมเสียงหัวเราะ ทั้งสามคนเดินออกไปทางด้านนอก สาวรับใช้ของแต่ละคนเดินตามอยู่ด้านหลัง เยี่ยนเอ๋อ ชุ่ยเอ๋อและอิงกูหิ้วกล่องอาหาร ผ้าปูและน้ำชาเอาไว้ ทันทีที่เดินออกจากประตู พบว่าทางบนภูเขามีอีกหลายคนเดินมา
“บังเอิญเกินไปแล้ว” หลี่เหลียนจำชุดสวมใส่ในพระราชวังได้ในทันที “องค์หญิงคงไม่เสด็จมาวันนี้ด้วยกระมัง”
องค์หญิงจินเหยาไม่ได้เสด็จมา คนที่มาคือนางในขององค์หญิง
“เมื่อวานองค์หญิงเสวยขนมฤดูใบไม้ผลิที่ห้องครัวทำใหม่ รู้สึกว่าอร่อยอย่างมาก จึงนำมาให้คุณหนูตันจูลิ้มลอง” นางในพูดด้วยรอยยิ้ม ท่าทางเคารพเฉินตันจูอย่างมาก
ถึงแม้ฮองเฮาไม่ชอบเฉินตันจู แต่องค์หญิงจินเหยาชอบ ในฐานะนางในขององค์หญิงจินเหยา นางต้องยึดความชื่นชอบขององค์หญิงเป็นหลัก
เฉินตันจูรับมา “บังเอิญเสียจริง พวกข้ากำลังจะไปริมบ่อน้ำภูเขา มีขนมจากองค์หญิงก็เหมือนองค์หญิงมาด้วย” นางชี้ไปยังหลี่เหลียนและหลิวเวยที่อยู่ด้านหลัง
หลิวเวยและหลี่เหลียนโน้มตัวคารวะนางใน
นางในรู้จักหลิวเวย อีกทั้งยังเคยเดินทางไปพบที่ตระกูลหลิวด้วยตนเอง ถือว่าคุ้นเคยต่อหลิวเวยแล้ว “องค์หญิงต้องอิจฉาคุณหนูเวยเวยอีกแล้วที่สามารถเดินทางมาเที่ยวเล่นได้ตามใจ”
แต่ก่อน หลิวเวยแม้แต่ฝันยังไม่เคยคิดที่จะได้ยินประโยคนี้ องค์หญิงอิจฉานาง เฮ้อ…
นางในมองมายังหลี่เหลียน หลังจากถามชื่อและตระกูลของนางแล้ว จึงพูดขึ้น “รอองค์หญิงสามารถเสด็จออกมาเที่ยวเล่นได้ คุณหนูหลี่ก็ต้องมาด้วยนะ”
หลี่เหลียนโน้มตัวตอบรับ
เฉินตันจูดึงนางในเดินไปด้านข้าง ถามเสียงเบา “องค์หญิงยังถูกกักบริเวณอยู่หรือ เบื่อมากหรือไม่”
นางในหัวเราะเสียงเบา “ไม่ถือว่าเป็นการกักบริเวณ เหนียงเหนียงต้องการทดสอบวิชาขององค์หญิง องค์หญิงไม่อาจเสด็จออกมาได้ตามใจ ส่วนเบื่อหน่ายก็คงไม่เบื่อหน่าย องค์หญิงของพวกข้าศึกษาการชนมุมทุกวัน อีกทั้งยังมีแม่หญิงชนมุมมาสอน คุณหนูตันจู รอองค์หญิงออกมาพบท่านได้ ประลองอีกครั้งท่านต้องแพ้อย่างแน่นอน”
เฉินตันจูตะลึง องค์หญิงจินเหยาฝึกฝนชนมุม? น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก แตกต่างจากภาพลักษณ์ขององค์หญิงที่ชื่นชอบในการแต่งกายเมื่ออดีตชาติอย่างสิ้นเชิง…คงจะไม่ใช่เป็นเพราะนางกระมัง
