ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 553 พลังทำลายอันทรงพลัง
คลื่นพลังงานสีน้ำตาลเข้มปะทุจากพื้นสนามประลอง รอยแตกร้าวจำนวนมากขยายออกไป พื้นสนามประลองเกิดระลอกคลื่นราวกับคลื่นน้ำป่าไหลหลาก ตรงไปยังที่จิวโมไป๋ยืนอยู่
จิวโมไป๋มองพลังธาตุดินอันทรงพลังที่ตรงเข้ามา ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย ร่างกายส่ายไปมาตามแรงสั่นสะเทือน แต่เขายังปักหลักยืนอย่างมั่นคง ก่อนที่เขาจะย่อเข่าและกระโดดสูงเกือบสิบเมตร
ในตอนนั้นเอง พื้นสนามประลองตรงที่เขาเคยยืนอยู่ทรุดลงไปหลายเมตร พื้นหินสนามประลองสองข้างแยกเป็นสองส่วน ก่อนที่มันจะพลิกกลับเข้าประกบเข้าหากัน
ตูม! แผ่นหินขนาดสิบเมตรหนักหลายร้อนตันชนกันอย่างรุนแรง และแตกเป็นชิ้นๆ พื้นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงไปจนถึงที่นั่งชมการประลอง แม้จะมีม่านพลังป้องกันก็ไม่สามารถกันการสั่นสะเทือนได้
เหล่าผู้ชมส่งเสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้น
จิวโมไป๋ก้มลงดู ถ้าเขาไม่กระโดดออกมา ร่างของเขาจะต้องถูกบดขยี้อย่างแน่นอน!
ร่างของจิวโมไป๋ล่อนลงไปเหยียบกองก้อนหินที่แตกจากหินสนามประลอง เขามองไปยังคังหรงที่ตอนนี้ใบหน้าเริ่มซีด หลังจากใช้พลังธาตุไปจำนวนมาก
จิวโมไป๋กระชับพลองสีทองแน่น สายตามองคังหรงอย่างระมัดระวัง ผู้ใช้เวทย์มักจะมีลูกเล่นที่ไม่ธรรมดา เขาไม่สามารถประมาท เปิดช่องโหว่ได้ ในการหลบเวทย์มนต์ก่อนหน้าได้ เพราะเขาคาดเดาได้ว่าคังหรงเป็นผู้ใช้เวทย์ ทำให้เขาระวังตัวตั้งแต่แรก
ถ้าเขาไม่ระวังอาจถูกก้อนหินทับจนบาดเจ็บสาหัส
ที่เขารู้ว่าคังหรงเป็นผู้ใช้เวทย์ เพราะเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานธาตุที่ควบแน่นเป็นผลึกในร่างของคังหรง แตกต่างผู้บ่มเพาะพลังที่จะเก็บพลังธาตุไว้ทั่วร่างกาย
เพราะเหตุนี้เองเขาจึงคาดเดาได้ว่าคังหรงเป็นผู้ใช้เวทย์
และเขาไม่แปลกใจที่ตระกูลฟง จะมีผู้ใช้เวทย์ เพราะตระกูลชั้นสูงอยู่มาหลายพันปี พวกเขาจะได้รับเคล็ดบ่มเพาะเวทย์มนต์มาบ้าง ก็ไม่น่าแปลกใจ
สำหรับเหตุผลที่เคล็ดบ่มเพาะเวทย์มนต์ ไม่แผ่หลายในประเทศมังกร หรือฝั่งทวีปตะวันออก ก็เพราะความต่อเนื่องของการพัฒนาเคล็ดวิชา
ประเทศตะวันออกและประเทศตระวันตก รวมถึงประเทศต่างๆ พวกเขาต่างพัฒนาเคล็ดวิชาตามแบบของตัวเองมาอย่างยาวนานหลายร้อยหลายพันปี
เคล็ดวิชาเหล่านี้ได้ตกผลึกความรู้ ความคิด ความเข้าใจมาอย่างยาวนาน กลายเป็นเส้นทางที่แตกต่างกัน
ทำให้แม้จะได้รับเคล็ดบ่มเพาะพลังของประเทศอื่น แม้จะเป็นเคล็ดวิชาที่ก้าวหน้าที่สุด แต่มันก็ยากที่ประเทศอื่นจะฝึกฝนเรียนรู้จนแข็งแกร่งได้ เพราะขาดองค์ความรู้ที่สืบทอดมา
