บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 129 วิพากษ์วิจารณ์
ถึงแม้เบื้องหลังมีคนมากมายวิพากษ์วิจารณ์ แต่เฉินตันจูไม่ได้มีอาการจามไม่หยุด วันนี้ก็ยังคงไม่เปิดประตูรักษา หากแต่พาอาเถียนเข้าเมือง
“หลบไป หลบไป!” เมื่อเห็นรถม้าคันนี้เคลื่อนเข้าใกล้ ทหารยามที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าประตูเมืองที่อยู่ห่างไกลออกไปก็เริ่มกระจายฝูงชนที่กำลังเข้าเมืองเพื่อเป็นการเปิดทาง
จู๋หลินสะบัดแส้เร่งม้า ทั้งๆ ที่เป็นม้าลากรถ แต่ถูกเขาขี่ราวกับม้าเร็วที่ควบอย่างบ้าคลั่งเพื่อรายงานข่าวสาร ถนนใหญ่อันร้อนอับตลบอบอวลไปด้วยฝุ่นควัน ผู้คนที่ถูกกระจายตัวให้หลบไปอยู่ริมทางต่างปิดจมูกกระแอมไออย่างไม่หยุดหย่อน
ท่ามกลางฝุ่นควันสามารถมองเห็นหญิงสาวสองคนที่นั่งอยู่บนรถม้าด้านหลังม่านบาง หนึ่งในนั้นอายุน้อย สวมชุดกระโปรงลายดอกไม้ แม้จะอยู่ด้านหลังม่านก็สามารถเห็นถึงผิวขาวดุจหิมะ นางถือพัดโบกไปมา กำไลบนข้อมือกระทบกันส่งเสียงไพเราะ…
รถม้าเคลื่อนตัวผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย ฝูงชนที่ถูกกระจายตัวไปอยู่สองข้างทางเดินกลับเข้ามากลางถนนเหมือนเคย
“ผู้ใดกัน” มีคนต่างถิ่นถามขึ้น ก่อนจะมองขบวนที่รวมตัวกันอีกครั้งด้านหน้าประตูเมือง ภายในนั้นมีรถม้างดงามไม่น้อย แต่พวกเขาต่างต่อแถวอย่างเชื่อฟัง “หรือจะเป็นเชื้อสายราชวงศ์”
ก่อนจะนึกย้อนไปถึงสิ่งที่พบเห็น ไม่มีทั้งขบวนทั้งตราสัญลักษณ์ อีกทั้งไม่มีเหล่าบ่าวรับใช้ที่ติดตามมา มีเพียงรถหนึ่งคันม้าหนึ่งตัวและคนเคลื่อนรถหนึ่งคนเท่านั้น
ไม่เหมือนเชื้อสายราชวงศ์แม้แต่น้อย
“นางคือคุณหนูตันจู” คนส่วนใหญ่ล้วนสามารถตอบคำถามนี้ได้ ไม่รอคนต่างถิ่นนั้นถามอีก พวกเขาไม่อยากจะพูดประโยคที่พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหล่านั้น จึงบอกเพียงคร่าวๆ ว่า “หลบหลีกนาง อย่าได้ยั่วยุนางเป็นอันขาด”
แต่ก็มีคนมองเข้าไปภายในเมืองด้วยความกังวล
“คุณหนูตันจูลงเขาแล้ว ไม่รู้ว่าผู้ใดในเมืองจะโชคร้าย”
ทันทีที่รถม้าของคุณหนูตันจูเข้าเมืองก็ชะลอความเร็วลง จู๋หลินต้องซื้อของริมทางที่ผ่านตามที่อาเถียนชี้ เมื่อรถบรรทุกของจนเกือบเต็มแล้ว รถม้าก็เคลื่อนตัวมาถึงถนนอันเป็นที่ตั้งของหุยชุนถังอย่างไม่ตั้งใจ
“เสร็จแล้วขอรับ คุณหนูตันจู” จู๋หลินจอดรถอยู่ด้านหน้าตรอก “ท่านสามารถลงไปซื้อยาได้แล้วขอรับ”