แต่เรียนรู้วิธีการต่อสู้ก็ไม่เลว ล้มบ้างถูกตีบ้าง ร่างกายแข็งแรงแล้ว ถึงแม้จะต้องประสบกับการให้กำเนิดบุตรยากก็สามารถอดทนข้ามผ่านไปได้
เฉินตันจูยิ้ม “กลับไปทูลองค์หญิง ผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะยังไม่แน่”
หลังจากส่งนางในจากไป ทั้งสามคนนั่งกินดื่มสนทนาเล่นไพ่อยู่ริมบ่อน้ำเป็นเวลาครึ่งวัน หลิวเวยและหลี่เหลียนจึงขอตัวกลับ เฉินตันจูกลับไปยังอารามดอกท้อ ท่ามกลางเวลาพลบค่ำในฤดูใบไม้ร่วง นางพลางครุ่นคิดวิธีการขจัดพิษให้องค์ชายสาม พลางเหม่อลอยคิดถึงจางเหยา…นางไม่ได้พูดถึงจางเหยาต่อหน้าของหลิวเวย ไม่ได้ถามเรื่องว่าที่สามีของหลิวเวย
ในเมื่อหลิวเวยไม่ยินยอม อีกทั้งจางเหยาก็เดินทางมาเพื่อถอนหมั้น นางย่อมไม่แทรกแซง ให้พวกเขาเป็นไปดั่งที่สมควรจะเป็น เกรงว่าหากนางถามในเวลานี้จะยิ่งทำยิ่งเสีย กระทบต่อจางเหยา
เฉินตันจูเท้าคางมองไปยังนอกหน้าต่าง เวลานี้เป็นช่วงปลายของฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เพียงแค่พริบตาฤดูหนาวก็ใกล้เข้ามา ผ่านไปอีกหนึ่งปี อีกชั่วพริบตาจางเหยาก็เดินทางมา อีกชั่วพริบตา…
บนลานกำแพงมีร่างหนึ่งกระโดดลงมา นาทีถัดมามีอีกร่างลอยเข้ามา ก่อนจะถีบไปยังคนผู้นั้น ร่างทั้งสองพัวพันอยู่กลางอากาศ ก่อนจะกระแทกลงบนพื้นเสียงดัง
ตามมาด้วยคนจำนวนมากปรากฏขึ้นบริเวณรอบด้าน ล้อมรอบคนที่ร่วงลงบนพื้นเอาไว้
เขาคือมือสังหารหรือ
เฉินตันจูมองด้วยความสงสัย ก่อนจะเห็นร่างที่ร่วงลงพื้นนั้นถูกองครักษ์หลวงสองคนจับเอาไว้ ส่งเสียงร้องออกมา เขาเงยหน้ามองมายังเฉินตันจู
“คุณหนู คุณหนูฝีมือดี” เขาร้องโอดครวญ “คุณชายข้าขอพบ คุณหนูเปิดประตูทีขอรับ”
คุณหนูฝีมือดี? เฉินตันจูมองใบหน้าของเขา ก่อนจะระลึกขึ้นได้ เขาคือคนที่กระโดดโลดเต้นเห็นหน้าไม่ชัดตอนที่ดูนางและคุณหนูตระกูลเกิ่งทะเลาะกันครั้งก่อนที่บริเวณเชิงเขา
คุณชายของเขา…
บนขั้นบันไดบริเวณเชิงเขา ชายหนุ่มในชุดสีครามยืนไขว้มือไว้ด้านหลัง สายตากำลังชื่นชมต้นไม้ใบหญ้ารอบด้าน ไม่สนใจจู๋หลินที่ชักดาบอยู่ด้านหน้า
หญิงชราขายชายืนอยู่ด้านนอกโรงน้ำชา มองดูเงาท่ามกลางป่าไม้ลอยไปมาอยู่ท่ามกลางผมสีดำ และแผ่นหลังตรงของชายหนุ่มนี้ เสียงเรียกให้อีกฝ่ายมาดื่มชาไม่อาจเปล่งออกมาได้ เพราะเกรงว่าจะรบกวนคนรูปงามตรงหน้า