ทำให้พวกเขาใช้เคล็ดวิชาเหล่านี้ มาประยุกต์ให้เข้ากับเคล็ดวิชาของประเทศตัวเองเท่านั้น
เพราะเหตุนี้เองทำให้ไม่ค่อยมีคน ฝึกเคล็ดบ่มเพาะพลังของประเทศอื่น
แม้แต่ในปัจจุบัน ที่มีตำหนักยุทธ์ ที่ช่วยทำให้การสร้างและปรับปรุงเคล็ดวิชาง่ายขึ้น ก็ยังไม่ค่อยมีใครฝึกฝนเคล็ดวิชาของประเทศอื่นอยู่ดี
จิวโมไป๋สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การใช้พลังธาตุของคังหรงดูสิ้นเปลืองอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าวิชาเวทย์ที่เขาฝึกไม่สมบูรณ์ หรือ เขายังศึกษาไม่เพียงพอ ถ้ายังปล่อยไว้แบบนี้ เมื่อระดับการบ่มเพาะพลังสูงขึ้น มันจะทำให้รากฐานไม่แข็งแรง ส่งผลให้การก้าวหน้าในอนาคตช้าลง หรือหยุดลงเลยก็ได้
จิวโมไป๋วางแผนว่าหลังจากจบการท้าทาย เขาจะพูดคุยกับคังหรง เพื่อช่วยปรับปรุงเคล็ดบ่มเพาะเวทย์มนต์ที่เขาใช้ ให้สมบูรณ์เข้ากับตัวเขามากขึ้น
คังหรงมองไปที่จิวโมไป๋ เขาสูดลมหายใจลึกๆ และเร่งเร้ากฎแห่งธาตุดินในตำหนักยุทธ์ พลังธาตุสีน้ำตาลไหลเหวี่ยนทั่วร่างกาย เขายกมือซ้ายที่จับดาบใหญ่และหันไปยังจิวโมไป๋ วงแหวนเวทย์ขนาด 20 เมตรพลันปรากฏบนพื้นล้อมรอบจิวโมไป๋ไว้ตรงกลาง!
ปฐพีถล่มสวรรค์!
วงแหวนเวทย์สีน้ำตาลระเบิดออกเป็นลำแสง สนามประลองสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงอีกครั้ง พื้นสนามประลองแตกออกเป็นรอยแยกนับไม่ถ้วน!
คลื่นนน เปรี้ยะ! เปรี้ยะ! เปรี้ยะ!
กองหินที่จิวโมไป๋ยืนอยู่พลันถล่มลง ทำให้ร่างของจิวโมไป๋ร่วงลงตาม และในตอนนั้นเอง พื้นหินของสนามประลองโดยรอบที่แตกเป็นส่วนๆ ก็พลิกกลับเหวี่ยงเข้าหาจิวโมไป๋ที่อยู่ตรงกลาง!
ก้อนหินหนักหลายตัน นับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาที่จิวโมไป๋ยืนอยู่ ปิดทางหลบหนีทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง!
จิวโมไป๋ไม่แสดงท่าทางหวาดกลัว พลองสีทองเปล่งประกายเจิดจ้า คลื่นพลังงานอันทรงพลังห่อหุ้มรอบพลองจนเกิดเงาลวงตา ก่อนที่เขาจะควงพลองและฟาดก้อนหินที่ตกลงอย่างไม่เกรงกลัว
พลองสีทองฟาดทำลายก้อนหินเหล่านั้นเป็นชิ้นๆ
ตูม! ตูม! ตูม! แต่ด้วยจำนวนก้อนหินนับไม่ถ้วน ทำให้จิวโมไป๋ไม่สามารถทำลายพวกมันทั้งหมดได้ในครั้งเดียว ก้อนหินหนักหลายตันค่อยๆกดทับจิวโมไป๋เรื่อยๆ ก่อนที่พวกมันจะกระแทกลงใส่ร่างของจิวโมไป๋
โครม! พื้นสนามประลองสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ฝุ่นผงนับไม่ถ้วนปกคลุมโดยรอบ
คังหรงหอบหายใจอย่างหนัก ใบหน้าของเขาขาวซีดแทบจะไร้สีเลือด เขาใช้ดาบใหญ่ยันพื้นประคองร่างไม่ให้ล่มลง
“นายทำเกินไปหน่อยหรือเปล่า”ฮั่วอวี่หลินถือหอกยาวพาดไหล่ เดินมายืนข้างๆคังหรง เธอมองไปยังกลุ่มควันตรงหน้า ด้วยความเป็นกังวลเล็กน้อย