เวลานี้อารามดอกท้อไม่ขาดแคลนเงินและไม่ขาดแคลนยา ร้านยาอื่นมีอยู่เต็มเมืองไม่ไป ดึงดันที่จะไปซื้อยาในร้านนี้
เฉินตันจูลงจากรถ เมื่อได้ยินคำพูดขององครักษ์ที่เน้นย้ำคำว่าซื้อยาด้วยความเสียดสี นางก็ยิ้มขึ้นมา “ไม่ใช่ ครานี้ไม่ใช่ซื้อยา”
จู๋หลินเหลือบมองนาง
“ข้าจะไปขอบคุณหุยชุนถัง ตอนที่ข้าเริ่มรักษาโรค ข้าต้องรบกวนพวกเขามากเพียงใด” เฉินตันจูพูดด้วยสีหน้าซาบซึ้ง “เป็นคนไม่อาจลืมต้นกำเนิดได้”
จู๋หลินหัวเราะแห้งสองที เฉินตันจูหัวเราะร่า ก่อนจะยัดพัดให้เขาถือ จากนั้นตนเองเดินไปยังทิศทางของหุยชุนถัง
“ดูรถให้ดี ถามมากมายทำไมกัน” อาเถียนส่งเสียงไม่พอใจ ก่อนจะเดินตามเฉินตันจูไป
จู๋หลินนั่งอยู่บนรถ มองดูเหล่าคนที่ชี้มาทางนี้ สีหน้าตกตะลึงบ้างสงสัยบ้างเกรงกลัวบ้าง ทันใดนั้นบริเวณรอบด้านเหมือนมีฉากกั้นตั้งขึ้น ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้
รถที่เช่ามาอย่างไม่ใส่ใจคันนี้ไม่โดดเด่นอย่างมาก แต่หากใช้บ่อยครั้งย่อมมีคนจำได้ ถึงเวลาต้องเปลี่ยนรถแล้ว จู๋หลินสะบัดแส้ม้า เคลื่อนรถไปหาร้านรถม้าที่ใกล้ที่สุด
เฉินตันจูเดินเข้าไปภายในหุยชุนถัง ครานี้นางไม่ได้ซื้อยาและถามอาการเหมือนที่กล่าวไว้จริงๆ หากแต่ขอบคุณไต้ฟูชราและหลิวจั่งกุ้ย
“พูดเช่นนี้ แสดงว่าร้านยาของท่านเปิดขึ้นมาแล้วจริงหรือ” หลิวจั่งกุ้ยยิ้มถาม
คุณหนูท่านนี้มาน้อยครั้งในภายหลัง ทุกครั้งที่มาก็แค่ถามอาการไต้ฟูชราแล้วจากไป เขาจึงไม่ได้ใส่ใจมาก เมืองอู๋ที่กลายเป็นเมืองหลวงทั้งคึกคักและวุ่นวาย โดยเฉพาะการมาถึงของผู้มีอำนาจใหม่และการล่มสลายของผู้มีอำนาจเก่า ถึงแม้หลิวจั่งกุ้ยจะเป็นตระกูลเล็ก แต่เขาก็อดเป็นกังวลไม่ได้ อีกทั้งมีเรื่องแต่งงานของบุตรสาว จิตใจของเขาว้าวุ่น ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปสนใจเรื่องของผู้อื่น
เฉินตันจูพยักหน้า “บอกต่อกันระหว่างตระกูล เวลานี้มีเหล่าคุณหนูมาหาข้ามากขึ้น”
เช่นนี้หรือ บอกต่อกันระหว่างตระกูล อันที่จริงเป็นการอุดหนุนของเหล่าญาติมิตรกระมัง บอกว่ารักษาโรค อันที่จริงก็เป็นเพียงการไปมาหาสู่กันของเหล่าหญิงสาว หลิวจั่งกุ้ยหัวเราะ ดังนั้นก็ยังเป็นการเล่นสนุกของเหล่าหญิงสาวในตระกูล เมื่อคิดถึงการไปมาหาสู่กันของเหล่าหญิงสาวในตระกูล เขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ …
“หลิวจั่งกุ้ยเป็นอันใดหรือ” เฉินตันจูรีบถาม “มีเรื่องอันใด”
