ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 539 เจตนาร้าย จิตสังหาร โอสถโลหิตปีศาจ!
หลังจากรักษาศิษย์นอกที่บาดเจ็บ จิวโมไป๋ก็ไปหยุดที่หน้าหุบเหวพายุคลั่ง เขาก็พบว่าหมอกสีขาวเทาหนาทึบขยายออกมาจากหุบเหวมาถึง 10 เมตร หมอกพวกนี้ขัดขวางการมองเห็น ทำให้ระยะทัศนวิสัยเหลือเพียงแค่ 5 เมตร
สำหรับคนที่ไม่มีจิตสัมผัส หรือ ประสาทสัมผัสที่แข็งแกร่ง การเดินไปมาในหมอกนี้เป็นเรื่องยากมาก ไม่ต้องพูดถึงการไต่ไปตามโซ่เหล็ก ทั้งๆที่ระยะการมองเห็นถูกบดบัง และถ้าพลาดอาจตกลงไป ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย คนธรรมดาไม่มีความกล้าที่จะไต่โซ่เหล็กได้เลย
และการผ่านด้านนี้จะต้องต่อสู้กับศิษย์หลัก ยอดฝีมืออันดับต้นๆของตระกูลฟงอีก พวกเขาต่างก็เคยชินกับการต่อสู้ในหมอกอยู่แล้ว ทำให้การต่อสู้กับพวกเขาจึงยากขึ้นหลายเท่า
ด้านทดสอบนี้พูดได้ว่าเป็นการทดสอบความกล้าและความแข็งแกร่ง
จิวโมไป๋เดินไปที่โซ่เหล็กอย่างช้าๆ หมอกพวกนี้สำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรเลย เขาใช้จิตสัมผัสตรวจสอบหุบเหวพายุคลั่งทั้งหมดแล้ว รวมถึงเส้นทางที่เขาจะต้องไปด้วย
นอกจากโซ่เหล็กตรงนี้แล้ว ยังมีโซ่เหล็กอีก 4 เส้น รวมกันเป็น 5 เส้น โซ่เหล็กเหล่านี้มีทั้งเส้นทางจริงและเส้นทางหลอก พูดง่ายๆก็คือ แม้จะไต่ไปตามโซ่เหล็กไปแล้วก็อาจจะเลือกผิด และด้วยทัศนวิสัยแค่ 5 เมตร มันจึงเป็นการยากที่จะหาทางกลับไปได้ ทำให้เกิดความสับสนและหลงทางได้
การไต่โซ่เหล็กก็เหมือนกับเขาวงกต แต่ระดับความยากต่างกันอย่างลิบลับ
จากโซ่เหล็กทั้ง 5 มีเส้นทางจริงๆ แค่ 2 เส้นเท่านั้น
และเส้นทางหลอกทั้ง 3 ยังเชื่อมต่อไปยังเสาหินอีกหลายครั้ง และในแต่ละเสาหินยังมีโซ่เหล็กแยกไปยังเสาหินอื่นอีกหลายเส้น สร้างความสับสนเพิ่มขึ้นไปอีก พูดได้ว่า ถ้าลือกผิดเพียงครั้งเดียวอาจจบการทดสอบเลยก็ว่าได้
จิวโมไป๋เลือกโซ่เหล็กที่เป็นเส้นทางจริง และเขาเลือกเส้นทางที่ระยะใกล้ที่สุด เพื่อไปถึงคู่ต่อสู้คนแรก
เขาไม่เสียเวลาแกล้งทำเป็นหาทางไม่ถูก
เขาใช้ท่าร่างวิ่งไปบนโซ่เหล็กอย่างคล่องแคล่ว ทะยานร่างไปตามโซ่เหล็กที่แกว่งไปมาอย่างรุนแรง แม้สายลมอันรุนแรงก็ไม่สามารถทำให้เขาสะเทือน เขาสามารถประคองร่างวิ่งไปบนโซ่เหล็กอย่างไม่ยากเย็น พริบตาเดียวก็ผ่านเสาหินไปแล้ว 3 แห่ง ระหว่างนั้นเขาก็สังเกตเห็นกล้องวงจรปิดอินฟาเรด ที่ติดอยู่ตามจุดอับต่างๆ
