บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 151 ยอมรับ
จู๋หลินกังวลอย่างมาก กังวลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่เคยลืมเรื่องที่เฉินตันจูหลอกพวกเขาในตอนนั้น ก่อนที่นางจะบุกไปลอบสังหารคุณหนูสี่ตระกูลเหยาโดยตรง
เวลานี้ท่านแม่ทัพให้เขาบอกตัวตนของคุณหนูสี่ตระกูลเหยาแก่เฉินตันจู เฉินตันจูจะไม่ถือดาบบุกเข้าพระราชวังไปฆ่าคนหรือ
ทำอย่างไรดี หากเกิดการปะทะในพระราชวัง ถึงแม้เขาจะเป็นองครักษ์หลวงก็ไม่อาจคุ้มครองนางได้…ใช่ บุกเข้าพระราชวังมีโทษเท่ากับกบฏ เขาในฐานะองครักษ์หลวงยังคิดจะคุ้มครองนาง…
มือของจู๋หลินกดลงบนหน้าอก เสียงกระดาษจดหมายดังกรอบแกรบ หน้าที่ขององครักษ์หลวงที่
เฟิงหลินเขียนให้เขาดุจดั่งมีดที่สลักลงบนกระดาษ อีกทั้งยังต้องการให้เขาสลักเข้าไปในหัวใจ…
คำพูดของเฟิงหลินทำให้เขาหน้าแดงก่ำ ส่วนคำตำหนิของท่านแม่ทัพยิ่งไม่มีเยื่อใย เวลานี้เขาเป็นองครักษ์ของคุณหนูตันจู ย่อมต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของคุณหนูตันจูเป็นอันดับแรก
เอาเถิด หากนางคิดจะไปหาที่ตาย เขาย่อมต้องตามไป
แต่ภายในใจของจู๋หลินลุกไหม้ขึ้นหน้า หญิงสาวตรงหน้ายังคงนิ่งดุจดั่งน้ำแข็ง ไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย
จู๋หลินมองเฉินตันจูอย่างผงะ
เฉินตันจูสีหน้าเรียบเฉย ไม่ร่ำไห้ ไม่ตะโกน ไม่กระชากคอถามเขาด้วยความโกรธเคือง ไม่วิ่งจากไปอย่างบ้าคลั่ง…
“คุณหนูตระกูลเหยาหรือ” นางพูดอย่างช้าๆ “ที่แท้ที่พึ่งของหลี่เหลียงคือองค์รัชทายาทหรือ”
จู๋หลินกังวล ท่านแม่ทัพเพียงแค่ให้เขาบอกตัวตนของเหยาฝู เรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาท เขาไม่อาจพูดมากได้กระมัง
เฉินตันจูเงยหน้าขึ้น ไม่ได้ถามถึงองค์รัชทายาท เพียงแค่ถาม “ครั้งก่อนที่คุณหนูตระกูลเกิ่งมาเที่ยวเล่นบนภูเขาดอกท้อ เหยาฝูนี้ก็อยู่ด้วยใช่หรือไม่”
จู๋หลินพยักหน้า “อยู่”
เฉินตันจูครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าพูดขึ้น “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ นางเป็นคนช่วยข้า”
มิน่าเหล่าคุณหนูมาท้าทายนางอย่างให้ความร่วมมือเช่นนั้น ที่แท้ก็ถูกคนจงใจเสี้ยมให้มาท้าทายนาง
ช่วย? จู๋หลินไม่เข้าใจ
เฉินตันจูไม่ได้ถามสิ่งอื่นต่อ เพียงแค่ยิ้มให้เขา “ข้ารู้แล้ว ขอบคุณท่านแม่ทัพ” พูดจบจึงหันหลังเดินเข้าด้านในไป
เอ๊ะ? จู๋หลินอดถามขึ้นไม่ได้ “คุณหนูตันจู?”
เฉินตันจูหันกลับมา “มีอันใด มีเรื่องอื่นอีกหรือ?”