หลิวจั่งกุ้ยมองใบหน้าห่วงใยของหญิงสาวตรงหน้า พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นอันใด” ทันทีที่สิ้นเสียง โถงทางด้านหลังมีหญิงสาวสองคนเดินออกมา
เฉินตันจูย่อมเห็น อีกฝ่ายคือหลิวเวยและหญิงสาวที่อายุใกล้เคียงกัน หลิวเวยก้มหน้าต่ำราวกับกำลังเช็ดน้ำตา ส่วนหญิงสาวอีกคนกำลังปลอบใจนาง
“น้องสาวอย่าได้เสียใจ คุณหนูจงพูดจาไม่ไตร่ตรองเพียงนี้ ต่อไปพวกเราต่างไม่เล่นกับนาง” หญิงสาวนั้นพูดด้วยความขุ่นเคือง
หลิวเวยเช็ดน้ำตา “พี่อาอวิ้น อย่าให้ข้าทำให้พวกท่านเดือดร้อน พวกท่านเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่มีชื่อเสียง ข้าเป็นเพียงบุตรสาวตระกูลไต้ฟู…”
นางพูดพลันหลั่งน้ำตา
หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าอาอวิ้นรีบซับน้ำตาให้นาง “เจ้าอย่าได้ใส่ใจกับคำพูดเหลวไหลของนาง บุตรสาวตระกูลไต้ฟูแล้วอย่างไร ท่านทวดของข้าก็เป็นบุตรสาวตระกูลไต้ฟู แต่งเข้าตระกูลฉางทำให้ตระกูลตกต่ำหรืออย่างไร ตระกูลฉางตงเจียวของพวกข้ายังคงเป็นตระกูลใหญ่ นางพูดเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ด่าเจ้า แต่ยังด่าตระกูลฉางด้วย ท่านทวดบอกแล้ว ต่อจากนี้ไม่อนุญาตเหล่าหญิงสาวจากตระกูลจงไปมาหาสู่กับพวกเรา”
หลิวเวยเช็ดน้ำตาฝืนยิ้มออกมา
อาอวิ้นก็ยิ้มตอบนาง ก่อนจะลังเลเล็กน้อย “งานชมดอกบัวของตระกูลเหอไม่ใช่ไม่ให้เจ้าไป ตระกูลอย่างตระกูลเหอเชิญเพียงแค่คนเป็นใหญ่ในตระกูล ดังนั้นท่านป้าใหญ่จึงพาแค่ท่านพี่ใหญ่ไป คนอื่นล้วนไม่ได้ไป”
“พี่อาอวิ้น เรื่องนี้ข้าเข้าใจ” หลิวเวยรีบพูด
อาอวิ้นยิ้ม “ข้ารู้ว่าเวยเวยไม่ใช่คนที่ไม่รู้เรื่อง เจ้าวางใจ ท่านทวดบอกแล้ว อีกสองสามวันพวกเราก็จัดงานเลี้ยงขึ้นมา ถึงเวลาพวกเราเป็นเจ้าภาพงาน ข้าจะกลับไปบอกตระกูล ไม่ส่งจดหมายเชิญให้คุณหนูตระกูลจง”
หลิวเวยเรียกขานพี่สาว ก่อนจะบอกว่าอย่าทำเช่นนี้ แต่ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม…แต่รอยยิ้มนั้นก็ชะงักไปเมื่อเหลือบเห็นคนด้านข้าง หญิงสาวคนหนึ่งกำลังจ้องมองพวกนางด้วยดวงตากลมโต ฟังพวกนางสนทนากัน
คุณหนูอาอวิ้นตกใจด้วยความไม่ทันตั้งตัว ในขณะที่กำลังจะต่อว่า…
“พี่เวยเวย” เฉินตันจูเรียกขานเสียงหวาน มองอีกฝ่ายด้วยความกังวล “เหตุใดท่านไม่สุขใจอีกแล้ว”
นางยื่นก้อนข้าวเหนียวเคลือบงาชิ้นหนึ่งไปให้อีกฝ่าย
“ท่านลองชิมสิ่งนี้ ข้าเพิ่งซื้อมา”
ความตกใจของหลิวเวยในเดิมทีสลายไป “เจ้าเองหรือ”
เสียงตำหนิของคุณหนูอาอวิ้นก็เก็บเข้าไป นางมองหลิวเวย “เจ้ารู้จักหรือ”