เพราะกล้องดาวเทียม ไม่สามารถมองผ่านหมอกที่ปกคลุมหุบเหวพายุคลั่งได้ พวกเขาจึงติดตั้งกล้องอินฟาเรด เพื่อมองดูการเคลื่อนไหวของผู้ทดสอบ
จิวโมไป๋ผ่านไปอีกสามเสาหิน ในระหว่างทาง เขาก็พบว่า โซ่เหล็กบางอันเก่าบางอันใหม่
คนไม่รู้อาจคิดว่าโซ่ใหม่เป็นเส้นทางจริง เพราะต้องวิ่งผ่านปล่อยๆ ทำให้โซ่เหล็กเสียหาย พวกเขาจึงต้องเปลี่ยนโซ่เหล็ก หรือบางคนก็คิดว่าโซ่เหล็กที่แตกต่างพวกนี้เป็นคำใบ้ พวกเขาจึงเลือดโซ่เก่า
แต่สุดท้ายก็ผิดหมด โซ่เหล็กพวกนี้ถูกทำสุ่มๆ เพื่อสร้างความสับสนเท่านั้น
จิวโมไป๋ผ่านไปอีก 2 เสาหิน เขาก็มาถึงเสาหินที่มีพื้นที่กว้างกว่า 100 เมตร กลางสนามประลอง มีเงาร่างเลือนลางในหมอกยืนอยู่ เขาใช้จิตสัมผัสดูก็พบกับชายหนุ่มร่างผอมบาง หน้าตาหล่อเหล่าอ่อนโยน บนใบหน้าสวมแว่นกลมกรอบบางสีเงิน ทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญามากขึ้น อายุของเขาประมาณ 20 ปี เขาใส่ชุดเสื้อเชิตสีขาว กางเกงขายาวสีน้ำตาล ลักษณะท่าทางของเขาราวกับนักศึกษา
เขากำลังใช้ดาบยาวยันพื้น และเปิดโฮโลแกรมเพื่อเล่นเกมส์โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าจิวโมไป๋มาถึงแล้ว
จิวโมไป๋ทะยานร่างไปยืนฝั่งตรงข้ามกับชายหนุ่มสวมแว่น ระยะห่างระหว่างพวกเขาประมาณ 7 เมตร แม้ว่าหมอกจะทำให้ทัศนวิสัยพร่ามัว แต่สำหรับผู้มีประสาทสัมผัสสูง ระยะการมองเห็นของพวกเขาจะมากกว่าคนธรรมดา ระยะห่าง 7 เมตร มันไม่มีปัญหาสำหรับพวกเขา
ชายสวมแว่นจิ้มโฮโลแกรมอย่างหัวเสีย เขาเงยหน้าขึ้นก็แสดงสีหน้าตกใจ ก่อนจะตั้งสติปิดโฮโลแกรมและยกดาบยาวขึ้น เขากระแอ้มด้วยความเขินอายเล็กน้อย
“ขอโทษที่ทำให้ต้องเสียเวลานะครับ ผมจุนโม่เหยียน ศิษย์หลักอันดับ 12 ผมจะเป็นคู่ต่อสู้ของคุณในสนามประลองนี้”
จบคำจุนโม่เหยียนก็ประสานมือคำนับพร้อมกับส่งยิ้มอย่างสุภาพ
จิวโมไป๋พยักหน้าอย่างช้าๆ ดวงตาที่มองจุนโม่เหยียนเรียบเฉยเย็นชา
“หืม ผมเคยทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือเปล่าครับ”จุนโม่เหยียนใช้มือซ้ายลูบผม
“เปล่า เหลือเวลาไม่มากแล้วเรามาต่อสู้กันเถอะ”จิวโมไป๋ไม่อยากตอบ เขายกพลองสีทองขึ้นพลังกดดันอันทรงพลังก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง หมอกสีขาวโดยรอบหมุนวนเกิดเป็นพายุลูกเล็กๆ แต่ถึงกระนั้น หมอกโดยรอบก็ยังคงเหมือนเดิม ราวกับว่าหมอกพวกนี้มีจำนวนไม่มีสิ้นสุด
