บัลลังก์ชายาหมอเทวดา - ตอนที่ 9 อุ้มนางกลับ
บทที่ 9 อุ้มนางกลับ
เย่เจียหยูตัวแข็งเป็นหิน และยังเผลอลืมอ้าปากค้างอยู่เช่นนั้น
ทำไมเย่จายซิงถึงได้มียาขั้นสี่มากมายขนาดนี้
ยามูลค่าสูงเช่นนี้ แต่นางกลับมอบให้อสูรกายกิน
อีกอย่าง ทำไมกิเลนถึงได้ปฏิบัติต่อนางอย่างสนิทสนมเช่นนี้ นั่นคือกิเลนอสูรเทพอันสูงส่งเชียวนะ
เมื่อก่อนนางเคยอยากสัมผัสกิเลนตัวนี้ แต่ยังไม่ทันจะเข้าใกล้ เจ้ากิเลนก็แสดงท่าทางดุดันใส่นางำเอานางช้ำใน ต้องใช้เวลารักษาถึงสามวันถึงจะหาย
“น้องรอง เจ้าจะบอกว่ายาพวกนี้เป็นยาของเจ้างั้นรึ”
เย่จายซิงตบมือพลางมองไปที่เย่เจียหยูอย่างเกียจคร้าน
ใบหน้าของเย่เจียหยูร้อนผ่าว บ้านรองของพวกเขาไม่มีทางซื้อยาขั้นสี่มากมายขนาดนี้ได้ ดังนั้นนางไม่มีทางพูดหน้าด้านๆ ว่ายาเป็นของนางได้ หากมีเพียงเม็ดสองเม็ด คนอื่นๆ อาจจะยังพอเชื่อนางบ้าง
องครักษ์ลับยังคงเอาดาบจ่อไว้ที่คอของนาง อย่างไม่รู้สึกสงสารหรือเห็นใจใดๆ คมดาบได้กดลงไปผิวอันอ่อนนุ่มของนาง
นางถึงขั้นรู้สึกว่าองครักษ์ลับสามารถตัดคอนางได้ทุกเมื่อ เช่นเดียวกับที่ทำกับสาวใช้ของนาง
นางกลัวอย่างยิ่ง ทั้งยังแค้นใจมาก หากอ๋องเซ่อเจิ้งไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย ป่านนี้ศพของเย่จายซิงและน้องชายคงนอนตัวเย็นไปแล้ว
“พูดมาสิ!”
องครักษ์ลับออกแรง จนโลหิตเริ่มไหลซึมออกมา
“ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่ยาของข้า น้องสี่ข้าว่าสาวใช้ของข้าคงพูดผิดไป ข้าคิดว่าบางทียาของข้าน่าจะยังอยู่ในบ้าน!”
เยียเจียหยูรีบร้อนกล่าว น้ำเสียงของนางสูงปรี๊ด ไม่ได้อ่อนโยนเหมือนอย่างแต่ก่อนอีกแล้ว
“เห๊อะ! ข้าว่าเจ้าตั้งใจสั่งให้สาวใช้ของเจ้าใส่ร้ายพี่สาวของข้ามากกว่า เสแสร้งว่าเป็นคนมีเมตตา แต่แท้จริงแล้วใจดำอำมหิต!”
เย่ยู่หยางมองนางแล้วกล่าวอย่างรังเกียจ
“ทำไมเจ้าถึงพูดกับน้องรองแบบนี้ น้องชาย เจ้าอย่าเอาแต่ใส่ร้ายน้องหยูเลย นางคือคนที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย”
เจ้าพระยาเซี่ยออกปากแทนเย่เจียหยู
เย่ยู่หยางจึงต่อว่าว่าเขาดวงตามืดมน เย่จายซิงจึงตบไหล่ของเขาเบาๆ แล้วกล่าวกับเขาว่า “อย่าไปฟังเสียงเห่าหอนของสุนัขเลย พูดกับสุนัขจะไปใช้เหตุผลไม่ได้”
เจ้าพระยาเซี่ยโกรธจนหน้าคล้ำหน้าเขียว
เย่ยู่หยางหัวเราะอย่างสะใจ พี่สาวของเขาพูดจาร้ายกาจนัก ทำไมเมื่อก่อนเขาไม่เคยรู้เลยว่านางเป็นคนปากร้ายขนาดนี้
ริมฝีปากของจวินหยวนปรากฏรอยหยักยิ้มเช่นกัน
สายตาของเขาอยู่ที่ใบหน้าของเย่จายซิงตลอดเวลา สีหน้าและการเคลื่อนไหวบนใบหน้าของนางน่าสนใจอย่างยิ่ง ทั้งยังปรากฏความเกียจคร้านไม่ใส่ใจ แตกต่างจากคุณหนูสี่คนก่อนที่ขี้ขลาดราวกับเป็นคนละคน
เขาใช้น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเมตตาและทุ้มลึกกล่าวขึ้นมาว่า “น้องซิง ที่จวนของข้ามีหมอฝีมือดีที่สุดอยู่ เจ้ากับน้องชายไปรักษาที่จวนของข้าเถิด”