หลิวเวยพยักหน้า “นางเป็นคุณหนูที่มารับยาจากร้านพวกข้าเป็นประจำ” ก่อนจะยิ้มให้เฉินตันจู “ข้าไม่กิน เจ้ากินเถิด”
เฉินตันจูส่งก้อนข้าวเหนียวเคลือบงาไปด้านหน้าของคุณหนูอาอวิ้นแทน ดวงตาจ้องมองนาง “คุณหนูท่านนี้ ท่านกินชิ้นหนึ่งเถิด”
คุณหนูตระกูลใดกัน เนื่องจากรูปลักษณ์สง่างามถูกคนประจบเอาใจ จึงทำให้พบผู้ใดสนิทไปหมดหรือ
“ข้าไม่กิน” อาอวิ้นวางตัวห่างเหิน ในร้านยาเล็กๆ อย่างหุยชุนถัง คนที่มาซื้อยาด้วยตนเองจะเป็นคนอย่างไรได้ นางดีต่อหลิวเวยเพราะเป็นญาติ แต่สำหรับตระกูลเล็กอื่นๆ นางไม่สนใจที่จะคบหาด้วย พูดจบพลันดึงหลิวเวย “รีบไปกันเถิด”
นางย่อมมองออกว่าหญิงสาวผู้นี้ยังคิดจะสนทนาต่อ
หลิวเวยตอบรับ ก่อนจะหันไปมองบิดา
อาอวิ้นทำการคารวะ “ท่านลุง”
หลิวจั่งกุ้ยยิ้ม “ขอบใจเจ้ามากที่เดินทางมาโดยเฉพาะ เวยเวยโตเพียงนี้แล้ว ยังทำตัวราวกับเด็ก เจอปัญหาอันใดก็ร้องไห้”
อาอวิ้นยิ้ม “เวยเวยแค่ได้รับความไม่เป็นธรรมเท่านั้น” นางไม่สนใจที่จะพูดคุยกับท่านลุงคนนี้เช่นเดียวกัน “ท่านลุง ข้าพาเวยเวยไปก่อน ท่านทวดบอกว่าอีกสองวันพวกเราจะจัดงานเลี้ยง หลายวันนี้
เวยเวยคงไม่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
เขาไม่อาจตัดสินใจได้อยู่แล้วว่าจะมารับเมื่อใดมาส่งเมื่อใด หลิวจั่งกุ้ยเคยชินเสียแล้ว แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เขาก็ยังอดพูดไม่ได้ “ไม่ได้บอกว่าฝ่าบาทไม่อนุญาตให้เหล่าบุตรหลานตระกูลใหญ่เที่ยวเล่นหรือ เรื่องของคุณหนูตันจูนั้น พวกเจ้าก็ได้ยินใช่หรือไม่”
คุณหนูตันจูมองเขา กะพริบตาปริบๆ
อาอวิ้นยิ้ม “ฝ่าบาทไม่ได้ตำหนิพวกเรา เวลานี้ตระกูลใหญ่เมืองอู๋ยังคงจัดงานเลี้ยงกันอยู่ อีกทั้งยิ่งต้อง…ท่านลุงไม่รู้หรอกเจ้าค่ะ แต่ท่านไม่ต้องกังวล”
ใช่ เขาไม่รู้ เขาเป็นเพียงบุตรหลานตระกูลเล็กแห่งหนึ่ง เรื่องเหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวกับเขา หลิวจั่งกุ้ยถูกคุณหนูคนนี้พูดไปประโยคเดียว เขาก็ทำเพียงแค่ยิ้ม จากนั้นไม่พูดอะไรอีก “ได้ พวกเจ้าไปเถิด”
อาอวิ้นดึงหลิวเวยกำลังจะจากไป แต่หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างเดินเข้ามาขวางทางเอาไว้
“จวนของพวกท่านจะจัดงานเลี้ยงหรือ” เฉินตันจูถาม ดวงตาเป็นประกาย “ข้าไปได้หรือไม่”
หญิงสาวคนนี้…คุ้นเคยกันมากหรือ อาอวิ้นเหลือบมองหลิวเวย สีหน้าของหลิวเวยเก้อเขินเล็กน้อย อาอวิ้นเข้าใจในทันที แสดงว่าไม่คุ้นเคย