เขาไม่มีเรื่องอื่น จู๋หลินคิดภายในใจ ท่านเล่า? หลังจากบอกตัวตนของเหยาฝูแล้ว จากนั้นเล่า? ไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย?
คงไม่ได้อยากจะหลีกเลี่ยงพวกเขา เดินทางไปแก้แค้นเองอีกครั้งกระมัง
“คุณหนูตันจู” เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “อย่าได้มุทะลุ ท่านต้องเชื่อใจพวกข้า”
เฉินตันจูหัวเราะ รู้ว่าเขานึกถึงเรื่องเมื่อครั้งก่อน จึงส่ายหัว “ไม่อีกแล้ว เจ้าวางใจ หากข้าต้องการทำสิ่งใดข้าจะบอกเจ้าล่วงหน้า”
จู๋หลินตอบรับ มองดูเฉินตันจูเดินเข้าไปภายในห้อง นั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะมองดูอาเถียนเล่าเหตุการณ์งานล่องเรือให้กับเหล่าสาวรับใช้ด้วยรอยยิ้ม นางฟังอย่างตั้งใจ หัวเราะตามสาวรับใช้ อีกทั้งยังพูดเสริมขึ้นในบางครั้ง…ทุกสิ่งเหมือนก่อนหน้านี้
จู๋หลินอดที่จะเกาหัวไม่ได้ ตนเองพูดไม่ชัดเจน หรือว่าคุณหนูตันจูฟังไม่ชัดเจน เหตุใดคุณหนูตันจูจึงแตกต่างไปจากคุณหนูตันจูคนเดิมแล้ว?
จู๋หลินรออยู่สองวัน คุณหนูตันจูไม่ได้พูดถึงเรื่องของเหยาฝูอีก ราวกับไม่เคยได้ยินมาก่อน แตกต่างจากที่เขาจินตนาการอย่างสิ้นเชิง จู๋หลินเป็นกังวลเล็กน้อย จึงรีบเขียนจดหมายให้ท่านแม่ทัพ แต่สองวันต่อมา พวกเขารอคอยมาซึ่งบทลงโทษจากพระราชวัง
นางกำนัลของฮองเฮา และจิ้นจงขันทีของฮ่องเต้เดินทางมายังอารามดอกท้อด้วยตนเอง เฉินตันจูรู้เรื่องราวผ่านคำพูดของพวกเขา ไม่ว่าเรื่องจะเกิดขึ้นเพราะโจวเสวียน หรือว่าองค์หญิงยินยอม แต่เฉินตันจูกล้าลงมือกับองค์หญิง ทำให้ฮองเฮาโกรธอย่างมาก เดิมทีต้องการลงโทษเฉินตันจู แต่องค์หญิงคุกเข่าขอร้องฮองเฮา ฮองเฮาจึงอภัยโทษให้
แต่ตักเตือนไม่อาจไม่มีได้
นางกำนัลทำหน้านิ่ง พูดอย่างเย็นชา “เฉินตันจูเข้าไปปฏิบัติธรรมในวัดสิบวัน คัดลอกคัมภีร์สิบรอบ เพื่อเป็นการฝึกจิตใจ”
ไปวัด? อาเถียนที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังกังวลขึ้นมาทันที ฮองเฮาคิดจะกักบริเวณคุณหนูหรือ กักบริเวณก็กักบริเวณ อยู่บนภูเขาดอกท้อก็สามารถกักบริเวณได้ ปฏิบัติธรรม พวกนางก็อาศัยอยู่ในอาราม…อืม ถึงแม้จะบูชาแตกต่างกัน แต่ก็เป็นเทวดาเช่นเดียวกัน จิตใจเหมือนกันก็พอ
เฉินตันจูขมวดคิ้ว ถาม “วัดใด”