ทุกคนต่างคิดว่าพวกเขาหูฝาด นี่คือคำพูดของอ๋องเซ่อเจิ้งหรอกหรือ
ตามคำบอกเล่าต่อๆ กันมา จวนของอ๋องเซ่อเจิ้งไม่มีแม่แต่ยุงตัวเมีย แน่นอนว่าไม่เคยมีสตรีคนใดเคยเข้าไปเหยียบในจวนของเขา วันนี้กลับเอ่ยปากชวนเย่จายซิงกลับไปรักษาที่จวนด้วยปากของเขาเอง
เมื่อหันไปมองใบหน้าที่มีรอยปานแดงของเย่จายซิง ใบหน้านั้นอัปลักษณ์ ทำให้ทุกคนต่างพากันสงสัยในโชคชะตาชีวิตของคน ทั้งยังสงสัยอ๋องเซ่อเจิ้งด้วยว่าดวงตามีปัญหาหรือไม่
ริมฝีปากของเย่จายซิงกระตุก นางเองก็รู้สึกเช่นกันว่าอ๋องเซ่อเจิ้งผู้มีอำนาจล้นฟ้าคนนี้ผิดปกติตรงไหนหรือไม่ แต่พอพิจารณาดูแล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธออกไป เพราะว่าหากไม่ได้เขาวันนี้นางกับน้องชายของนางคงต้องทิ้งชีวิตอยู่ตรงนี้เสียแล้ว
“ตกลง แต่ว่าข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องจัดการเจ้าค่ะ”
นางพูดพลางเดินไปทางเจ้าของหอยาเสวียน
“เถ้าแก่ใส่ร้ายว่าข้าขโมยยาของท่าน จนข้าเกือบตายเพราะโดนโบย แค้นครั้งนี้ ท่านว่าควรจัดการอย่างไรดี”
เถ้าแก่เริ่มกระสับกระส่าย เขาไม่กลัวผู้หญิงซื้อบื่ออย่างเย่จายซิง แต่เขากลัวอ๋องเซ่อเจิ้ง เขาจึงได้แต่กล่าวขอโทษขอโพย “คุณหนูสี่ ข้าต้องขออภัยจริงๆ เป็นความผิดของข้าเอง ข้าขอชดใช้เงินให้คุณหนูหนึ่งพันตำลึง คุณหนูสี่ได้โปรดให้อภัยข้าด้วย อย่าถือโทษโกรธข้าเลยนะขอรับ”
เย่จายซิงยิ้มหยัน ร่างเดิมถูกเขาโบยจนตายไปแล้ว เขาคิดจะใช้เงินแค่หนึ่งพันตำลึงมาชดใช้ น่าขำยิ่งนัก
“หากข้าไม่ยอมรับล่ะ”
นางกล่าวเรียบๆ
เถ้าแก่ขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกว่านางไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง จึงกล่าวเตือนนางว่า “คุณหนูสี่หอยาเสวียนของข้าเป็นกิจการขององค์หญิงหลิงหยุน หากคุณหนูต้องการการชดเชยที่มากกว่านี้ เกรงว่าจะต้องไปเรียกร้องเอาจากองค์หญิงหลิงหยุนเสียแล้ว”
“อ้อ? ท่านกำลังข่มขู่ข้างั้นหรือ”
เย่จายซิงหัวเราะพลางมองไปที่เถ้าแก่ “ทำอย่างไรดี ข้าไม่อยากได้เงินหนึ่งพันตำลึงนั่น แต่ข้าอยากได้อย่างอื่นมากกว่า”
เถ้าแก่คิดว่านางกลัวองค์หญิงจึงทำสีหน้าดูแคลนขึ้น “แล้วเจ้าอยากได้อะไรกันแน่”
นางก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเข้าไปหาเขา เถ้าแก่รอให้นางเอ่ยปาก ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นแสงสีเงินสว่างขึ้นในมือของนาง จากนั้นทุกอย่างจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่มีโอกาสได้หลบ กริชเล่มน้อยเล่มหนึ่งได้พุ่งทะยานเข้ามาฟันที่คอของเขาอย่างรวดเร็ว
“ต้องการชีวิตของเจ้า”
“เอื้อออ”
ดวงตาของเถ้าแก่เบิกกว้างราวลูกตาวัว เขามองไปที่เย่จายซิงอย่างไม่เชื่อตัวเอง ก่อนจะกระอักเลือดออกมา ศีรษะหลุดออกจากลำตัวแล้วล้มลงกระแทกพื้น