นางเป็นพี่สาวที่ดูแลน้องสาวอย่างดี นางบีบแขนของหลิวเวยเล็กน้อย ไม่ต้องให้นางปฏิเสธด้วยตนเอง
“ผู้ใหญ่ในตระกูลเป็นผู้แจกจดหมายเชิญ พวกข้าตัดสินใจไม่ได้” นางยิ้มอ่อน “หากเจ้าต้องการไป เจ้าลองกลับจวนไปถาม ให้ผู้ใหญ่ในตระกูลมาบอกพวกข้า”
เฉินตันจูเหลือบมองนางด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้ท่านพูดว่าจะกลับไปบอกตระกูลไม่ให้เชิญคุณหนูจงอะไรไม่ใช่หรือ ในเมื่อสามารถตัดสินใจไม่เชิญผู้ใดได้ เหตุใดจึงตัดสินใจเชิญผู้ใดไม่ได้”
อาอวิ้นทั้งตะลึงทั้งขุ่นเคือง คนอะไรกัน ไม่มีมารยาทเพียงนี้ แอบฟังผู้อื่นสนทนากัน…เท่านี้ยังไม่พอ ยังกล้าซักถาม
“เจ้า…” นางเลิกคิ้วขึ้นทันที
เฉินตันจูกลับหลบออกไปหนึ่งก้าวอย่างกะทันหัน “ข้ารู้แล้ว ข้าจะกลับไปถาม พี่สาวพวกท่านเชิญ”
มือที่ยื่นออกไป คำพูดที่กำลังจะพูดออกมาของอาอวิ้นเสียเปล่า ทำได้เพียงสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป
“เวยเวย ไปกันเถิด” นางพูดด้วยเสียงขุ่นเคืองพลันลากหลิวเวยเดินจากไป
หลิวเวยเองก็รู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่มีมารยาท นางเหลือบมองเฉินตันจูหนึ่งทีก่อนจะจากไปโดยไม่ได้พูดสิ่งใด หญิงสาวคนนี้รูปลักษณ์งดงาม เสียงพูดก็ไพเราะ แต่ไม่เพียงพอที่นางจะคบหาด้วย ผู้ที่นางจะคบหาด้วยคือเหล่าหญิงสาวที่พี่อาอวิ้นคบหา
อาอวิ้นดึงหลิวเวยขึ้นรถ หันกลับไปมอง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวนั้นยังยืนอยู่ภายในโถง
“เวยเวย” นางพูด “คนผู้นั้นเป็นใครกัน”
“นางแค่บอกว่าจะเปิดโรงหมอ จึงมักมาศึกษาที่ร้าน” หลิวเวยพูด
อาอวิ้นส่งเสียงเยาะเย้ย “คนในตระกูลไต้ฟู…” นางรีบยั้งปากก่อนที่จะหลุดพูดจนจบประโยค เหลือบมองใบหน้างดงามของหลิวเวย ก่อนจะเผยยิ้มออกมา “ในเมื่อศึกษาฝีมือก็ตั้งใจศึกษา คิดแต่จะมาหาเจ้าทำไมกัน เจ้าไม่เป็นวิชาเสียหน่อย อีกทั้งเจ้าก็ไม่ได้เป็นไต้ฟู” พูดพลางหัวเราะออกมา “สำหรับนาง มีอีกคนที่นางไปคบได้ คุณหนูตันจูคนนั้น”
หลิวเวยเขย่าแขนเสื้อของนางเพื่อบอกให้เบาเสียง
ชื่อของคุณหนูตันจูไม่อาจพูดได้เรื่อยเปื่อย นางเป็นคนร้ายกาจ หากให้นางได้ยินเข้า อาจจะบุกมาถึงหน้าประตูจวนก็เป็นได้
อาอวิ้นย่อมรู้ นางไม่กล้าพูดเรื่องนี้อีก พี่น้องสองคนเดินจูงมือกันขึ้นรถม้า จากไปอย่างสบายใจ
หลิวจั่งกุ้ยมองหญิงสาวที่ยังยืนอยู่ภายในโถง รู้สึกสงสารเล็กน้อย
“แม่หญิง ข้ามีตำราการรักษาอยู่ม้วนหนึ่ง ท่านเอาไปดู” เขาพูด “บางทีอาจพัฒนาฝีมือได้”