จุนโม่เหยียนเห็นว่าจิวโมไป๋ไม่อยากพูด เขาก็ยกดาบขึ้นด้วยมือซ้ายและชักดาบยาวออกมาอย่างช้าๆ
คิ้วสองข้างของจิวโมไป๋ขมวดแน่น มองไปที่ดาบยาว ดวงตาของเขามองเห็นพลังงานสีเทาขนาดเล็กนับไม่ถ้วนกำลังกรีดร้องโหยหวน ราวกับเสียงสัตว์ที่กำลังเจ็บปวด
จิวโมไป๋ขบกรามแน่น สูดลมหายใจลึกๆ ดวงตาที่มองจุนโม่เหยียนเปลี่ยนเป็นแหลมคม
“พวกเราเริ่ม…”จุนโม่เหยียนพูดได้ครึ่งประโยชน์ จิวโมไป๋พลันปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของเขาในพริบตา
พลองสีทองยกขึ้นสูงตั้งฉากกับพื้น ก่อนจะฟาดลงมาอย่างรุนแรง
จุนโม่เหยียนสัมผัสได้ถึงอันตราย เขาจะถอนหนี แต่พลังงานลึกลับบางอย่าง หมุนวนรอบร่างของเขา ดึงร่างกายของเขาให้อยู่กับที่ ไม่สามารถขยับได้
หน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป ด้วยความตกใจ เขาไม่สามารถทำอะไรได้ เขาจึงยกดาบยาวขึ้นมาพลองกันเท่านั้น
เปรี้ยง! พลองสีทองฟาดดาบยาวหักเป็นสองท่อน ก่อนจะหยุดเหนือหัวของจุนโม่เหยียนเพียง 1 นิ้ว
ใบหน้าของจุนโม่เหยียนซีดเผือด ก่อนที่เขาจะทรุดลงนั่งกับพื้น
จิวโมไป๋ไม่สนใจจุนโม่เหยียน เขามองวิญญาณดวงเล็กนับไม่ถ้วนลอยออกจากดาบยาว ก่อนจะกลายเป็นหมา แมว นก กระรอก สัตว์ตัวเล็กๆจำนวนมาก
ใบหน้าของจิวโมไป๋ฉายความโกรธ เขายกพลองทองขึ้น แต่เขาต้องหยุดเอาไว้ไม่ทุบสารเลวนี้
วิญญาณสัตว์พวกนี้ไม่ได้เกิดจากการเข่นฆ่าธรรมดา เพราะสัตว์ไม่เปิดปัญญา แม้พวกมันจะฉลาด แต่ก็ไม่มีความนึกคิด ทำให้เมื่อถูกฆ่า พวกมันจะไม่มีจิตอาฆาต กลายเป็นวิญญาณแค้น
การที่สัตว์เหล่านี้กลายเป็นวิญญาณแค้นได้ มีทางเดียวคือ จะต้องทรมานพวกมัน จนปลูกฝังความทรงจำอันเลวร้าย ไปในจิตใจของพวกมัน เมื่อสัตว์เหล่านี้ถูกฆ่า พวกมันจะกลายเป็นวิญญาณแค้นได้
จิวโมไป๋สูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะลอบใช้พลังวิญญาณ วาดข่ายอาคมส่งพวกมันไปเกิดใหม่
เมื่อเสร็จแล้ว จิวโมไป๋ก็ทะยานร่างจากไปทันที ทิ้งจุนโม่เหยียนที่หวาดกลัวไว้ด้านหลัง
โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า หลังจากที่เขาจากไป จุนโม่เหยียนก็เงยหน้าขึ้น มองแผ่นหลังของจิวโมไป๋ที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร ดวงตาของเขาอาบไปด้วยแสงสีทองแดงประกายเงิน
จิวโมไป๋วิ่งไปตามโซ่เหล็กผ่านเสาหินไปหกครั้ง โดยไม่หลงทางสักครั้งเดียว สร้างความสงสัยให้กับทุกคนที่ดูอย่างมาก