ทุกคนตกใจภาพที่เห็นจนเหม่อลอยค้าง เย่จายซิงว่องไวมากทั้งยังลงมืออย่างแม่นยำ และสิ่งที่ทุกคนไม่คิดฝันยิ่งไปกว่านั้นคือ ไม่มีใครสัมผัสพลังทิพย์จากนางได้แม้แต่น้อยแต่นางกลับสามารถสังหารเถ้าแก่ได้อย่างง่ายดาย
เย่จายซิงหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ
บางคนแอบคิดในใจว่า เจ้าของหอยาเสวียนคือองค์หญิงหลิงหยุน แต่นางคิดอยากจะฆ่าก็ฆ่า วันข้างหน้าองค์หญิงหลิงหยุนจะต้องกลับมาคิดบัญชีกับนางแน่
เย่เจียหยูยิ้มเย็นๆ ออกมา แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าทำไมเย่จายซิงจะต้องลงมืออย่างโหดเหี้ยมเด็ดขาดเช่นนี้ เพียงคิดว่านางเป็นคนไร้สมองที่กล้ามีเรื่องกับองค์หญิงหลิงหยุน
นางคิดว่าอ๋องเซ่อเจิ้งจะคอยให้ท้ายนางไปตลอดงั้นหรือ ไม่รู้จักส่องกระจกดูเงาของตัวเองเอาเสียบ้างเลย
เย่จายซิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดกริชจนสะอาดอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเก็บกริชเล่มนั้นเข้าไป
เบื้องหลังมีคนคอยคุ้มครองแล้ว หากยังไม่ใช้โอกาสนี้สังหารเขา จะปล่อยไว้จนถึงวันขึ้นปีใหม่หรืออย่างไร?
“ไปกันได้หรือยัง น้องซิง”
จวินหยวนมองนางเงียบๆ ด้วยแววตาหยักยิ้ม
ฝีมือของนางเมื่อครู่นี้ แม้แต่คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วนับไม่ถ้วนหลายปีก็อาจจะยังไม่มีฝีมือเทียบเท่านางได้
นางเป็นคนที่ไม่เหมือนใครจริงๆ
เย่จายซิงโงนเงนเล็กน้อย ขอร้องล่ะท่านอ๋องเซ่อเจิ้ง ท่านอย่าเรียกข้าอย่างสนิทสนมเช่นนี้ได้หรือไม่ ใครไม่รู้เขาจะคิดได้ว่าพวกเรามีความสัมพันธ์ต่อกันแล้ว
“ไปกันเถิด”
นางพยักหน้า เพราะเมื่อครู่นี้นางได้ตอบรับไปแล้ว
แต่คนที่ดูแข็งทื่อเหมือนน้ำแข็งอย่างอ๋องเซ่อเจิ้ง กลับเอื้อมมือมากุมมือของนางเอาไว้
“ทำอะไรน่ะ?”
“ให้เจ้าขึ้นมาขี่เจ้ากิเลน”
จวินหยวนตอบ
“ไม่เป็นไร……”
นางยังไม่ทันจะได้กล่าวปฏิเสธจบ จวินหยวนก็อุ้มนางขึ้นมา
“อย่าขยับ อย่าทำเป็นแข็งแรงเลย ข้ารู้ว่าเจ้าหมดแรงแล้ว”
น้ำเสียงทุ้มลึกในลำคอของจวินหยวนไพเราะน่าฟัง ตัวนางแข็งทื่อ เพราะคิดว่าตนเองปิดบังเอาไว้อย่างดีแล้ว แต่เขากลับมองออก
เจ้ากิเลนน้อมตัวลงราวกับลูกแมวเชื่องๆ แล้วปล่อยให้นางขึ้นมานั่ง จากนั้นจวินหยวนจึงปล่อยมืออย่างเป็นสุภาพชน
หลังจากนั้นจวินหยวนจึงหันกลับมาด้วยท่าทางเย็นชา ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก “ทำลายหอยาเสวียนซะ”
เมื่อองครักษ์ลับได้รับคำสั่ง จึงยกกระบี่ขึ้น คนที่เคยลงมือทำร้ายเย่จายซิงทั้งหมดโดนสังหารตายคาที่
หลังจากนั้นเปลวเพลิงลุกโหมขึ้นสูงเสียดฟ้า หอยาเสวียนอันยิ่งใหญ่ในเมืองหลวงถูกเปลวไฟกลืนกินจนหมดไม่เหลือซาก
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันมีสีหน้าซีดขาว
นี่ต่างหากคืออ๋องเซ่อเจิ้งที่พวกเขาคุ้นเคย ยิ่งใหญ่และเลือดเย็น
“ช้าก่อน!”
ระหว่างที่จวินหยวนและพวกกำลังจะกลับ มีเสียงสตรีตะโกนดังขึ้น