ในเมื่ออยากเปิดร้านยา ย่อมต้องใส่ใจในเรื่องที่ชอบมากกว่า อย่าได้สนใจความไร้เยื่อใยของคนเหล่านี้
เฉินตันจูมองไปทางเขา รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า ยื่นก้อนข้าวเหนียวเคลือบงาไปให้ “หลิวจั่งกุ้ย ให้ท่านกิน”
…
หลิวจั่งกุ้ยย่อมไม่ได้กินขนมที่เหล่าหญิงสาวชอบ ตำราเล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องขอบคุณเช่นนี้
เขาขอบคุณเฉินตันจู เฉินตันจูเองก็ไม่ได้ดื้อรั้น ขอตัวเดินออกมา
อาเถียนถือตำราแพทย์ในมือพลิกดู เอ่ยถาม “คุณหนู ท่านให้ข้าวเหนียวเคลือบงาแก่หลิวจั่งกุ้ยเพราะต้องการขอบคุณที่เขาให้ตำราหรือเจ้าคะ”
เฉินตันจูส่ายหัว “ย่อมไม่ใช่ ข้าแค่ปลอบใจเขา”
รู้จักกันมาสักระยะหนึ่งแล้ว นางมั่นใจว่าหลิวจั่งกุ้ยเป็นคนซื่อตรงและซื่อสัตย์ คนซื่อเช่นนี้ถูกคุณหนูตระกูลของท่านยายคนหนึ่งปฏิบัติเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาถูกรังแกมากขึ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านยายคนนั้น
ตระกูลฉางตงเจียว? ตระกูลใดกัน? แม้แต่ตระกูลใหญ่ในเมืองอู๋ยังไม่ใช่ นางไม่มีความทรงจำแม้แต่น้อย
“อาเถียน” เฉินตันจูพูด “กลับไปดู ตระกูลฉางนี้ส่งจดหมายเชิญมาหรือไม่ หากไม่มี เจ้าพาจู๋หลินไปเอามา”
เวลานี้พวกนางเดินมาถึงหน้ารถแล้ว เมื่อได้ยินพวกนางพูดถึงชื่อของตนเอง คิ้วของจู๋หลินก็กระตุกขึ้น ทำอันใด ต้องการทำอันใดอีก
อาเถียนตอบรับอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะพยุงเฉินตันจูขึ้นรถ ในขณะที่นางกำลังจะตามขึ้นไป จู๋หลินก็รั้งนางเอาไว้
“เกิดเรื่องใดขึ้น” จู๋หลินถามเสียงต่ำ ก่อนจะพูดเสริมขึ้น “ดูท่าทาง อารมณ์ไม่ดีนัก”
อาเถียนนี้เป็นห่วงคุณหนูของนางที่สุด ถามว่าเกิดเรื่องใดขึ้นอาจไม่ได้คำตอบ แต่ถามเรื่องนี้นางยอมพูดอย่างแน่นอน
คิดไม่ถึงเสียจริง เขาในฐานะองครักษ์หลวงคนหนึ่ง ต้องมาใช้กลอุบายกับสาวรับใช้ จู๋หลินเศร้าใจ
อาเถียนหาผู้ฟังได้ นางจึงบ่นออกมา “คุณหนูหลิวเวยคนนั้น ไม่สนใจคุณหนูของพวกเราเพราะคุณหนูคนอื่น คุณหนูจึงอยากรู้ว่าตระกูลฉางเป็นตระกูลใด”
นางพูดพลางจับแขนของจู๋หลินยืมแรงก้าวขึ้นรถไป จู๋หลินยังคงผงะเล็กน้อย…อ่อ มโนธรรมของคุณหนูตันจูวิ่งหนีไปกับคนอื่นแล้ว ดังนั้นต้องการวิ่งตามกลับมา?
คุณหนูตันจูนอกจากทะเลาะกับคุณหนูตระกูลใหญ่ ใช้ยาปลอมหลอกเงิน และวิ่งตามคุณหนูร้านยาแล้ว ยังมีเรื่องจริงจังอื่นๆ ทำอีกหรือไม่