จิวโมไป๋พบกับศิษย์หลักอันดับ 11 เขาก็สามารถจัดการได้ด้วยการโจมตีในครั้งเดียว โดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายตั้งตัว
จนกระทั้งเขามาพบกับศิษย์หลักอันดับที่ 10 เป็นชายร่างสูงกำยำ ใส่เสื้อยืดสีเขียวเข้ม กางเกงลายพราง ตัดผมสั่นเกือบติดหนังหัว ใบหน้าแหลมยาว คมเข้ม
เอวสองข้าง แขวนมีดสั้นด้านเดียวสีเทา สันมีดด้านหลังมีรอยหยัก กลางใบมีดมีร่องเลือด
ทันทีที่จิวโมไป๋มาถึง ดวงตาของชายร่างสูงพลันเปลี่ยนไป เจตนาสังหารไหลออกมาอย่างรุนแรง เขาไม่แม้แต่จะปกปิดเจตนาฆ่าของตัวเอง
จิวโมไป๋หรี่ตาลง เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกคุ้นเคยจากร่างของอีกฝ่าย
ไม่รอให้จิวโมไป๋คิด คราวนี้ชายร่างกำยำเป็นฝ่ายเคลื่อนไหวก่อน ร่างของเขาหายไปจากที่เดิมราวกับภาพติดตา ความเร็วของเขาขัดกับร่างกายกำยำอย่างสิ้นเชิง
วูบ เสียงสายลมแหวกอากาศมาจากด้านหลัง จิวโมไป๋หันควับไปพร้อมกับยกพลองสีทองขึ้น
ชายร่างกำยำปรากฏตัวขึ้น ในมือทั้งสองขางของเขาถือมีดสั้น ที่ดึงออกมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ เขาฟันมีดคู่ไขว้ไปที่หลังของจิวโมไป๋
ใบมีดอาบด้วยกฎแห่งธาตุสีเขียวอ่อน ที่บีบอัดจนกลายเป็นใบมีดธาตุลมยาวออกมาจากใบมีดเป็นเท่าตัว
จิวโมไป๋ควงพลองสีทองเป็นวงกลมและฟาดออกไปในทันที พลังกดดันหลอมรวมไปที่พลองสีทอง แม้ว่าจะกะทันหัน แต่เขาก็สามารถส่งพลังไปได้
เคร้ง! เคร้ง! เคลื่นพลังอันรุนแรงกวาดออกไปโดยรอบ ร่างของจิวโมไป๋ยืนอย่างมั่นคง
ชายร่างกำยำสบตากับจิวโมไป๋ เจตนาสังหารพลุ่งพล่านอย่างรุนแรง ก่อนที่เขาจะหมุนร่างกาย และหันหลังมาฟาดฟันมีดสั้นราวกับเต้นระบำ
แต่คมมีดไม่ได้มีความอ่อนโยนอยู่เลย มันกลับดุดันรุนแรง เพียงอึดใจเดียวก็ฟาดฟันไปกว่า 20 ครั้ง
จิวโมไป๋เคลื่อนไหวร่างกายไปมาพร้อมกับยกพลองสีทองป้องกัน
กระเก็ดไฟสีแดงส้มสาดกระจายไปทั่วบริเวณ พวกเขาเคลื่อนไหวไปรอบๆ
จิวโมไป๋พ้นลมหายใจออกมา ก่อนที่เขาจะเกร็งแขน ขยับพลองสีทองเหมือนงูเลื่อยไป โจมตีชายร่างกำยำจากทุกทิศทางเพื่อกำจัดการโจมตีของอีกฝ่าย
แต่ชายร่างกำยำ สามารถขยับหลบการโจมตีของจิวโมไป๋ และควงมีดสั้นทั้งสองโจมตีไปพร้อมกัน
ความแข็งแกร่ง ความเร็ว และประสาทสัมผัส ของชายร่างกำยำมันแตกต่างจากอันดับที่ 11 และ 12 อย่างสิ้นเชิง และเขายังรู้สึกว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าฟงอี้เฟยด้วยซ้ำ!