ขันทีจิ้นจงมองดูคุณหนูตันจูที่คุกเข่าอยู่บนพื้นโดยไม่มีท่าทีหวาดกลัว มีเพียงความรำคาญใจ ภายในใจมั่นใจว่าหากตนเองพูดในสิ่งที่ทำให้นางไม่พอใจ นางจะลุกขึ้นบุกเข้าไปหาฮ่องเต้ในพระราชวังทันที
สำหรับการกักบริเวณในวัด เป็นการตัดสินใจของฮ่องเต้และฮองเฮาหลังจากถกเถียงกัน ฮองเฮาต้องการกักบริเวณเฉินตันจูในพระราชวัง นางไม่เชื่อว่าด้านนอกมีคนสามารถคุมเฉินตันจูได้ แต่ฮ่องเต้ปฏิเสธ บอกว่าหากเข้าพระราชวังมา องค์หญิงจินเหยาย่อมไม่มีทางสบายใจ คิดหาวิธีในการพบนาง เมื่อถึงเวลาคงต้องมาขอร้อง สู้ให้นางไปกักบริเวณที่วัดเสียดีกว่า
ขันทีจิ้นจงพูดด้วยรอยยิ้ม “วัดถิงอวิ๋น”
เวลานี้วัดถิงอวิ๋นเป็นวัดหลวง อาจารย์ฮุ้ยจื้อเตรียมห้องไว้ในวัดเรียบร้อยแล้ว ฮ่องเต้ก็มักไปปฏิบัติธรรม เชื้อสายราชวงศ์ก็ไปได้ ไปที่นั่นก็เปรียบเหมือนกักบริเวณในพระราชวังแล้ว
เมื่อได้ยินว่าเป็นวัดถิงอวิ๋น เฉินตันจูรีบโน้มตัวลง น้ำเสียงสะอึกสะอื้นและสั่นเทา “ข้ามีโทษ ขอบพระทัยการสั่งสอนของฝ่าบาทและฮองเฮา”
หญิงสาวนี้แสร้งทำเป็นอ่อนแอในเวลานี้จะสายไปหรือไม่ นางกำนัลผงะ หรือว่าต้องดูก่อนว่าบทลงโทษน่าพึงพอใจหรือไม่ถึงจะตัดสินใจยอมรับบทลงโทษ?
หญิงสาวนี้เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ขันทีจิ้นจงเคยเห็นกับตา เขายิ้มอย่างไม่แปลกใจ
ฮองเฮาไม่ได้คุมตัวของเฉินตันจูไปทันที หากแต่บอกว่าในเมื่อไม่ใช่การลงโทษ จึงไม่ได้เข้มงวดเพียงนั้น ให้เวลานางเตรียมตัวหนึ่งวัน พรุ่งนี้จะมีคนในวังมารับ
หลังจากส่งคนในวังจากไป อาเถียนและคนอื่นต่างทำหน้าเคร่งเครียด “คุณหนูไปวัดคงต้องลำบากอย่างแน่นอน กินไม่ดี นอนไม่ดี”
ไปอยู่วัดต้องกินอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ เตียงที่นอนก็แข็งกระด้าง อีกทั้งยังต้องไปคุกเข่าต่อหน้าพระพุทธรูป อีกทั้งยังต้องคัดลอกคัมภีร์ สวรรค์ สิบวันนี้คุณหนูจะอยู่อย่างไร
เมื่อคนในวังเดินทางมาภูเขาดอกท้อ เรื่องที่เฉินตันจูถูกลงโทษก็กระจายออกไป เหล่าราษฎรต่างอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ยังคิดว่าเฉินตันจูนี้จะไร้กฎไร้เกณฑ์จริงๆ เสียอีก”
“ครานี้นางตีคนเหตุใดจึงไม่ไปฟ้องแล้ว”
“ฟ้องอันใดกัน องค์หญิงไม่ได้ไปภูเขาของนาง นางตีคน ยังจะมีเหตุผลอีก?”
เหล่าราษฎรหัวเราะอย่างสนุกสนาน ส่วนเหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่ต่างโล่งใจ พวกนางสามารถออกไปเที่ยวเล่นอย่างไม่ต้องกังวลแล้ว เฉินตันจูต้องถูกกักบริเวณสิบวัน นางคงจะต้องลำบากไม่น้อย
ภายในหุยชุนถัง หลิวจั่งกุ้ยฟังเสียงวิจารณ์ของเหล่าผู้ป่วย สีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย
เวลานี้หลิวเวยเดินเข้ามาจากด้านนอก เห็นสีหน้าของบิดา จึงยิ้มออกมา “ท่านพ่อ ไม่ต้องกังวล ไม่เป็นอันใด บทลงโทษนี้สำหรับคุณหนูตันจูแล้วไม่ถือเป็นบทลงโทษ”
หลิวจั่งกุ้ยได้ยินชื่อของคุณหนูตันจู คิ้วของเขาขมวดขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะบอกให้บุตรสาวเบาเสียง “เบาเสียงหน่อย อย่าให้ผู้อื่นได้ยิน”
น่าเหลือเชื่อ คุณหนูที่แปลกประหลาดคนนั้นคือเฉินตันจู ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าคุณหนูคนนี้แปลกประหลาด แต่ไม่เคยผูกนางเอาไว้กับเฉินตันจูผู้มีชื่อเสียงเลวร้าย
หลิวเวยเรียกขานบิดา “ท่านอย่าทำเช่นนี้ นางไม่ได้น่ากลัว นางไม่ร้ายแม้แต่น้อย…อืม หากท่านไม่ร้ายกับนาง”
หลิวจั่งกุ้ยยิ้มขมขื่น “ข้ากล้าร้ายกับนางที่ใดกัน”
“ดังนั้น นางจะร้ายเพียงแค่กับผู้ที่ร้ายกับนาง” หลิวเวยพูดเสียงเบา “แต่สำหรับคนอย่างพวกเรา นางทั้งใจดีและเข้าถึงง่าย”
หลิวจั่งกุ้ยเข้าใจความหมายของนาง เฉินตันจูเป็นเพียงคนที่เห็นใจคนที่อ่อนแอ ความร้ายกาจของนางล้วนใช้บนตัวคนที่มีอำนาจและมีฐานะ
“นางร้ายจนเคยชิน” หลิวจั่งกุ้ยพูดเสียงเบา “กักบริเวณสิบวันครั้งนี้ นางคงต้องลำบากไม่น้อย”
หลิวเวยขมวดคิ้ว ใช่ นางเองก็เป็นกังวลมาก ต้องอาศัยในวัดเป็นเวลาสิบวัน คุณหนูตันจูต้องลำบากเพียงใด…
วัดถิงอวิ๋น สถานที่ที่อาจารย์ฮุ้ยจื้ออยู่ถูกเณรน้อยขวางเอาไว้
“อาจารย์กำลังนั่งสมาธิ” เขาพูดต่อเหล่าสงฆ์ที่เดินทางมา บอกให้พวกเขาเงียบเสียง “อย่าได้รบกวน”
เหล่าสงฆ์มองไปทางนั้น เห็นประตูห้องปิดสนิท มีเสียงเคาะมู่อวี๋[1] ดังขึ้น…เสียงของมู่อวี๋ดังขึ้นระรัว แต่ละทีล้วนเคาะลงบนหัวใจของคน เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ฮุ้ยจื้อมีการบรรลุอีกแล้ว!
ภายในห้องที่ปิดประตูและหน้าต่างสนิท บนศีรษะของอาจารย์ฮุ้ยจื้อเต็มไปด้วยเหงื่อ มือข้างหนึ่งเคาะมู่อวี๋ มืออีกข้างนับลูกประคำอย่างรวดเร็ว…พระพุทธเจ้า เฉินตันจูผู้ร้ายกาจนี้จะเดินทางมากักบริเวณสิบวัน สิบวันนี้จะผ่านไปได้อย่างไร
[1] มู่อวี๋[1] เป็นหนึ่งในเครื่องใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา รูปลักษณ์ลายสลักภายนอกคล้ายคลึงกับปลาและทำมาจากไม้ ใช้เคาะประกอบกิจของสงฆ์