จิวโมไป๋ต่อสู้กับชายร่างกำยำไปถึง 200 ครั้ง ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง เขาอ่านการเคลื่อนไหวของชายร่างกำยำจนทะลุปรุโปร่งแล้ว
เขาจึงเร่งความเร็วอย่างกระทันหัน พลองสีทองแยกออกราวกับมันมีทองอัน ฟาดมีดสั้นทั้งสอง ทำให้มือของชายร่างกำยำไขว้กัน ก่อนที่เขาจะกระแทกพลองสีทองไปที่มีดสั้นทั้งสองที่ไขว้กันอย่างรุนแรง
ปัง! ร่างของชายร่างกำยำถอยไปสองก้าว การเคลื่อนไหวหยุดชะงักทันที
จิวโมไป๋ก็ควงพลองสีทองฟาดไปที่ขาของชายร่างกำยำ
ผัวะ! ร่างของชายร่างกำลังล้มลงฟาดกับพื้น จิวโมไป๋ก็ยกพลองสีทองขึ้นสูงและฟาดลงมาอย่างรุนแรง
ชายร่างกำยำกลิ้งไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
ตูม! พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ชายร่างกำยำลุกขึ้นมองจิวโมไป๋ด้วยดวงตาโกรธแค้น เขาสะบัดมือปามีดสั้นที่มือซ้ายออกไปอย่างฉับพลัน
จิวโมไป๋ที่กำลังจะเข้าโจมตี ก็ชะงักเท้าเอียงหัวหลบมีดสั้น
แต่พริบตานั้นเอง ชายร่างกำยำก็พุ่งเข้ามาตรงๆ มีดสั้นชี้ไปที่อกของจิวโมไป๋และแทงออกอย่างโหดเหี้ยม
จิวโมไป๋สัมผัสได้ถึงเจตนาสังหาร เขายกเท้าเตะไปที่ข้อมือที่ถือมีด ราวสายฟ้าฟาดเปลี่ยนทิศทางของมีดไปด้านข้างอย่างหวุดหวิด จากนั้นก็ควงพลองสีทองฟาดไปที่ทองของชายร่างกำยำอย่างรุนแรง
ผวัะ! ชายร่างกำยำกลิ้งไปห้าตลบ ก่อนจะไอเป็นเลือดออกมา
จิวโมไป๋เหลือบดูเวลา ผ่านไป 18 นาที ผ่านไปครึ่งทาง
ชายร่างกำยำยืนขึ้นมองจิวโมไป๋ และยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก
ในตอนที่เขากำลังเช็ดเลือด ชายร่างกำยำก็ใช้คางกดไปที่กำไลข้อมือ โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
จิวโมไป๋หรี่ตาลง ก่อนที่เขาจะรู้ตัว อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บริเวณนี้ทั้งหมดหยุดการทำงาน รวมถึงกล้องอินฟาเรดที่ติดอยู่รอบๆด้วย
“นายกำลังทำอะไร?”จิวโมไป๋ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
แต่ชายร่างกำยำไม่ตอบ เขาหยิบโอสถเม็ดสีแดงเข้มจากตรงไหนไม่รู้ออกมา และโยนเข้าปาก การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วมาก
จิวโมไป๋ที่ยืนห่างออกมา ไม่สามารถหยุดได้
ชายร่างกำยำมองจิวโมไป๋ เจตนาสังหารระเบิดออกมาอย่างรุนแรง พร้อมกับความรู้สึกเย็นยะเยือกปกคลุมพื้นที่ทั้งหมด
กลิ่นอายแบบนี้จิวโมไป๋จำได้ไม่ลืม มันคือกลิ่นอายแห่งความตาย!
“นายคือ…”จิวโมไป๋กำลังจะถาม
แต่ชายร่างกำยำไม่มีสติ ที่จะพูดอะไรได้อีก ร่างของเขาแดงก่ำราวกับเลือด เสียงกระดูกดังลั่น ก่อนที่ร่างของเขาจะขยายใหญ่ขึ้นเป็น 3 เมตร อย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าถูกฉีกขาดเป็นขึ้นๆ กางแกงขายาวกลายเป็นกางเกงขาสั้น
ผิวหนังกล้ามเนื้อที่ขยายออกบิดเบี้ยวและแตกออก เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกจากบาดแผล
ชายร่างกำยำกลายเป็น สัตว์ประหลาดกล้ามเนื้อที่อันน่ากลัว กลิ่นอายอันส่งพลังระเบิดออกมาอย่างรุนแรง
ขั้นที่ 7 ไขกระดูก!